“ฮ่า ๆ ท่านแม่ลูกสะใจยิ่งนัก ดูนางสิป่านนี้คงอกแตกตายแล้วกระมัง”
“นั่นสิ! นางคงมิคิดว่าท่านองค์ชายรองจะมีใจให้ลูก ดูท่าทางไหล่ตกของนางที่เดินกลับเรือนสิ หึ! ช่างน่าสมเพชเสียจริง”
เสียงสองแม่ลูกทั้งบ่าวไพร่ต่างพูดคุยกันอย่างสนุกปากถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ก่อนซูฉีจะเป็นคนยกมือบุตรสาวขึ้นสำรวจร่องรอยเขียวช้ำ ในใจก็นึกเจ็บแค้นลูกเลี้ยงที่ทำให้ลูกของนางได้รับบาดเจ็บ
“ชิงเยว่ของแม่ เจ้านี่เป็นบุตรสาวที่ประเสริฐจริงแท้ หากเจ้าได้แต่งเข้าเป็นชายาอ๋องแล้วละก็ต่อไปเราก็ไม่ต้องหวั่นเกรงผู้ใดแล้วล่ะ พระชายาเป็นไง คำ ๆ นี้เจ้าเกิดมาเพื่อมัน พวกเจ้าว่าใช่รึไม่ ฮึ”
“เจ้าค่ะฮูหยิน คุณหนูรองของบ่าวเหมาะกับคำเรียกนี้ที่สุด ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นรอช้าอยู่ใย รีบไปหายามาทาให้ลูกข้าเสียสิ ประเดี๋ยวผิวสวย ๆ ของนางจะทิ้งรอยช้ำเอาได้ ไปเร็วเข้า” ซูฉีเอ่ยเสียงเข้มก่อนจะหันมาแย้มยิ้มกับบุตรสาวอย่างรักใคร่และภูมิใจในผลงานวันนี้ของนาง ไม่ได้ใจเหล่า ฮูหยินแล้วเช่นไร เพียงได้ใจองค์ชายรองเท่านี้ก็เป็นพอแล้ว หึ!
อีกด้านฝั่งตะวันออกของจวนกลับเงียบเหงายิ่งยามนี้หยาดฝนโปรย ความมืดร่วงโรยปกคลุมแล้วยิ่งเพิ่มบรรยากาศในเรือนให้เศร้าหมองตามอารมณ์เจ้าของเรือนไปโดยปริยาย
“คุณหนูไม่ร้องนะเจ้าคะ ไม่ร้อง” เยว่ถานเอ่ยปลอบผู้เป็นนายที่นั่งในอ่างไม้ให้นางปรนนิบัติอาบน้ำ คุณหนูที่เคยพูดคุยสดใสอยู่เสมอเวลานี้นอนหลับตานิ่งมีเพียงหยาดน้ำตาจากความเสียใจที่หลั่งไหลออกมามิขาด ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
“ถานเอ่อร์ออกไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจัดการตัวเองเจ้าเองก็ไปนอนได้แล้วนะ”
“แต่ว่าคุณหนู บ่าว”
“ไปเถอะ”
เมื่อผู้เป็นนายบอกมาเช่นนั้นแม้ไม่สบายใจแต่ก็จำใจต้องทำ เยว่ถานมองซ้ายมองขวาอย่างไม่สบายใจที่จะปล่อยคุณหนูนางไว้คนเดียวแต่ก็จำต้องล่าถอยออกมา เผื่อให้คุณหนูนางได้สบายใจ
~พลิ้ว~
สายลมพัดพาละอองฝนเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่เยว่ถานเปิดไว้ ช่องนี้สูงพอสมควรและไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะมีผู้ใดแอบมองได้เพราะมันถูกออกแบบให้คนด้านนอกมองไม่เห็นอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ของเจ้าของห้อง และที่นางเปิดไว้มิใช่ลืมเพราะซูเหยาชื่นชอบกลิ่นฝนตก และหลงใหลในการฟังเสียงมันยิ่งนัก ความเย็นของสายลมบวกกลับละอองฝนทำให้ซูเหยาต้องห่อไหล่น้อย ๆ ทั้งที่แช่ตัวในน้ำอุ่น ดวงตางดงามหลับพริ้มแพขนตาหนาเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา ร่างสะท้านน้อย ๆ จากเสียงสะอื้น ก่อนจะค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ มองกำไลหยกขาวมันแพะที่ข้อมือ ในหัวหวนครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิต
“เฮ้อ เอาล่ะข้าไม่อยากเอาโทษให้มากความ แต่จะว่าไปคุณหนูใหญ่ของท่านช่างต่างจากคุณหนูรองลิบลับเห็นได้ชัดว่า หึ!”
ใช่สิท่านอ๋องคงจะหมายถึงนางไม่มีมารดาอบรมสั่งสอนรึไร ถึงเป็นเช่นนั้นก็จริงแต่นางหาได้ชอบใจไม่ที่มากล่าวหานางเช่นนี้ ไม่ชอบใจแล้วนางทำสิ่งใดได้ ทุก ๆ อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้นางทำไปเพราะอะไรกันซูเหยา ที่เจ้าทนลำบาก ทนให้เขาพรากความสาวเจ้าคราแล้วคราเล่าเพื่อสิ่งใดกัน
“เพราะรัก เพราะ”
‘ข้าสัญญาโตขึ้นข้าจะแต่งงานกับเจ้าน้องหญิง’
“เพราะคำสัญญาในวัยเด็ก รึเพราะข้าลุ่มหลง รึเพราะข้าอยากเอาชนะ แต่ในเมื่อข้าทุ่มสุดตัวขนาดนี้แล้วจะให้หวนกลับไปก็คงมิง่ายแล้ว แต้มพรหมจรรย์นี่ หึ!” ซูเหยาเหยียดยิ้มสมเพชตน นางมองกำไลทั้งสะท้อนในใจของกำนัลอื่นใดมิเคยได้รับมอบมีเพียงคำสัญญาปากเปล่าที่นางยึดมั่นเสมอมา
คราแรกคิดว่าเมื่อได้แต่งเข้าจวนอ๋อง ได้หลีกหนีจากมารดาเลี้ยง ได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับบุรุษที่นางรักคงจะมีความสุขไม่น้อย แต่ว่านี่มันยังจะเป็นจริงได้อีกหรือ แต้มพรหมจรรย์หลอกนี่หากข้าไม่ได้แต่งกับท่านอ๋อง บุรุษอื่นจะรู้รึไม่ แล้วหากท่านพ่อรู้เข้าว่าข้าชิงสุกก่อนห่ามท่านพ่อท่านย่าจะเสียใจรึไม่ แล้วหากว่า เฮือก!
“ว๊าย...อุ๊ป”
“เงียบ!” เสียงเข้มเอ่ยชิดใบหูพร้อมใช้มือใหญ่ปิดปากนางแน่น
“คุณหนู!”
เสียงเยว่ถานเปิดประตูเข้ามาหลังได้ยินเสียงของผู้เป็นนาย ส่วนซูเหยานั้นเพียงได้กลิ่นที่คุ้นเคยก็รับรู้ได้ว่าเป็นผู้ใดนางจึงผ่อนลมหายใจลงอย่างโล่งอก ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงเยว่ถานกำลังวิ่งเข้ามา มือบางรีบผลักอกแกร่งให้หาที่ซ่อนแต่เหมือนว่าหยางจวิ้นอ๋องนึกอยากกลั่นแกล้งนาง ไม่ว่าจะผลักเช่นไรเขากลับไม่ขยับและเมื่อเสียงเยว่ถานเริ่มเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ขึ้นซูเหยายิ่งเหงื่อกาฬไหลพราก ดวงตาไหวระริกหวานหวั่น มองซ้ายมองขวาเพื่อหาที่ให้หยางจวิ้นอ๋องซ่อนและก่อนที่เยว่ถานจะได้เดินเข้ามาซูเหยาจึงตัดสินใจกระชากคว้าเอาจ้าวหยางที่ยังไม่ทันได้ระวังตัวลงมาในอ่างน้ำ ก่อนจะกดเขาลงมิดโชคดีที่เยว่ถานโปรยกลีบดอกไม้เสียหนาจึงใช้อำพรางคนในน้ำได้ไม่ยาก
“คุณหนูเกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าคะ” เยว่ถานวิ่งหอบเอ่ยถามเสียงสั่น
“ไม่มีอะไรเยว่ถาน ข้าแค่ตกใจแมลงสาบหนะ”
“แมลงสาบ! จะมีได้เช่นไรบ่าวว่าบ่าวทำความสะอาดดีมาก ๆ แล้วนะเจ้าคะ คุณหนูไม่ต้องกลัวนะเจ้าค่ะบ่าวจะจับมันเดี๋ยวนี้!” เยว่ถานรูดแขนเสื้อขึ้นทำทีเตรียมจับ แต่ถูกซูเหยาเอ่ยห้ามไว้เสียก่อน แต่ดูเหมือนว่าเสียงที่เปล่งออกมานั้นจะไม่มั่นคงเสียทีเดียว
“เอ่อเยว่ถานไว้พรุ่งนี้เถอะ ตอนนี้เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้าจะได้รีบอาบน้ำตอนนี้ชักหนาวแล้วล่ะ”
“อ่อเช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ มาเจ้าค่ะเยว่ถานช่วยอาบ”
“ไม่ต้อง! คือข้าจะอาบเองเจ้าไปเถอะ” ซูเหยาเอ่ยเสียงตกใจ ก่อนจะปรับเป็นปกติแล้วรีบไล่สาวใช้ตัวน้อยให้รีบออกไป คล้อยหลังบ่าวรับใช้ซูเหยาก็ถอนหายใจพรืดใหญ่อย่างโล่งอก ก่อนจะตกใจอีกคราเมื่อร่างองอาจโผล่ขึ้นจากน้ำด้วยอาภรณ์เปียกโชก ผมลู่ลงแนบไปกับใบหน้าหล่อเหลา สาปอาภรณ์แยกออกเผยให้เห็นลอนกล้ามที่หน้าท้องชัดเจน เหนือสะโพกมีขอบกางเกงรั้งอยู่หมิ่นเหม่ ภาพบุรุษตรงหน้าทำให้ซูเหยาต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างมิอาจห้ามไหว
“แค่ก ๆ เจ้า!” จ้าวหยางเอ่ยเสียงสะบัดอย่างกรุ่นโกรธก่อนจะปรี่เอื้อมมือจับขอบอ่างคร่อมเอาร่างบางไว้ในวงแขนแกร่งใบหน้าก้มเข้าประชิดใบหน้าเล็กของนาง หอบหายใจสะท้อนรุนแรงจากการกลั้นหายใจใต้น้ำ
คราแรกตั้งใจจะเข้ามาหานางแต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าของเรือนกำลังอาบน้ำอยู่ แต่เหตุการณ์กลับเหนือการควบคุมทำให้ต้องเปียกไปทั้งตัวเช่นนี้ แต่เมื่อดวงตาคมมองเห็นภาพโฉมงามขาวกระจ่างเปลือยไหล่อยู่ตรงหน้า เท่านั้นแหละความโกรธในใจอกถึงได้ทุเลา แต่สีหน้ากลับกลายเป็นเจ้าเล่ห์มองนางราวราชสีห์กำลังมองเหยื่อเข้ามาแทน
“ทะท่านอ๋อง พะพระองค์ คือข้ามิได้ตั้งใจใครบอกให้พระองค์เข้ามาเองเล่า” กลายเป็นว่าซูเหยาที่อับอาย มิเคยมีคราใดที่จะเปิดเผยในที่แจ้งเช่นนี้ต่อหน้าจ้าวหยาง ครานี้เปิดเปลือยไปเสียหมดตัวทั้งไฟในห้องก็สว่างไปเสียหมด เมื่อถูกสายตาคมจดจ้องไหล่บางสั่นกลับสั่นระริก หัวใจเต้นรัวกระหน่ำ ซูเหยาเวลานี้ทำได้เพียงนั่งลงให้สายน้ำช่วยเป็นเกราะโอบอุ้มกายเปลือยเปล่าเอาไว้แทน
“เจ้าอายเป็นด้วยรึ หึ!”
ซูเหยาเมื่อได้ยินคำแสลงหูก็เผลอเงยหน้าจ้องมองสบดวงตาคมเข้มอย่างตัดพ้อ ก่อนจะใบหน้าเห่อร้อนแดงก่ำเมื่อหยดน้ำจากปลายจมูกโด่งของเขาหยดลงใส่ใบหน้าของนาง และดูเหมือนว่าใบหน้าหล่อเหลาของจ้าวหยางจะก้มลงต่ำประชิดใกล้นางเข้าเรื่อย ๆ จนซูเหยาต้องหลับตาแน่น
หลังจากดูถูกหยางจวิ้นอ๋องครานั้นซูเหยาก็ไม่คิดจะทำอีกเลย เขาพละกำลังล้นเหลือราวม้าศึกมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยจนซูเหยาประจักษ์แจ้งแก่ใจนัก หลังจากวันนั้นนางก็ร่างกายอ่อนแรงนี่ก็เข้าเดือนที่สองแล้วกระมังที่นางมักเวียนศีรษะอยู่บ่อย ๆ อีกทั้งยังต้องเทียวไปมาระหว่างจวนตระกูลหลินกับตำหนักป่าไผ่ทำให้หลายวันมานี้นางถึงกับทนไม่ไหวเวียนศีรษะจนสำรอกออกมาเสียกลางทาง ทั้งร่างกายมิมีแรงไหนจะทั้งรู้สึกง่วงนอนอยู่ตลอดเวลาอีกเล่าแต่อาการเหล่านี้นั้นช่างน่าประหลาดยิ่งซูเหยาค้นพบว่าอาการนางจะทุเลาลงถึงขั้นหายไปเมื่อได้สูดดมกลิ่นกายของหยางจวิ้นอ๋อง ซึ่งน่าประหลาดนักทำให้หลัง ๆ มานี้จากที่เขาติดนางกลายเป็นนางที่ติดเขาแทนไปเสียแล้ว“ท่านอ๋อง”“ซูเหยาลุกขึ้นก่อนเถิดท่านหมอมาแล้ว” ซูเหยาฝืนอาการเวียนศีรษะหน้ามืดนางพยายามมองดูจ้าวหยางแต่กลับพบว่าบัดนี้มิได้มีเพียงหมอหลวง กลับมีญาติฝั่งนางมาครบอีกแม้กระทั่งพระชายาและท่านปู่ของเขาก็ยังมาด้วย นางเห็นเช่นนั้นก็พยายามลุกขึ้นเพื่อถวายความเคารพ แต่ก็ถูกผู้ใหญ่ทัดทานเอาไว้เสียก่อนเมื่อเห็นใบหน้านางซีดเผือดมิสู้ดีนัก“ซูเหยาเจ้าไม่ต้องลุก ๆ นอนลง ๆ เดี๋ยวให้หมอหลวงตรวจให
[จวนตระกูลหลิน]ซูเหยาบัดนี้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากเมื่อบิดาเอาแต่จ้องตนแต่มิยอมพูดจา นางจึงได้แต่ก้มหน้าแล้วจับชายอาภรณ์พลิกไปพลิกมาแทนเมื่อเริ่มรู้ถึงสถานการณ์กดดัน และเป็นนางที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องยอมเอ่ยปากกับผู้เป็นบิดาก่อน ส่วนท่านย่านั้นมิได้ถูกเชิญออกมากลัวว่าได้ยินเรื่องราวของนางแล้วเดี๋ยวเป็นการซ้ำเติมอาการเข้าไปใหญ่“ท่านพ่อ...”“เจ้ารู้ความผิดตัวเองรึไม่!” หลินเจียงเอ่ยด้วยใบหน้าเข้มน้ำเสียงราบเรียบจนซูเหยานึกขยาดเสียวสันหลังวาบดวงตาเริ่มแดงก่ำเจือด้วยหยาดน้ำวาววับ“ทะท่านพ่อลูกผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ขะข้าทำให้ท่านต้องเสื่อมเสีย ละลูก”“นางมิผิด หากจะผิดล้วนเป็นข้าที่ผิด” จ้าวหยางที่นึกเป็นห่วงนางหลังพูดคุยกับมารดาเสร็จก็รีบควบม้าวิ่งทะยานตรงมาหานางที่จวนในทันที“ทะท่านอ๋อง” เสนาบดีเจียงลุกขึ้นทำความเคารพตามปกติแต่บรรยากาศโดยรอบนั้นกลับเต็มไปด้วยเมฆหมอกอึมครึม“ท่านหลินเป็นข้าทั้งนั้นที่ผิดเจ้าอย่าได้โทษนาง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนถูกล่อลวงจากข้าทั้งนั้น”“ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านพ่อ มิใช่เช่นนั้นเป็นข้าเองที่ชอบท่านอ๋องมาก” ซูเหยาที่นึกกลัวผู้เป็นพ่อที่มีท่าทางเอาจริงเอาจังอย่างที่ไม
การที่องค์ชายรองประคองมารดาเดินมาชมบุปผาในอีกด้านนั้นก็พอดีกับเหล่าขุนนางที่ว่าราชการจบ ไท่จื่อเฟยจึงได้ถือโอกาสเชิญพวกเขามาดื่มชา ชมบุปผางามเพื่อผ่อนคลายจากงานราชกิจ โดยทุกอย่างนั้นล้วนถูกจ้าวหยางและมารดาจัดแจงความเป็นไปไว้เสียหมดสิ้น“ท่านแม่ ๆ ท่านแม่ว่าป่านนี้พี่สาวของข้านางจะเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ หึ!”.”ก็คงนอนตายอยู่ใต้หน้าผาลึกแล้วกระมัง ฮ่า ๆ ช่างเถอะคนมันไม่มีวาสนาก็เหมือนแม่นางนั้นแหละ ชะตาอาภัพผู้ใดจะคิดกันเล่านังเด็กซูเหยานั้นออกจะเก่งกาจจะมาตายง่ายดายถึงเพียงนี้ หึ ๆ”“แต่ท่านแม่หากท่านพ่อรู้เล่าเจ้าคะ ท่านพ่อต้องถามหานางแน่ ๆ” ชิงเยว่เมื่อนึกถึงผู้เป็นพ่อขึ้นมาก็กลับเกิดหวาดกลัวขึ้นในใจ“พ่อเจ้าหนะรึโง่สิ้นดีหนะสิ ขนาดฮูหยินใหญ่นางตายเพียงข้าโกหกเพียงนิด บีบน้ำตาเสียหน่อยเขาก็คิดเสียแล้วว่าการตายของนางเป็นอุบัติเหตุ” ซูฉีที่นางมั่นใจเพียงนี้นั้นก็เพราะตระกูลนางกว้างขวางซ้ำร่ำรวยทำสิ่งใดจึงมิต้องได้เปลืองแรงมากนัก สองแม่ลูกพูดคุยกันเพลิดเพลินโดยหารู้ไม่ว่าบัดนี้คนที่อยู่นอกห้องนั้นได้ยินถ้อยคำพวกนางเสียหมดสิ้น“ซูฉี! หลินชิงเยว่! ” เสนาบดีหลินเดินออกมาอย่างเลื่อนลอยแต่ใ
“ท่านแม่ ๆ มีเทียบเชิญเข้าเฝ้าพระชายาเช่นนั้นรึเจ้าคะ” ชิงเยว่รีบวิ่งหน้าตั้งมาหาผู้เป็นมารดาที่เรือน หลายวันมานี้นางมิต้องสำรวมสิ่งใด ท่านย่าป่วย ท่านพ่ออยู่ว่าช่วยราชกิจฝ่าบาทในวัง อีกทั้งนังพี่สาวตัวดีหายสาบสูญ ดูเถิดคนในเรือนนางยังคิดว่านายหญิงพวกมันอยู่ที่ตำหนักป่าไผ่ หึ! เป็นซากศพเฝ้าหน้าผาลึกต่างหากเล่า ช่วยมิได้ใครใช้ให้เจ้ากล้ามาแย่งชิงความชอบขององค์ชายรองกับข้า“ใช่ ๆ เจ้าหนะหัดสำรวมเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นเกิดผู้ใดทะเล่อทะล่าเข้ามาเห็นเข้าแล้วเอาไปพูดต่อละก็ไม่ดีแน่” ซูฉียิ้มปริ่มนึกปลาบปลื้มในใจที่เทียบเชิญเขียนชื่อชิงเยว่กับนางเพียงสองคน ไม่มีชื่อนังเด็กซูเหยา ใช่สิ! จะมีได้เช่นไรในเมื่อนางส่งมันไปหาแม่มันด้วยมือตนเอง หึ!“แม่นมอวิ๋นเร็วเข้าไปเตรียมรถม้าให้เร็ว ข้าจะพาลูกข้าไปซื้อหาอาภรณ์ใหม่เสียหน่อยเข้าวังครานี้จะน้อยหน้าสตรีอื่นได้เช่นไร”“เจ้าค่ะฮูหยิน”“ท่านแม่ดีที่สุด วันพรุ่งลูกต้องโดดเด่นกว่าใครในงานชมบุปผาให้ได้” ชิงเยว่ยิ้มอีกทั้งกอดแขนมารดาอย่างออดอ้อน[ตำหนักเทียนจื่อ]“ท่านอ๋องพระองค์อยู่นิ่ง ๆ เถิดเลิกกลั่นแกล้งข้าเพียงครู่ ข้าขอดูเหล่าบรรดาคุณหนูพวกนั้น
“แค่ก ๆ” เสียงไอแห้ง ๆ ติดกันเรียกความสนใจให้จ้าวหยางที่อ่านฎีกาต้องรีบวางมือและเข้ามาโอบประชิดร่างบางเข้าแนบอก พร้อมฝ่ามือใหญ่ที่ลูบตามตัวนางไปมาอย่างต้องการปลอบประโลม“ซูเหยาเป็นเช่นไร ยังเจ็บส่วนใดอยู่รึไม่ ข้าขอโทษ ๆ ข้าไม่น่าเอาแต่ใจนัดเจ้าออกมาวันนี้เลยจริง ๆ ข้าขอโทษ หากว่าข้าไปช่วยไว้ไม่ทันป่านนี้ ๆ เกรงว่าข้าคงจะเสียเจ้าไปแล้ว” จ้าวหยางพูดทั้งหมดความที่มีอยู่ในใจเสียหมดสิ้นจนทำให้ซูเหยาที่ถูกกดศีรษะให้แนบชิดฝังแน่นกับอกแกร่งต้องลอบยิ้มกับแผ่นอกกว้างทั้งน้ำตา พร้อมกับมือบางที่ค่อย ๆ ยกขึ้นทำทีคล้ายจะกอดตอบ นางชั่งใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะตัดสินใจโอบกอดร่างหนาไว้เฉกเช่นกัน“ซูเหยา” จ้าวหยางที่รับรู้ว่านางกอดตอบตนมาเช่นนั้นก็เผยยิ้มดีใจ ทั้งสองตกอยู่ในห้วงภวังค์ของกันและกันมีเพียงเสียงลมหายใจระหว่างกันให้ได้ยิน ซ้ำไร้การเอื้อยเอ่ยบทสนทนาใด ๆ ออกมาใช้เพียงใจและกายสื่อความรู้สึกถึงกันและกัน“องค์ชาย...อะเอ่อคือกระหม่อม คือกระหม่อมว่าควรออกไปดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนเฟิงที่บังเอิญเข้ามาถูกจังหวะก็รีบหันตัวกลับแทบจะในทันที ก่อนจะเอ่ยเสียงตะกุกตะกักจนจ้าวหยางเอ่ยออกคำสั่งให้รายงานได้จึงได้
หลังจากวันนั้นซูเหยาก็รู้สึกหายใจโล่งนักที่หยางจวิ้นอ๋องมิได้มาตามตื้อก่อกวนนาง แต่นั้นเพียงกลางวันกลางคืนเล่าท่านอ๋องกลับทำตัวเป็นโจร บุปผาลอบเข้าออกเรือนนางราวเรือนตน ทั้งที่นางจ้างคนมาเฝ้าเรือนนางมากขึ้นแต่นั่นก็มิได้เป็นอุปสรรค ทั้งนางข่มขู่ก็แล้ว ต่อว่าก็แล้ว นางใช้สารพัดวิธีแต่ก็มิอาจขัดขวางเขาได้ และเหตุผลที่ให้แก่นางคือ ทำลูกและวันนี้เป็นอีกวันที่นางถูกเขาเชิญให้ไปตำหนักป่าไผ่เหตุผลแกมข่มขู่คือให้หมอหลวงตรวจชีพจรว่านางนั้นท้องแล้วรึไม่ และเป็นนางเองที่เริ่มคิดแล้วว่าสรุปเป็นผู้ใดกันแน่ที่อยากมีลูกเขานั้นดูจริงจังกว่านางมากนัก ซ้ำยังน่าไม่อายกลับกางตำรากามสูตรบ้าบอนั่นให้นางดูถึงท่วงท่าทำรักที่ว่าท่าใดได้บุตรชายท่าใดได้บุตรสาวอีกทั้งให้นางเลือก องค์ชายรองผู้นี้เดิมทีสุขุมเยือกเย็นมาบัดนี้นางกลับค้นพบอีกตัวตนหนึ่งของเขาเข้าเสียอย่างนั้น“คนหน้าไม่อายชิ!” ซูเหยาที่เดินทางมาเพียงลำพังโดยเข้าใจว่าขึ้นรถม้าที่นางขึ้นนั่งนั้นเป็นของตำหนักป่าไผ่ส่งมารับ จึงได้แต่บ่นต่อว่าหยางจวิ้นอ๋องกับลมกับฟ้าโดยหารู้ไม่ว่ารถม้าที่ตนนั่งมานั้นหาใช่ของตำหนักป่าไผ่ไม่“ท่านแม่จะได้ผลแน