ครืนน..
ท้องฟ้าอึมครึ้มตั้งแต่รุ่งสาง เมฆครึ้มหม่นคล้ายจะพยายามกลืนกลบแสงอาทิตย์ไว้ เอเลียสยืนอยู่หน้ากระท่อม ดวงตาไล่มองหมู่บ้านที่กำลังเคลื่อนไหว ผู้คนต่างโบกมือลา บ้างยิ้ม บ้างร้องไห้ ชายหนุ่มสวมเสื้อกาวเก่าที่มีรอยฉีดขาด พร้อมรอยยิ้นและโบกมือเป็นการอำลา ก่อนจะหันไปมอง ชายสองคนที่กำลังรอเขาอยู่ พวกเขา โคร และผู้อาวุโส เริ่มต้นการเดินทางมุ่งไปยังจุดที่ครั้งหนึ่งเอเลียสเคยตกลงมาสู่โลกนี้ ที่ที่เขาจะใช้เพื่อกลับไปยังโลกเดิมของตน ฝนเริ่มโปรยเม็ดลงมาไม่ช้า จากเม็ดเล็กกลายเป็นสายฝนหนัก ลมแรงกระหน่ำราวกับพายุไล่หลัง ทุกย่างก้าวบนพื้นดินชุ่มแฉะกลายเป็นความหนืดรั้งเท้า แต่ไม่มีใครหยุด ไม่มีใครเอ่ยปาก ในที่สุด ทั้งสามก็มาถึงกลางเนินโล่ง ที่ซึ่งเคยเป็นป่ารกชัฏ บัดนี้ถูกเคลียร์ออกจนกลายเป็นพื้นที่เปิดโล่งกลางธรรมชาติ เครื่องเปิดมิติขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเนิน ล้อมรอบด้วยเสาร์โลหะสามต้นโค้งเข้าหาศูนย์กลาง ราวกับกรงโลหะที่ตั้งใจล้อมใครสักคนไว้จากโลกทั้งใบ สายล่อฟ้าถูกติดตั้งเชื่อมเข้ากับเสาร์ทั้งสาเสียงปรบมือดังก้องทั่วทั้งหอประชุมขนาดมหึมาที่ประดับด้วยแสงสีและฉากหลังล้ำอนาคต ทุกสายตาจับจ้องไปยังเวทีที่มีแสงสปอตไลต์สาดส่องลงมากลางจุดรับรางวัล พิธีกรหญิงในชุดสูทสะท้อนแสงสีเงินยืนอยู่ตรงกลางเวที ก่อนจะเอ่ยเสียงชัดเจนผ่านไมโครโฟน และมืออีกข้างที่ถือถ้วยรางวัลเป็นกระจกใสที่วาววับเหมือนเพรชถูกออกแบบมาอย่างประณีต "รางวัล The Multiversal Breakthrough Prize—รางวัลแห่งการปฏิวัติความเข้าใจเรื่องจักรวาลคู่ขนาน ผู้คิดค้นและวิจัย ผดร.เอเลียส โรห์น และทีมของเขา!" เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิม ผู้คนบางส่วนลุกขึ้นยืนแสดงความยินดี บางคนโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น บรรยากาศอบอวลไปด้วยความชื่นชมและศรัทธา จากมุมหนึ่งของเวที ชายหนุ่มรูปร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิท ก้าวออกมาจากแถวเก้าอี้ของคณะนักวิจัย ผมยาวสีทองอ่อนถูกรวบไว้หลวม ๆ ดวงตาสีม่วงเจือหมอกอ่อน ๆ ที่มองไกลดูเหมือนแสงสะท้อนของดวงดาว เขายิ้มจางๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเวทีด้วยท่าทีสงบนิ่ง "ขอบคุณสำหรับรางวัลที่มีเกีตรตินี้.." เสียงของเขาดังผ่านไมโครโฟน น้ำเสียงนุ่
ครืนน.. ท้องฟ้าอึมครึ้มตั้งแต่รุ่งสาง เมฆครึ้มหม่นคล้ายจะพยายามกลืนกลบแสงอาทิตย์ไว้ เอเลียสยืนอยู่หน้ากระท่อม ดวงตาไล่มองหมู่บ้านที่กำลังเคลื่อนไหว ผู้คนต่างโบกมือลา บ้างยิ้ม บ้างร้องไห้ ชายหนุ่มสวมเสื้อกาวเก่าที่มีรอยฉีดขาด พร้อมรอยยิ้นและโบกมือเป็นการอำลา ก่อนจะหันไปมอง ชายสองคนที่กำลังรอเขาอยู่ พวกเขา โคร และผู้อาวุโส เริ่มต้นการเดินทางมุ่งไปยังจุดที่ครั้งหนึ่งเอเลียสเคยตกลงมาสู่โลกนี้ ที่ที่เขาจะใช้เพื่อกลับไปยังโลกเดิมของตน ฝนเริ่มโปรยเม็ดลงมาไม่ช้า จากเม็ดเล็กกลายเป็นสายฝนหนัก ลมแรงกระหน่ำราวกับพายุไล่หลัง ทุกย่างก้าวบนพื้นดินชุ่มแฉะกลายเป็นความหนืดรั้งเท้า แต่ไม่มีใครหยุด ไม่มีใครเอ่ยปาก ในที่สุด ทั้งสามก็มาถึงกลางเนินโล่ง ที่ซึ่งเคยเป็นป่ารกชัฏ บัดนี้ถูกเคลียร์ออกจนกลายเป็นพื้นที่เปิดโล่งกลางธรรมชาติ เครื่องเปิดมิติขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเนิน ล้อมรอบด้วยเสาร์โลหะสามต้นโค้งเข้าหาศูนย์กลาง ราวกับกรงโลหะที่ตั้งใจล้อมใครสักคนไว้จากโลกทั้งใบ สายล่อฟ้าถูกติดตั้งเชื่อมเข้ากับเสาร์ทั้งสา
เปลวไฟเต้นเร่าอยู่กลางลานหมู่บ้าน เสียงฟืนแตกดังเปรี๊ยะๆ สลับกับเสียงหัวเราะและจังหวะกลองที่ดังเป็นจังหวะเนิบช้า ผู้คนหมู่บ้านนั่งล้อมรอบกองไฟ บางคนลุกขึ้นเต้น บางคนสวมหน้ากากไม้ บางคนผลัดกันร้องเพลงพื้นบ้านเก่าแก่ บรรยากาศเต็มไปด้วยแสง สี เสียง และรอยยิ้มแห่งการเฉลิมฉลอง แต่ในหัวใจของบางคน... กลับเงียบงัน เอเลียสนั่งอยู่ข้างโครบนท่อนไม้ยาวที่ถูกจัดวางไว้รอบกองไฟ เขานิ่งมองเปลวไฟสลับกับรอยยิ้มของชาวบ้าน ความอุ่นไอจากกองไฟไม่สามารถละลายความเย็นเยียบในอกเขาได้เลย เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังไกลออกไปอีกมุมหนึ่ง "เจ้ารู้จักได้ยัง" เอเลียสเอ่ยขึ้นเบา ๆ โดยไม่มองอีกฝ่าย รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา โครเลิกคิ้ว "เจ้าหมายถึง?" เอเลียสหันมามองโคร แววตาเปี่ยมด้วยความหมายที่แฝงไว้เบื้องลึก "คำว่า 'อรุณสวัสดิ์' ไง" โครหลุดหัวเราะพรืดออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นความเก้อเขินปนทะเล้น "อ๋อ... คำนั้นน่ะเหรอ" เขาหันหน้าไปอีกทาง พลางทำเสียง
เสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกยามเช้า ดังคลอเคล้ากับแสงสีทองบางเบาที่รินรดผ่านหน้าต่างไม้เก่า เสียงเท้าของผู้คนบางตาเริ่มดังแว่วอยู่ไกล ๆ ชวนให้อากาศในยามรุ่งสางดูมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด เอเลียสขยับตัวเล็กน้อย สัมผัสแรกที่ตื่นขึ้นมาคือความเย็นว่างเปล่าบนแผ่นหลัง ไม่มีอ้อมแขน ไม่มีแรงกอด ไม่มีเสียงหายใจอุ่น ๆ ที่เคยอยู่ตรงนั้นเมื่อคืนก่อน เขาลืมตาขึ้นทันที สายตามองไปยังข้างเตียงอย่างรวดเร็ว—แต่ตรงนั้นว่างเปล่า "…โคร?" เสียงของเขาเบากว่าลมหายใจ แต่ไม่มีคำตอบ ไม่มีเงาร่าง ไม่มีแม้แต่เสียงเดินอยู่ในกระท่อม ความรู้สึกใจที่หล่นวูบหนึ่งแล่นวาบไปทั้งอก เอเลียสลุกขึ้น เดินไปเปิดประตูกระท่อมอย่างร้อนใจ เบื้องนอกกลับเป็นภาพที่ตรงกันข้ามกับความเงียบในใจเขาโดยสิ้นเชิง—ผู้คนในหมู่บ้านพากันทำงานอย่างขะมักเขม้นตั้งแต่เช้าตรู่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งแบกเหล็กกลมกลึงผ่านหน้าเขาไป มีผู้หญิงวัยกลางคนกำลังขัดเศษโลหะ อีกกลุ่มกำลังขุดดิน ปรับฐานโครงไม้ บางคนยกฟืน บางคนถือแผ่นแร่ แม้แต่เสียงหัวเราะเบา ๆ ยังลอยมาตามลม
ยามเช้าอันเงียบสงบในหมู่บ้านยังคงอบอวลไปด้วยหมอกจาง ๆ เมื่อเอเลียสเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางคดเคี้ยวสู่ถ้ำ เขาก้าวย่างด้วยความเร่งรีบแต่ระมัดระวัง ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยิน เพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ ที่สะท้อนกับผนังหินเย็นเฉียบภายในถ้ำ ผู้อาวุโสประจำอยู่หลังกรงไม้เช่นเคย แววตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความคาดหวังเบื้องหน้าเครื่องตรวจจับการซ้อนทับของมิติ ซึ่งประกอบด้วยขดลวดทองแดงพันรอบโครงไม้ แขนกลทำจากเศษเหล็กกลั่นรูปทรงหยาบ และศูนย์กลางของเครื่องคือแท่นหินทรงกลมที่ฝังด้วย หินสีดำอมเทา สะท้อนประกายระยิบระยับแปลกตา"เจ้าเอามาหรือไม่?" ผู้อาวุโสเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นเขาเอเลียสหยิบถุงหนังสัตว์ขนาดเล็กออกมา ก่อนจะเทสิ่งของในนั้นลงบนแผ่นหินที่อยู่ใกล้เครื่อง หินเม็ดเล็กขนาดนิ้วหัวแม่มือหล่นลงมาเรียงกัน มีลักษณะคล้ายถ่าน แต่ผิวสะท้อนแสงวาวๆ อย่างแปลกประหลาด"นี่คือแร่แมกนีไทต์ที่ท่านขอ" ผู้อาวุโสพยักหน้าเบาๆ ดวงตาลุกวาว "ยอดเยี่ยม สมกับเป็นเจ้า เอเลียส""แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะจ่ายพลังงานได้พอให้เครื่องทำงานหรือไม่…" เอเลียสพูดเบาๆ พลางจัด
แสงสีทองของอรุณรุ่งแรกเริ่มส่องแสงลอดผ่านเรือนยอดไม้ลงมายังพื้นดินที่ยังชื้นเย็นจากหมอกยามเช้า เสียงนกร้องประสานกับสายลมที่ไหลผ่านอย่างแผ่วเบา หมู่บ้านยังคงนิ่งเงียบไร้ผู้คนตื่นขึ้นมาจากความฝันของตน แต่ร่างหนึ่งกลับเคลื่อนไหวอย่างเงียบงัน ลอบเดินไปตามทางลูกรังเล็ก ๆ สู่ถ้ำที่ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้านราวกับถูกสายลมหรือแรงบางอย่างดึงดูดเอเลียสเดินช้า ๆ ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความกังวลและตั้งคำถามมากมาย เขากำลังเดินสู่ความจริงที่อาจเปลี่ยนทุกอย่างในชีวิตเขาไปตลอดกาล เมื่อมาถึงปากถ้ำ ความมืดเย็นภายในไม่อาจหยุดยั้งเขาได้ เขาก้าวเข้าไป ท่ามกลางเงาสลัวของคบเพลิงที่ยังกรุ่นไออุ่นจากการจุดเมื่อคืนชายแก่ในถ้ำยืนอยู่ตรงโต๊ะไม้หยาบ ด้านหน้ามีเศษเหล็กและอุปกรณ์แปลกตากระจายวางอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ข้ารอเจ้าอยู่พอดี"เอเลียสพยักหน้าเล็กน้อย เขาไม่ได้เอ่ยคำทักทาย หากสายตากลับจับจ้องสิ่งที่ชายแก่กำลังจะโชว์ให้ดูชายแก่วางวัตถุหนึ่งลงบนโต๊ะ มันเป็นกล่องโลหะขนาดไม่ใหญ่นัก มีหลอดแสงเรืองรองเป็นสีฟ้