'นี่ก็วันที่ 2 แล้วที่ฉัน ลืมตาขึ้นท่ามกลางแสงแดดยามเช้า แต่ทุกอย่างยังคงดูไม่คุ้นเคยอยู่ดี!'
ราวกับทุกอย่างมันเป็นแค่ฝัน แต่ผืนดินที่แข็ง และหลังที่ปวดจากการนอนพื้นมาทั้งคืน และอากาศที่เย็นกว่าที่เขาคุ้นเคยก็ตบหน้าเขาอย่างจัง เขาหันไปมองรอบๆ เหล่าคนในเผ่าเริ่มเก็บข้าวของ เนื้อสัตว์ของเมื่อวาน และหยิบหอกของตัวเองขึ้นมาดูท่าทางเหมือนจะเริ่มออกเดินทางกันแล้ว 'ที่นี่...ไม่ใช่โลกของฉัน แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกันนะ?' เอเลียสคิดขณะลุกขึ้นยืน ร่างกายของเขายังรู้สึกหนักอึ้งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่เขาไม่มีเวลามากพอจะตั้งคำถามกับตัวเองในตอนนี้ สิ่งสำคัญคือการเอาตัวรอดและหาทางเข้าใจสถานการณ์ ระหว่างการเดินทาง เอเลียสถูกให้เดินเรียงโดยเขาอยู่เกือบท้ายสุดของเผ่า คนที่อยู่ข้างหลังเขาคือชายที่ช่วยเขาเมื่อวานนี้ และชายเจ้าของสร้อยคอกระดูก ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเผ่า จะเดินนำอยู่หน้ากลุ่ม เขาเริ่มตั้งข้อสังเกตสิ่งรอบตัวอย่างละเอียด ทั้งป่าไม้ที่หนาทึบ ภูมิอากาศที่ค่อนข้างเย็นกว่าปัจจุบันมาก สัตว์สี่ขาขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายเสือ แต่มีเขี้ยวเหมือนดาบ ที่เขาเจอก่อนหน้ายิ่งทำให้เขามั่นใจว่านี่ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน สันนิษฐานได้ว่าน่าจะเป็นช่วงกลางของยุคหิน อาจจะกำลังก้าวเข้าสู่ยุคหินใหม่ที่มนุษย์เริ่มมีการสื่อสารกันด้วยภาษา เขามองคนในเผ่า พวกเขามีการแต่งกายด้วยหนังสัตว์ และเริ่มมีการใช้เครื่องมือหินบ้างแล้ว 'ถ้าจำไม่ผิด ฉันกำลังทดลองบางอย่างอยู่ที่ห้องก่อนที่มันจะมีแสงวาบขึ้นมา-ซี๊ด..' เขายังคงหาคำตอบไม่ได้ แต่ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ หัวของเขาก็เจ็บแปลบขึ้นมา พวกเขาเดินกันมาเป็นเวลาหลายชั่วโมง เสียงใบไม้เสียดสีกันไปมา พร้อมกับเสียงสัตว์ป่าดังเป็นระยะ เอเลียสรู้สึกเหมือนถูกจับตามอง ไม่ใช่จากเผ่า แต่จากสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ลึก 'มีบางอย่างกำลังตามเราอยู่' เขาคิดในใจ สายตากวาดไปรอบๆ แต่ไม่เห็นอะไรนอกจากต้นไม้สูงชะลูดและเงามืดระหว่างพงหญ้า “อุอุ” เสียงทุ้มต่ำของชายที่ช่วยเขาเมื่อวานดังขึ้นเบาๆ เป็นการส่งสัญญาณให้กันคนในเผ่า ราวกับสัมผัสได้ถึงสิ่งเดียวกันกับเอเลียส ทันใดนั้น พุ่มไม้ด้านข้างก็สั่นไหว คนในเผ่าหยุดเดินพร้อมกัน พร้อมตั้งค่าสำหรับการสู้รบ เงาร่างของกลุ่มคนโผล่ออกมาจากแนวต้นไม้ พวกเขาแต่งกายคล้ายเผ่าที่เอเลียสอยู่ แต่มีลวดลายสีแดงแต้มตามร่างกาย และมีสร้อยคอที่ทำจากกระดูกสัตว์ประดับอยู่ ชายร่างสูงราวกับเป็นผู้นำของกลุ่มที่มาใหม่นั่น เงยหน้าขึ้น สายตาของเขาสบกับผู้นำของกลุ่มเอเลียส ทั้งสองต่างจับจ้องกันโดยไม่มีใครพูดอะไร เอเลียสรู้สึกได้ถึงแรงกดดันในอากาศ เผ่าทั้งสองไม่ได้แสดงท่าทีเป็นมิตรหรือศัตรู แต่ก็ไม่ได้ลดการป้องกันลง ผ่านไปหลายนาที ผู้นำของกลุ่มเอเลียสเป็นฝ่ายลดหอกลงก่อน จากนั้นเขาพยักหน้าให้ผู้นำของอีกเผ่า ชายผู้นั้นตอบกลับด้วยการพยักหน้าเช่นกัน จากนั้นทั้งสองเผ่าก็แยกออกจากกันโดยไม่มีการปะทะ เอเลียสถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ในใจก็เต็มไปด้วยคำถาม เผ่าพวกนั้นเป็นใคร? ทำไมถึงไม่ได้ต่อสู้กัน? และทั้งสองเผ่ามีความสัมพันธ์อะไรกันแน่? เดินไปได้อีกไม่นานก็เจอกับแม่น้ำทอดยาวมาแต่ไกล ลานพื้นดินที่มีหญ้าขึ้นเป็นหย่อมๆ "อุกุ" ชายที่เดินนำกลุ่มอยู่กวาดตามองรอบบริเวณ พูดออกมาเบาๆ เป็นสัญญาณให้หยุด คนในเผ่าทั้งหมดชะงักแล้วแยกย้ายกันทันที บางคนเดินไปที่ริมแม่น้ำพร้อมหอก บางคนเริ่มรวบรวมกองไม้แห้ง ส่วนอีกกลุ่มกำลังง่วนอยู่กับการก่อไฟ เอเลียสมองดูพวกเขาเริ่มขุดหลุมเล็กๆ และนำไม้แห้งใส่ลงไป ก่อนจะหยิบหินขึ้นมากระแทกกัน พวกเขาตีมันดัง ปั่ก! ปั่ก! จนมือแดง แต่ไม่มีประกายไฟเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ชายคนหนึ่งขมวดคิ้ว เป่าหินในมืออย่างสิ้นหวัง ราวกับหวังว่ามันจะติดไฟขึ้นมาเอง เอเลียสแทบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นอีกคนหนึ่งเอาหินไปถูกับเส้นผมตัวเองราวกับหวังจะสร้างไฟขึ้นมาได้ เงาของชายที่เป็นผู้นำเผ่าเดินเข้ามาใกล้กองหิน มือกอดอกสีหน้าเรียบนิ่ง เขามองภาพตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็หยิบหินขึ้นมากระแทกเอง ปั่ก! ปั่ก! แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน เอเลียสจ้องดูอยู่เงียบๆ รู้สึกคันไม้คันมืออยากเข้าไปช่วย เขาหยิบหินขอบเหลื่ยมสีดำอมน้ำตาลเงาขึ้นมาก้อนหนึ่ง [1] แล้วลองกระแทกมันเข้ากับแร่สีทองขรุขระ [2] ที่พบอยู่ใกล้ๆ แปะ! ประกายไฟเล็กๆ กระเด็นออกมา ทุกคนหยุดชะงักทันที เหล่าชายที่พยายามก่อไฟด้วยหินอยู่นั่นตาจ้องมอมาที่เอเลียสเป็นตาเดียวกัน ชายหัวหน้าเผ่าหรี่ตามองเขา ก่อนจะก้าวเข้ามาและแย่งจากมือของเขาหินไปลองเอง แปะ! ประกายไฟเกิดขึ้นอีกครั้ง เขานิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะยื่นหินให้ชายอีกคน คนในเผ่ามองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะค่อยๆ เข้ามาลองทำตามบ้าง เอเลียสยืนมองอย่างพอใจ แต่บรรยากาศรอบตัวกลับแปลกประหลาด ทุกคนยังคงแอบเหลือบมองเขาด้วยความระแวง เชิงอรรถ ^หินเหล็กไฟ (Flint) ^ไพไรต์ (Pyrite)ตึก ตึก ตึก.. เสียงฝีเท้าเบาๆ กระทบพื้นหินอ่อนของพิพิธภัณฑ์ เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของผู้มาเยือนเบาบางแทบจะกลืนไปกับความเงียบสงัดในโถงจัดแสดงตอนบ่ายแก่ๆ แสงมีส้มลอดผ่านกระจกบางใส ที่ขึ้นไอเย็นเล็กน้อย ชายหนุ่มในโค้ทสีน้ำตาลยาวเลยเข่า ผมสีเหลืองอ่อนเล่นเงากับแสงไฟ เขายืนนิ่งอยู่หน้าตู้โชว์กระจกใส ตาในตาสีม่วงหมองแนบมองชิ้นงานภายในอย่างเงียบงัน — สร้อยคอจากกระดูกสัตว์โบราณ ที่ดูคุ้นตาเสียจนหัวใจเขาบีบรัด มันไม่ใช่แค่สิ่งของโบราณธรรมดา มันคือชิ้นส่วนของความทรงจำ ความรู้สึกที่เหมือนมัดแน่นไว้กับอดีต... เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านข้าง พร้อมชายผิวแทนเข้ม กับผ้าพันคอสีเทาอ่อนเดินเข้ามาอย่างสงบนิ่ง "คุณมองดูมันเหมือนเป็นของสำคัญเลยนะ.." เอเลียสไม่ได้ตอบ เขาแค่หันศีรษะไปช้าๆ เห็นร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกัน ผมดำยุ่งเล็กน้อยอย่างคนไม่ชอบหวี ดวงตาสีเข้มสะท้อนแสงไฟในพิพิธภัณฑ์อย่างแผ่วเบา เขากำลังจ้องมองไปยังสร้อยเส้นนั้น ราวกับมีบ้างสิ่งบ้างอย่างในใจ "..ก็คงงั้น" เอ
เสียงปรบมือดังก้องทั่วทั้งหอประชุมขนาดมหึมาที่ประดับด้วยแสงสีและฉากหลังล้ำอนาคต ทุกสายตาจับจ้องไปยังเวทีที่มีแสงสปอตไลต์สาดส่องลงมากลางจุดรับรางวัล พิธีกรหญิงในชุดสูทสะท้อนแสงสีเงินยืนอยู่ตรงกลางเวที ก่อนจะเอ่ยเสียงชัดเจนผ่านไมโครโฟน และมืออีกข้างที่ถือถ้วยรางวัลเป็นกระจกใสที่วาววับเหมือนเพรชถูกออกแบบมาอย่างประณีต "รางวัล The Multiversal Breakthrough Prize—รางวัลแห่งการปฏิวัติความเข้าใจเรื่องจักรวาลคู่ขนาน ผู้คิดค้นและวิจัย ผดร.เอเลียส โรห์น และทีมของเขา!" เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าเดิม ผู้คนบางส่วนลุกขึ้นยืนแสดงความยินดี บางคนโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น บรรยากาศอบอวลไปด้วยความชื่นชมและศรัทธา จากมุมหนึ่งของเวที ชายหนุ่มรูปร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิท ก้าวออกมาจากแถวเก้าอี้ของคณะนักวิจัย ผมยาวสีทองอ่อนถูกรวบไว้หลวม ๆ ดวงตาสีม่วงเจือหมอกอ่อน ๆ ที่มองไกลดูเหมือนแสงสะท้อนของดวงดาว เขายิ้มจางๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดเวทีด้วยท่าทีสงบนิ่ง "ขอบคุณสำหรับรางวัลที่มีเกีตรตินี้.." เสียงของเขาดังผ่านไมโครโฟน น้ำเสียงนุ่
ครืนน.. ท้องฟ้าอึมครึ้มตั้งแต่รุ่งสาง เมฆครึ้มหม่นคล้ายจะพยายามกลืนกลบแสงอาทิตย์ไว้ เอเลียสยืนอยู่หน้ากระท่อม ดวงตาไล่มองหมู่บ้านที่กำลังเคลื่อนไหว ผู้คนต่างโบกมือลา บ้างยิ้ม บ้างร้องไห้ ชายหนุ่มสวมเสื้อกาวเก่าที่มีรอยฉีดขาด พร้อมรอยยิ้นและโบกมือเป็นการอำลา ก่อนจะหันไปมอง ชายสองคนที่กำลังรอเขาอยู่ พวกเขา โคร และผู้อาวุโส เริ่มต้นการเดินทางมุ่งไปยังจุดที่ครั้งหนึ่งเอเลียสเคยตกลงมาสู่โลกนี้ ที่ที่เขาจะใช้เพื่อกลับไปยังโลกเดิมของตน ฝนเริ่มโปรยเม็ดลงมาไม่ช้า จากเม็ดเล็กกลายเป็นสายฝนหนัก ลมแรงกระหน่ำราวกับพายุไล่หลัง ทุกย่างก้าวบนพื้นดินชุ่มแฉะกลายเป็นความหนืดรั้งเท้า แต่ไม่มีใครหยุด ไม่มีใครเอ่ยปาก ในที่สุด ทั้งสามก็มาถึงกลางเนินโล่ง ที่ซึ่งเคยเป็นป่ารกชัฏ บัดนี้ถูกเคลียร์ออกจนกลายเป็นพื้นที่เปิดโล่งกลางธรรมชาติ เครื่องเปิดมิติขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเนิน ล้อมรอบด้วยเสาร์โลหะสามต้นโค้งเข้าหาศูนย์กลาง ราวกับกรงโลหะที่ตั้งใจล้อมใครสักคนไว้จากโลกทั้งใบ สายล่อฟ้าถูกติดตั้งเชื่อมเข้ากับเสาร์ทั้งสา
เปลวไฟเต้นเร่าอยู่กลางลานหมู่บ้าน เสียงฟืนแตกดังเปรี๊ยะๆ สลับกับเสียงหัวเราะและจังหวะกลองที่ดังเป็นจังหวะเนิบช้า ผู้คนหมู่บ้านนั่งล้อมรอบกองไฟ บางคนลุกขึ้นเต้น บางคนสวมหน้ากากไม้ บางคนผลัดกันร้องเพลงพื้นบ้านเก่าแก่ บรรยากาศเต็มไปด้วยแสง สี เสียง และรอยยิ้มแห่งการเฉลิมฉลอง แต่ในหัวใจของบางคน... กลับเงียบงัน เอเลียสนั่งอยู่ข้างโครบนท่อนไม้ยาวที่ถูกจัดวางไว้รอบกองไฟ เขานิ่งมองเปลวไฟสลับกับรอยยิ้มของชาวบ้าน ความอุ่นไอจากกองไฟไม่สามารถละลายความเย็นเยียบในอกเขาได้เลย เสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังไกลออกไปอีกมุมหนึ่ง "เจ้ารู้จักได้ยัง" เอเลียสเอ่ยขึ้นเบา ๆ โดยไม่มองอีกฝ่าย รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา โครเลิกคิ้ว "เจ้าหมายถึง?" เอเลียสหันมามองโคร แววตาเปี่ยมด้วยความหมายที่แฝงไว้เบื้องลึก "คำว่า 'อรุณสวัสดิ์' ไง" โครหลุดหัวเราะพรืดออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นความเก้อเขินปนทะเล้น "อ๋อ... คำนั้นน่ะเหรอ" เขาหันหน้าไปอีกทาง พลางทำเสียง
เสียงร้องเจื้อยแจ้วของนกยามเช้า ดังคลอเคล้ากับแสงสีทองบางเบาที่รินรดผ่านหน้าต่างไม้เก่า เสียงเท้าของผู้คนบางตาเริ่มดังแว่วอยู่ไกล ๆ ชวนให้อากาศในยามรุ่งสางดูมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด เอเลียสขยับตัวเล็กน้อย สัมผัสแรกที่ตื่นขึ้นมาคือความเย็นว่างเปล่าบนแผ่นหลัง ไม่มีอ้อมแขน ไม่มีแรงกอด ไม่มีเสียงหายใจอุ่น ๆ ที่เคยอยู่ตรงนั้นเมื่อคืนก่อน เขาลืมตาขึ้นทันที สายตามองไปยังข้างเตียงอย่างรวดเร็ว—แต่ตรงนั้นว่างเปล่า "…โคร?" เสียงของเขาเบากว่าลมหายใจ แต่ไม่มีคำตอบ ไม่มีเงาร่าง ไม่มีแม้แต่เสียงเดินอยู่ในกระท่อม ความรู้สึกใจที่หล่นวูบหนึ่งแล่นวาบไปทั้งอก เอเลียสลุกขึ้น เดินไปเปิดประตูกระท่อมอย่างร้อนใจ เบื้องนอกกลับเป็นภาพที่ตรงกันข้ามกับความเงียบในใจเขาโดยสิ้นเชิง—ผู้คนในหมู่บ้านพากันทำงานอย่างขะมักเขม้นตั้งแต่เช้าตรู่ เด็กหนุ่มคนหนึ่งแบกเหล็กกลมกลึงผ่านหน้าเขาไป มีผู้หญิงวัยกลางคนกำลังขัดเศษโลหะ อีกกลุ่มกำลังขุดดิน ปรับฐานโครงไม้ บางคนยกฟืน บางคนถือแผ่นแร่ แม้แต่เสียงหัวเราะเบา ๆ ยังลอยมาตามลม
ยามเช้าอันเงียบสงบในหมู่บ้านยังคงอบอวลไปด้วยหมอกจาง ๆ เมื่อเอเลียสเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางคดเคี้ยวสู่ถ้ำ เขาก้าวย่างด้วยความเร่งรีบแต่ระมัดระวัง ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครได้ยิน เพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ ที่สะท้อนกับผนังหินเย็นเฉียบภายในถ้ำ ผู้อาวุโสประจำอยู่หลังกรงไม้เช่นเคย แววตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความคาดหวังเบื้องหน้าเครื่องตรวจจับการซ้อนทับของมิติ ซึ่งประกอบด้วยขดลวดทองแดงพันรอบโครงไม้ แขนกลทำจากเศษเหล็กกลั่นรูปทรงหยาบ และศูนย์กลางของเครื่องคือแท่นหินทรงกลมที่ฝังด้วย หินสีดำอมเทา สะท้อนประกายระยิบระยับแปลกตา"เจ้าเอามาหรือไม่?" ผู้อาวุโสเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นเขาเอเลียสหยิบถุงหนังสัตว์ขนาดเล็กออกมา ก่อนจะเทสิ่งของในนั้นลงบนแผ่นหินที่อยู่ใกล้เครื่อง หินเม็ดเล็กขนาดนิ้วหัวแม่มือหล่นลงมาเรียงกัน มีลักษณะคล้ายถ่าน แต่ผิวสะท้อนแสงวาวๆ อย่างแปลกประหลาด"นี่คือแร่แมกนีไทต์ที่ท่านขอ" ผู้อาวุโสพยักหน้าเบาๆ ดวงตาลุกวาว "ยอดเยี่ยม สมกับเป็นเจ้า เอเลียส""แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะจ่ายพลังงานได้พอให้เครื่องทำงานหรือไม่…" เอเลียสพูดเบาๆ พลางจัด