“คุณหนูบ่าวได้ยินมาว่างานคล้ายงานวันเกิดนายหญิงท่านผู้เฒ่าหยางจวิ้นอ๋องก็มาด้วยเจ้าค่ะ”
“องค์ชายรองมาด้วยหรือเช่นนั้นก็ดีเลยข้าจะต้องทำให้พระองค์ประทับใจในตัวข้าอย่างแน่นอน” หลินซูเหยาแย้มยิ้มอย่างดีใจที่บุรุษที่นางหมายมาดจะแต่งเข้าเป็นชายานั้นมาเยือนถึงจวนตระกูลหลิน
“องค์ชายต้องประทับใจในตัวคุณหนูแน่เจ้าค่ะ คุณหนูของบ่าวงามถึงเพียงนี้มีชายใดในเฉิงหยางที่ไม่พ่ายแพ้ต่อคุณหนูของบ่าวเล่าเจ้าคะ” สาวใช้คู่ใจนามถานเยว่เอ่ยเอาใจผู้เป็นนาย และนับว่านางมิได้กล่าวเกินจริง คุณหนูของนางคนภายนอกมักลือว่านางร้ายกาจ เอาแต่ใจด้วยไร้มารดาอบรมสั่งสอน มิเคยเห็นหัวผู้ใดไม่ใฝ่รู้ใฝ่เรียน วัน ๆ เอาแต่ลุ่มหลงในความงามสรรหาสารพัดวิธีที่จะบำรุงตนเอง หาได้ใส่ใจในกิจการของตระกูลซูไม่ ซ้ำยังชอบอาละวาดตบตีบ่าวรับใช้เป็นว่าเล่นจนแม้กระทั่งผู้เป็นบิดาเองบางคราถึงกับแสดงท่าทีเอือมระอาและมักนำนางไปเปรียบเทียบกับคุณหนูรองอยู่บ่อย ๆ แต่ยังดีที่มีฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจนางและคอยตามใจให้ท้ายเสมอมาเพียงเท่านั้น
“หึ เจ้านี่ปากหวานช่างเจรจาเสียจริงนะ แล้วที่ให้เจ้าไปสืบเป็นเช่นไรบ้าง” ซูเหยานั่งมองใบหน้าของตนที่สะท้อนผ่านกระจกเงาอย่างลุ่มหลง ใบหน้าและร่างกายนี้ที่นางเฝ้าถนอมมันมาก็เพื่อให้เขา องค์ชายรองหยางจวิ้นอ๋องได้ภาคภูมิใจ
“คุณหนูรองนางปักผ้าอวยพรฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ แต่บ่าวมิได้ทันเห็นกลัวว่าจะถูกพบเข้าเลยต้องรีบหลบออกมาก่อนเจ้าค่ะ”
“ปักผ้า หึ นางมีปัญญาทำเท่านั้นรึคอยดูเถอะของขวัญของข้าที่ให้ท่านย่าย่อมต้องดีกว่าอย่างแน่นอน ถานเยว่ข้ารู้ว่านางเองก็หมายปองในองค์ชายรองเช่นกัน หึ นางทำเป็นใสซื่อไร้เดียงสาคิดว่าข้าดูนางไม่ออกเลยรึไงกัน” ซูเหยาเยียดยิ้มเยาะ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมานางก็มิยินยอมรับนางและแม่ของนางเป็นคนในครอบครัวอยู่แล้ว นางที่เป็นต้นเหตุให้ผู้เป็นแม่ของนางต้องตรอมใจ สหายที่ท่านแม่รักแต่กลับทรยศท่านแม่ได้อย่างเลือดเย็น นางเองก็คงมีนิสัยจิ้งจอกไม่ต่างเฉกเช่นกันนักหรอก
“เช่นนั้นในเมื่อนางอยากปักผ้า ก็ให้นางปักซะให้สมใจ ถานเยว่” ซูเหยาเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ในใจนึกหากคุณหนูรองนางอยากโดดเด่น ได้!เช่นนั้นนางจะทำให้นางได้โดดเด่นสมใจ
“ตั้งโต๊ะให้ข้าที่สวนด้านหน้าเรือน วันนี้อากาศแจ่มใสข้าจะปักผ้าเสียหน่อย หึ!”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” ถานเยว่เมื่อได้รับคำสั่งก็เผยยิ้มเย้ยหยันตามผู้เป็นนาย ในใจนึกเริงร่ายามได้ชื่นชมความพินาศของสองแม่ลูกที่คุณหนูนางเกลียด ไม่ผิดในเมื่อผู้เป็นนายไม่ชอบสิ่งใด บ่าวเช่นนางก็ย่อมไม่ชอบด้วยเช่นเดียวกัน
ไม่นานหน้าเรือนเยว่หลันของคุณหนูใหญ่ก็คึกครื้นไปด้วยบ่าวรับใช้ที่หน้าหมดจดทั้งสามนางคอยปรนนิบัติยื่นเข็มยื่นด้ายให้ผู้เป็นนายไม่ขาด และโฉมงามที่กำลังนั่งปักผ้าอยู่นั้นเล่างดงามราวนางฟ้าลงจุติ ใบหน้าเล็กพิสุทธิ์ ผิวขาวราวหยกมันแพะองคาพยพงดงามราวภาพวาดเซียนสวรรค์ก็มิปาน นั่นยิ่งทำให้ เสหาบดีหลินผู้เป็นพ่อที่ผ่านมาทางเรือนของบุตรสาวแย้มยิ้มอย่างพึงใจ
และอีกด้านของเรือนที่บังเอิญหางตาของหลินซูเหยาแลเห็นนั้นเองทำให้นางต้องลอบเหยียดยิ้มออกมาอย่างพึงใจ เพราะนี่แหละคือสิ่งที่นางต้องการอยากให้เป็น
‘หึ! มาแล้วสินะ ชิงเยว่เจ้าได้โดดเด่นกว่าข้าตามที่ใจเจ้าต้องการเป็นแน่’ ใบหน้าซูเหยาก้มลงเล็กน้อยเพื่อซ่อนรอยยิ้มร้ายกาจมากเล่ห์ ก่อนส่งสายตาให้ถานเยว่แสร้งเอ่ยถามถึงรายละเอียดภาพที่นางปัก
“คุณหนูนั่นคุณหนูปักนกรึเจ้าคะ นั่นนกอะไรรึเจ้าคะ”
“อ่อนี่รึเรียกว่านกกระเรียนคู่สน ข้าหนะอยากให้ท่านย่าอายุยืน สุขภาพแข็งแรง ข้าว่าความหมายของลายปักนี้ท่านย่าต้องชอบแน่ เจ้าดูนี่สิการปักกระเรียนต้องปักให้ปีกลู่ลงราวกำลังเตรียมทะยานบิน ต้นสนนี่ข้าตั้งใจปักให้เป็นสนยืนต้นตาย หมายถึงว่าท่านย่าแม้จะผ่านหนาวผ่านร้อนมาหลายฤดู แต่ท่านย่าคงฟันฝ่ามันมาได้อย่างงดงาม ภัยร้ายมิสามารถมากระทำอันตรายอันใดได้ เป็นเช่นไรเล่า”
ทันทีที่ซูเหยาเอ่ยจบก็เห็นชายผ้าของชุดสาวใช้เรือนหลินชิงเยว่สะบัดไว ๆ นางจึงหันไปสบตากับสาวใช้คู่ใจอย่างพอใจและวันนี้ซูเหยาค้นพบว่ามันช่างแจ่มใสเบิกบานเสียจริง ไม่นานนางก็สั่งสาวใช้เก็บของไปช่วยนางอบประทินบำรุงผิวเพื่อถึงงานวันเกิดท่านย่ายามพบหยางจวิ้นอ๋องเขาจะได้มองนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนของขวัญท่านย่านั้นนางย่อมตระเตรียมไว้พร้อมสรรพ นางเฝ้านั่งปักเย็บร่วมสามเดือนภาพผ้าอวยพรนี้ถึงได้แล้วเสร็จ แต่เพื่อผู้เป็นย่าอันเป็นที่รักยิ่งของนางแล้วเท่านี้ซูเหยาถือว่ายังน้อยนักเมื่อเทียบกับความรักที่ผู้เป็นย่ามีให้นางเสมอมา
[เรือนชิงเหอ]
“คุณหนูรอง ๆ บ่าวไปสืบมาแล้วเจ้าค่ะ”
ชิงเยว่เมื่อได้ฟังสิ่งที่สาวใช้รายงานก็รีบไปพบผู้เป็นมารดาในทันที เรื่องนี้นางจำต้องใช้เส้นสายมิเช่นนั้นจะไม่ทันการ งานวันเกิดท่านย่าเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันการจะปักผ้าได้รวดเร็วเช่นนี้นางมิอาจทำได้และนางมิได้คิดจะทำแต่อย่างใดในเมื่อตระกูลซือเทียนฝั่งมารดานั้นอำนาจคับฟ้าเรื่องเพียงเท่านี้ท่านแม่ล้วนเป็นธุระแทนนางได้อย่างแน่นอน
หลังจากพบผู้เป็นมารดาชิงเยว่เองก็กลับมาเลือกเสื้อผ้าอาภรณ์ตัวงามที่เรือนอย่างเบิกบานในใจ ในที่สุดนางก็จะได้พบหน้าคนรักเสียที พร้อมแสยะยิ้มเยาะผู้เป็นพี่สาวอีกทั้งสมเพชที่นางยังหวังลม ๆ แล้ง ๆ มิเลิกรา ชื่อเสียงนางฉาวโฉ่เพียงนี้เกรงว่าเวลานี้คงได้ยินไปถึงหูพระชายาแล้วกระมัง
“คุณหนูของบ่าวใส่ชุดใดก็งามจับใจนักเจ้าค่ะ บ่าวชื่อว่าวันพรุ่งนี้คุณหนูของบ่าวต้องงดงามและโดดเด่นกว่าคุณหนูใหญ่แน่ ๆ” สาวใช้คู่ใจนามเสี่ยวถงเอ่ยประจบเอาใจผู้เป็นนายที่แม้รูปร่างบอบบางเล็กหน้าอกมิได้ใหญ่โตทั้งเสน่ห์มิได้เทียบเท่าคุณหนูใหญ่ที่ตอนนี้มีอายุเพียง 16 ปี ก็งดงามสะพรั่ง แต่คุณหนูของนางเองก็หาได้งดงามน้อยกว่าเสียกะไรนับว่าบอบบางน่าทะนุถนอมและน่ารักใคร่เป็นยิ่งนัก
หลังจากดูถูกหยางจวิ้นอ๋องครานั้นซูเหยาก็ไม่คิดจะทำอีกเลย เขาพละกำลังล้นเหลือราวม้าศึกมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยจนซูเหยาประจักษ์แจ้งแก่ใจนัก หลังจากวันนั้นนางก็ร่างกายอ่อนแรงนี่ก็เข้าเดือนที่สองแล้วกระมังที่นางมักเวียนศีรษะอยู่บ่อย ๆ อีกทั้งยังต้องเทียวไปมาระหว่างจวนตระกูลหลินกับตำหนักป่าไผ่ทำให้หลายวันมานี้นางถึงกับทนไม่ไหวเวียนศีรษะจนสำรอกออกมาเสียกลางทาง ทั้งร่างกายมิมีแรงไหนจะทั้งรู้สึกง่วงนอนอยู่ตลอดเวลาอีกเล่าแต่อาการเหล่านี้นั้นช่างน่าประหลาดยิ่งซูเหยาค้นพบว่าอาการนางจะทุเลาลงถึงขั้นหายไปเมื่อได้สูดดมกลิ่นกายของหยางจวิ้นอ๋อง ซึ่งน่าประหลาดนักทำให้หลัง ๆ มานี้จากที่เขาติดนางกลายเป็นนางที่ติดเขาแทนไปเสียแล้ว“ท่านอ๋อง”“ซูเหยาลุกขึ้นก่อนเถิดท่านหมอมาแล้ว” ซูเหยาฝืนอาการเวียนศีรษะหน้ามืดนางพยายามมองดูจ้าวหยางแต่กลับพบว่าบัดนี้มิได้มีเพียงหมอหลวง กลับมีญาติฝั่งนางมาครบอีกแม้กระทั่งพระชายาและท่านปู่ของเขาก็ยังมาด้วย นางเห็นเช่นนั้นก็พยายามลุกขึ้นเพื่อถวายความเคารพ แต่ก็ถูกผู้ใหญ่ทัดทานเอาไว้เสียก่อนเมื่อเห็นใบหน้านางซีดเผือดมิสู้ดีนัก“ซูเหยาเจ้าไม่ต้องลุก ๆ นอนลง ๆ เดี๋ยวให้หมอหลวงตรวจให
[จวนตระกูลหลิน]ซูเหยาบัดนี้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเมื่อบิดาเอาแต่จ้องตนแต่มิยอมพูดจา นางจึงได้แต่ก้มหน้าแล้วจับชายอาภรณ์พลิกไปพลิกมาแทนเมื่อเริ่มรู้ถึงสถานการณ์กดดัน และเป็นนางที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องยอมเอ่ยปากกับผู้เป็นบิดาก่อน ส่วนท่านย่านั้นมิได้ถูกเชิญออกมากลัวว่าได้ยินเรื่องราวของนางแล้วเดี๋ยวเป็นการซ้ำเติมอาการเข้าไปใหญ่“ท่านพ่อ...”“เจ้ารู้ความผิดตัวเองรึไม่!” หลินเจียงเอ่ยด้วยใบหน้าเข้มน้ำเสียงราบเรียบจนซูเหยานึกขยาดเสียวสันหลังวาบดวงตาเริ่มแดงก่ำเจือด้วยหยาดน้ำวาววับ“ทะท่านพ่อลูกผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ขะข้าทำให้ท่านต้องเสื่อมเสีย ละลูก”“นางมิผิด หากจะผิดล้วนเป็นข้าที่ผิด” จ้าวหยางที่นึกเป็นห่วงนางหลังพูดคุยกับมารดาเสร็จก็รีบควบม้าวิ่งทะยานตรงมาหานางที่จวนในทันที“ทะท่านอ๋อง” เสนาบดีเจียงลุกขึ้นทำความเคารพตามปกติแต่บรรยากาศโดยรอบนั้นกลับเต็มไปด้วยเมฆหมอกอึมครึม“ท่านหลินเป็นข้าทั้งนั้นที่ผิดเจ้าอย่าได้โทษนาง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนถูกล่อลวงจากข้าทั้งนั้น”“ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านพ่อ มิใช่เช่นนั้นเป็นข้าเองที่ชอบท่านอ๋องมาก” ซูเหยาที่นึกกลัวผู้เป็นพ่อที่มีท่าทางเอาจริงเอาจังอย่างที่ไม
การที่องค์ชายรองประคองมารดาเดินมาชมบุปผาในอีกด้านนั้นก็พอดีกับเหล่าขุนนางที่ว่าราชการจบ ไท่จื่อเฟยจึงได้ถือโอกาสเชิญพวกเขามาดื่มชา ชมบุปผางามเพื่อผ่อนคลายจากงานราชกิจ โดยทุกอย่างนั้นล้วนถูกจ้าวหยางและมารดาจัดแจงความเป็นไปไว้เสียหมดสิ้น“ท่านแม่ ๆ ท่านแม่ว่าป่านนี้พี่สาวของข้านางจะเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ หึ!”.”ก็คงนอนตายอยู่ใต้หน้าผาลึกแล้วกระมัง ฮ่า ๆ ช่างเถอะคนมันไม่มีวาสนาก็เหมือนแม่นางนั้นแหละ ชะตาอาภัพผู้ใดจะคิดกันเล่านังเด็กซูเหยานั้นออกจะเก่งกาจจะมาตายง่ายดายถึงเพียงนี้ หึ ๆ”“แต่ท่านแม่หากท่านพ่อรู้เล่าเจ้าคะ ท่านพ่อต้องถามหานางแน่ ๆ” ชิงเยว่เมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อขึ้นมาก็กลับเกิดหวาดกลัวขึ้นในใจ“พ่อเจ้าหนะรึโง่สิ้นดีหนะสิ ขนาดฮูหยินใหญ่นางตายเพียงข้าโกหกเพียงนิด บีบน้ำตาเสียหน่อยเขาก็คิดเสียแล้วว่าการตายของนางเป็นอุบัติเหตุ” ซูฉีที่นางมั่นใจเพียงนี้นั้นก็เพราะตระกูลนางกว้างขวางซ้ำร่ำรวยทำสิ่งใดจึงมิต้องได้เปลืองแรงมากนัก สองแม่ลูกพูดคุยกันเพลิดเพลินโดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้คนที่อยู่นอกห้องนั้นได้ยินถ้อยคำพวกนางเสียหมดสิ้น“ซูฉี! หลินชิงเยว่! ” เสนาบดีหลินเดินออกมาอย่างเลื่อนลอยแต่ใ
“ท่านแม่ ๆ มีเทียบเชิญเข้าเฝ้าพระชายาเช่นนั้นรึเจ้าคะ” ชิงเยว่รีบวิ่งหน้าตั้งมาหาผู้เป็นมารดาที่เรือน หลายวันมานี้นางมิต้องสำรวมสิ่งใด ท่านย่าป่วย ท่านพ่ออยู่ว่าช่วยราชกิจฝ่าบาทในวัง อีกทั้งนังพี่สาวตัวดีหายสาบสูญ ดูเถิดคนในเรือนนางยังคิดว่านายหญิงพวกมันอยู่ที่ตำหนักป่าไผ่ หึ! เป็นซากศพเฝ้าหน้าผาลึกต่างหากเล่า ช่วยมิได้ใครใช้ให้เจ้ากล้ามาแย่งชิงความชอบขององค์ชายรองกับข้า“ใช่ ๆ เจ้าหนะหัดสำรวมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นเกิดผู้ใดทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นเข้าแล้วเอาไปพูดต่อละก็ไม่ดีแน่” ซูฉียิ้มปริ่มนึกปลาบปลื้มในใจที่เทียบเชิญเขียนชื่อชิงเยว่กับนางเพียงสองคน ไม่มีชื่อนังเด็กซูเหยา ใช่สิ! จะมีได้เช่นไรในเมื่อนางส่งมันไปหาแม่มันด้วยมือตนเอง หึ!“แม่นมอวิ๋นเร็วเข้าไปเตรียมรถม้าให้เร็ว ข้าจะพาลูกข้าไปซื้อหาอาภรณ์ใหม่เสียหน่อยเข้าวังครานี้จะน้อยหน้าสตรีอื่นได้เช่นไร”“เจ้าค่ะฮูหยิน”“ท่านแม่ดีที่สุด วันพรุ่งลูกต้องโดดเด่นกว่าใครในงานชมบุปผาให้ได้” ชิงเยว่ยิ้มอีกทั้งกอดแขนมารดาอย่างออดอ้อน[ตำหนักเทียนจื่อ]“ท่านอ๋องพระองค์อยู่นิ่ง ๆ เถิดเลิกกลั่นแกล้งข้าเพียงครู่ ข้าขอดูเหล่าบรรดาคุณหนูพวกนั้น
“แค่ก ๆ” เสียงไอแห้ง ๆ ติดกันเรียกความสนใจให้จ้าวหยางที่อ่านฎีกาต้องรีบวางมือและเข้ามาโอบประชิดร่างบางเข้าแนบอก พร้อมฝ่ามือใหญ่ที่ลูบตามตัวนางไปมาอย่างต้องการปลอบประโลม“ซูเหยาเป็นเช่นไร ยังเจ็บส่วนใดอยู่รึไม่ ข้าขอโทษ ๆ ข้าไม่น่าเอาแต่ใจนัดเจ้าออกมาวันนี้เลยจริง ๆ ข้าขอโทษ หากว่าข้าไปช่วยไว้ไม่ทันป่านนี้ ๆ เกรงว่าข้าคงจะเสียเจ้าไปแล้ว” จ้าวหยางพูดทั้งหมดความที่มีอยู่ในใจเสียหมดสิ้นจนทำให้ซูเหยาที่ถูกกดศีรษะให้แนบชิดฝังแน่นกับอกแกร่งต้องลอบยิ้มกับแผ่นอกกว้างทั้งน้ำตา พร้อมกับมือบางที่ค่อย ๆ ยกขึ้นทำทีคล้ายจะกอดตอบ นางชั่งใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะตัดสินใจโอบกอดร่างหนาไว้เฉกเช่นกัน“ซูเหยา” จ้าวหยางที่รับรู้ว่านางกอดตอบตนมาเช่นนั้นก็เผยยิ้มดีใจ ทั้งสองตกอยู่ในห้วงภวังค์ของกันและกันมีเพียงเสียงลมหายใจระหว่างกันให้ได้ยิน ซ้ำไร้การเอื้อยเอ่ยบทสนทนาใด ๆ ออกมาใช้เพียงใจและกายสื่อความรู้สึกถึงกันและกัน“องค์ชาย...อะเอ่อคือกระหม่อม คือกระหม่อมว่าควรออกไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนเฟิงที่บังเอิญเข้ามาถูกจังหวะก็รีบหันตัวกลับแทบจะในทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงตะกุกตะกักจนจ้าวหยางเอ่ยออกคำสั่งให้รายงานได้จึงได้
หลังจากวันนั้นซูเหยาก็รู้สึกหายใจโล่งนักที่หยางจวิ้นอ๋องมิได้มาตามตื้อก่อกวนนาง แต่นั้นเพียงกลางวันกลางคืนเล่าท่านอ๋องกลับทำตัวเป็นโจร บุปผาลอบเข้าออกเรือนนางราวเรือนตน ทั้งที่นางจ้างคนมาเฝ้าเรือนนางมากขึ้นแต่นั่นก็มิได้เป็นอุปสรรค ทั้งนางข่มขู่ก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว นางใช้สารพัดวิธีแต่ก็มิอาจขัดขวางเขาได้ และเหตุผลที่ให้แก่นางคือ ทำลูกและวันนี้เป็นอีกวันที่นางถูกเขาเชิญให้ไปตำหนักป่าไผ่เหตุผลแกมข่มขู่คือให้หมอหลวงตรวจชีพจรว่านางนั้นท้องแล้วรึไม่ และเป็นนางเองที่เริ่มคิดแล้วว่าสรุปเป็นผู้ใดกันแน่ที่อยากมีลูกเขานั้นดูจริงจังกว่านางมากนัก ซ้ำยังน่าไม่อายกลับกางตำรากามสูตรบ้าบอนั่นให้นางดูถึงท่วงท่าทำรักที่ว่าท่าใดได้บุตรชายท่าใดได้บุตรสาวอีกทั้งให้นางเลือก องค์ชายรองผู้นี้เดิมทีสุขุมเยือกเย็นมาบัดนี้นางกลับค้นพบอีกตัวตนหนึ่งของเขาเข้าเสียอย่างนั้น“คนหน้าไม่อายชิ!” ซูเหยาที่เดินทางมาเพียงลำพังโดยเข้าใจว่าขึ้นรถม้าที่นางขึ้นนั่งนั้นเป็นของตำหนักป่าไผ่ส่งมารับ จึงได้แต่บ่นต่อว่าหยางจวิ้นอ๋องกับลมกับฟ้าโดยหารู้ไม่ว่ารถม้าที่ตนนั่งมานั้นหาใช่ของตำหนักป่าไผ่ไม่“ท่านแม่จะได้ผลแน