ระหว่างการเดินทางคนที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดเห็นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากข้าวโพด ถึงจะเกิดที่เชียงใหม่แต่ข้าวโพดก็ไปโตที่บ้านฝั่งพ่อที่จังหวัดแถวภาคกลาง และไปอยู่กรุงเทพเสียเป็นส่วนมากนานๆ จะมาเยี่ยมมาหายายบุปผาที่เชียงใหม่ที มาแล้วก็ไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหน การได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่เขียวชะอุ่มเต็มไปด้วยต้นไม้สองข้างทาง มองข้างหน้ามีภูเขาอยู่เบื้องหน้าตัดกับท้องฟ้่าสีครามมีเมฆสีขาวประดับเหมือนปุยนุ่นสำหรับข้าวโพดแล้วมันเป็นอะไรที่สวยงามเหมาะแก่การท่องเที่ยวมาก ไม่คิดเลยว่าที่เมืองไทยจะมีวิวสวยๆแบบนี้ให้ดูนึกว่าจะมีแค่ที่เมืองนอกที่ข้าวโพดเคยดูในยูทูป
ท่าทางตื่นเต้นของข้าวโพดสร้างความเอ็นดูให้กับแม่เลี้ยงกานดามาก ใบหน้าเล็กทั้งสวยทั้งน่ารักนั่นเกาะกระจกมองทิวทัศน์ตลอดเวลา บ้างครั้งก็ผละออกมายิ้มและถามผู้เป็นยายความออดอ้อนของข้าวโพดที่ต่อทำกับยายมันทำให้แม่เลี้ยงคิดว่าถ้าไปอ้อนกับพี่บลูลูกชายผู้ท่าเยอะของนางจะเป็นอย่างไร แค่คิดแม่เลี้ยงก็แอบยิ้มหลุดหัวเราะออกมาคนเดียว
“เป็นอะไรคุณอยู่ๆก็หัวเราะ” พ่อเลี้ยงธนาถามภรรยาเมื่ออยู่ๆอีกคนก็ยิ้มและหัวเราะออกมาคนเดียว เขากับภรรยานั่งเบาะหลังสุดเลยทำให้มองเห็นทุกคน ส่วนตรงกลางก็เป็นสองยายหลานเบาะด้านหน้าเป็นลุงกับหลานสองคน
“เปล่าๆ ค่ะ ดาแค่คิดอะไรเพลิน” แม่เลี้ยงตอบสามี ก่อนที่จะโดนคนเป็นสามีแอบหอมแก้ม
“คิดอะไรซุกซนหรือเปล่าเนี่ย หือ”
“บ้า ใครจะไปคิดล่ะ มีแต่คุณนั่นแหละ” แม่เลี้ยงกระซิบสามีเบาๆ
“ป๊ะบลู ใกล้ถึงยังฮะ” เสียงเล็กๆของน้องบูมถามคนเป็นลุง หลังจากที่นั่งมานานพอสมควร
“ทำไมครับลูก” เสียงคนเป็นลุงถาม แต่คนที่เงี่ยหูฟังเจ้านายคนใหม่คุยกับเด็กน้อยแอบหมั่นไส้อยู่นิดๆพอพูดกับลูกเสียงสองเสียงสามเชียว ทีกับเราหน้าบึ้งเสียงเข้ม
“น้องบูมเมื่อยแล้วครับ น้องบูมอยากเจอสีนวล” เด็กชายตัวน้อยพูดถึงลูกม้าที่ตัวเองเคยเห็นตอนมากับคุณตาเมื่อครั้งก่อน
“อีกแปล๊บนะครับลูก” เสียงทุ้มบอกเด็กชายก่อนที่จะก้มลงหอมหัวทุยเล็กนั่น
“เย้ๆ ถึงสักที น้องบูมจะหาสีนวล”
เสียงน้องบูมดังขึ้นหลังจากที่รถจอดสนิท ที่หน้าบ้านไม้สักหลังใหญ่ มองบริเวณรอบๆเขียวสุดลูกหูลูกตา หน้าบ้านมีต้นกุหลาบออกดอกสีขาวสีแดงชูช่ออยู่ พอทั้งหมดลงจากรถก็มีแม่บ้านรุ่นใกล้เคียงกับป้าบุปผาและวัยรุ่นมายืนต้อนรับ
“สวัสดีค่ะพ่อเลี้ยง สวัสดีค่ะแม่เลี้ยง” ป้าแม่บ้านยกมือไหว้เจ้านายทั้งสองพลอยทำให้หญิงสาวที่มายืนอยู่ด้วยยกมือไหว้ตาม ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ที่พ่อเลี้ยงหนุ่มพร้อมกับส่งยิ้มตาสายตามองร่างสูงหยาดเยิ้ม
“หวัดดีค่ะป้าชุม ไม่เจอกันนานเลยสบายดีนะคะ แล้วนี่ใครกันล่ะเนี่ย” แม่เลี้ยงกานดาทักทายประชุมแม่บ้านที่ดูแลความเรียบร้อยรวมทั้งอาหารการกินของบ้านไม้สักที่ไร่ชาแห่งนี้ พร้อมกับถามแม่บ้านเมื่อเห็นสาวสวยวัยรุ่นแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยเสื้อผ้ารัดรูปตัวน้อยเปิดเผยให้เห็นผิวขาวๆที่ยืนอยู่ข้างๆป้าประชุม แต่ส่งยิ้มหวานมาให้ลูกชายของนาง
“เอ่อ นี่ทับทิมหลานสาวของดิฉันเองค่ะแม่เลี้ยง เพิ่งมาอยู่ใหม่ไม่ถึงเดือนค่ะ นังทับทิมนี่แม่เลี้ยงกานดากับพ่อเลี้ยงธนา ท่านเป็นคุณพ่อกับคุณแม่ของพ่อเลี้ยงกิตติภูมิไหว้ท่านซะซิ” ป้าประชุมบอกหลานสาวที่เอาแต่ส่งสายตาชื่นชมเปิดเผยให้พ่อเลี้ยงหนุ่ม ที่มันใฝ่ฝันอยากจะเป็นเมียเค้า ทำให้สาวเจ้าได้สติก่อนจะยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองอีกครั้ง
“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ เอ่อพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงค่ะ” ทับทิมแกล้งพูดผิดเพื่อให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเอ็นดูและอนุญาตให้ตัวเองเรียกคุณพ่อคุณแม่ได้ เพราะเธอเชื่อว่าความสวยของเธอทำให้ผู้พบเห็นเอ็นดูและหลงไหลได้เสมอ
“เอ่อ หวัดดีจ่ะหนู พากันเข้าบ้านเถอะลูกแดดเริ่มร้อนแล้วเดี๋ยวน้องบูมเป็นไข้” แม่เลี้ยงกานดาหาสนใจหญิงสาวอีกไม่ ดูก็รู้ว่าหญิงสาวอยากจะมาทอดสะพานเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ของเธอ เลยหาข้ออ้างเข้าบ้านไปไม่อยากพูดด้วย กิตติภูมิเลยได้แต่อุ้มน้องบูมตามคนเป็นพ่อและแม่ไป ส่วนยายบุปผากับข้าวโพดสองคนยายหลานก็เดินตามนายจ้างเข้าไปอีกที
“นี่พี่บลู ให้คนจัดที่พักให้น้องข้าวโพดหรือยังลูก” แม่เลี้ยงถามลูกชายในขณะที่นั่งพักอยู่ที่โซฟาห้องรับแขก
“เตรียมไว้แล้วครับคุณแม่ อยู่ที่บ้านพักคนงานหลังเดิมที่ผู้ช่วยคนก่อนอยู่ครับ” เสียงลูกชายบอก ทำเอาผู้เป็นแม่หันขวับไม่ชอบใจทันที ก่อนที่จะพูดเสียงดังกับลูกชาย
“ได้ยังไงพี่บลู ให้น้องไปพักที่นั่นได้ยังไง แม่ไม่ยอมนะ จัดห้องให้น้องพักที่บ้านไม้สักนี่เลย”
“แต่มันไม่มีห้องว่างแล้วนะครับคุณแม่”
“ก็ให้นอนห้องที่ทำไว้ให้น้องบูมหรือไม่อย่างนั้นก็นอนห้องเดียวกับลูกเลือกเอาจะเอายังไง” คนเป็นแม่เริ่มใช้อำนาจบังคับลูกชายอีกครั้ง ทำให้คนเป็นลูกเหลือบมองไปยังลูกจ้างกิตติมศักดิ์ทันที
“เอ่อ คุณป้าครับ ให้ข้าวโพดพักที่บ้านพักที่พ่อเลี้ยงจัดไว้ดีกว่าครับ จะได้ไม่เป็นที่ครหาเพราะข้าวโพดก็เป็นแค่่ลูกจ้างเป็นคนงานเหมือนกัน เดี๋ยวคนอื่นหาว่าพ่อเลี้ยงกับแม่เลี้ยงลำเอียงนะครับ” เจ้าของเสียงใสบอกกับแม่เลี้ยงกานดาทันทีเพราะถ้าจะให้เขามาพักบ้านเดียวกันกับคนหน้ายักษ์เหมือนคนท้องผูกไม่ถ่ายมาหลายวันแบบนี้เขาขออยู่คนเดียวที่บ้านพักคนงานดีกว่าสบายใจกว่า
“ไม่ได้ลูก หนูข้าวโพดจะไปอยู่แบบนั้นไม่ได้ป้าเป็นห่วง อีกอย่างหนูจะได้มาช่วยงานพี่บลูด้วยเผื่องานไม่ลงตัวต้องทำต่อเนื่องตอนกลางคืนอีก” แม่เลี้ยงค้านทันที งานอะไรวะต้องทำตอนกลางคืนกิตติภูมิได้แต่งงที่แม่ตัวเองพูด
“เอ่อ….”
“งั้นให้หนูข้าวโพดพักที่เรือนมะลิดีไหมคุณ”
พ่อเลี้ยงธนาเสนอขึ้น คำพูดของพ่อเลี้ยงธนาทำให้แม่เลี้ยงกานดาหันขวับมามองหน้าสามีทันทีอย่างถูกใจ เพราะเรือนมะลิที่พ่อเลี้ยงพูดถึงเป็นบ้านไม้สักที่ลูกชายนางหวงมากและเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง และอยู่เป็นสัดส่วนในเขตของบ้านใหญ่ไม่ไกลจากบ้านไม้สักหลังใหญ่นี้และไม่ได้อยู่ในส่วนของบ้านพักคนงานเลย
“งั้นเอาแบบนั้นก็ได้เผื่อหนูข้าวโพดอยากมีความเป็นส่วนตัว” แม่เลี้ยงเห็นด้วยทันทีถ้าเป็นเรือนมะลิหลังนั้น ทำให้ข้าวโพดโล่งอกทันทีที่แม่เลี้ยงเปลี่ยนใจ ส่วนคนเป็นลูกก็โล่งอกถึงแม้จะหวงบ้านหลังนั้นแต่ก็ดีกว่าให้คนงานมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน เดี๋ยวเสียการปกครองหมด แค่นี้ก็มีอภิสิทธิ์เหนือคนงานคนอื่นแล้ว
“ป้าชุมเดี๋ยวให้ใครก็ได้เอากระเป๋าของคุณข้าวโพดไปเก็บที่เรือนมะลิหน่อย” แม่เลี้ยงกานดาบอกป้าประชุมทันทีที่อีกคนเอาน้ำเข้ามาเสิร์ฟพร้อมกับหลานสาว
“คุณป้าครับ ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวข้าวโพดเอาไปเก็บเองก็ได้ ขอเพียงแค่บอกทางและพาข้าวโพดไปก็ได้ นะครับถือว่าข้าวโพดขอร้อง” ร่างบางอ้อนแม่เลี้ยงกานดาเพราะตัวเองก็เป็นแค่ลูกจ้างเหมือนกันไม่อยากเอาเปรียบใคร คนที่โดนคนหน้าหวานตกรีบตามใจหนูข้าวโพดว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอทันที
“งั้นไม่เป็นไรป้าชุม คุณข้าวโพดเขาบอกจะเอาไปเอง ข้าวโพดลูกไปกับป้าป่ะไปดูห้องพักและเอากระเป๋าไปเก็บกัน พี่บลูลุกขึ้นเป็นเจ้าบ้านที่ดีหน่อย เดินนำหน้าพาน้องกับแม่ไปดูบ้านกันว่าขาดเหลืออะไร ป่ะป้าผาเราไปดูบ้านมะลิของน้องข้าวโพดกัน” แม่เลี้ยงกานดายกบ้านมะลิให้ข้าวโพดเสร็จสรรพ
“พี่ข้าวโพดคนสวย น้องบูมไปด้วยครับ” เด็กชายตัวน้อยรีบเสนอตัวไปด้วยทันที มองข้าวโพดอย่างอ้อนๆ เพราะพี่ข้าวโพดหน้าตาสวยเหมือนม๊าบอมของตัวเอง
“งั้นก็ไปกันหมดเลยนี่แหละ เสร็จแล้วจะได้พาน้องบูมไปเล่นกับสีนวล” พ่อเลี้ยงธนาลุกขึ้นหลังจากออกความเห็น ทั้งหมดเลยพากันลุกขึ้นทยอยเดินตามพ่อเลี้ยงออกไป โดยที่ร่างบางของข้าวโพดลากเอากระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้ของตัวเองไปด้วย
บ้านมะลิที่ข้าวโพดจะได้มาพักอาศัยในช่วงที่ทำงานให้กับพ่อเลี้ยงกิตติภูมินั้น อยู่ไม่ไกลจากบ้านไม้สักเดินไม่กี่นาทีก็ถึง เป็นบ้านไม้สักขนาดไม่เล็กมากมีสองชั้นอยู่บนเนินเขา ด้านนอกตัวบ้านต่อเป็นระเบียงไม้ไว้สำหรับนั่งพักผ่อนรับอากาศเย็นๆ เข้าไปข้างในบ้านชั้นล่างล่างแบ่งเป็นโซนเล็กๆ ทั้งห้องนั่งเล่น โซนห้องครัวและห้องอาบน้ำแยกกันไว้ชัดเจนเป็นสัดเป็นส่วน แล้วก็เป็นบันไดไม้ที่ทำเป็นบันไดวนขึ้นไปสู่ชั้นสองของบ้าน ชั้นสองที่เป็นแค่ห้องนอนโล่งๆขนาดใหญ่ห้องเดียว มีเตียงหลังใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางและมีตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่อยู่มุมห้องพร้อมทั้งโต๊ะเครี่ืองแป้ง ถ้านอนอยู่บนเตียงหันไปปลายเตียงก็จะเห็นเป็นกระจกใสใช้มองทิวทัศน์และบรรยากาศด้านนอกซึ่งเป็นหุบเขาสีเขียวตอนนี้ยังมีหมอกสีขาวปกคลุมอยู่มันสวยงามถูกใจข้าวโพดมาก รอบๆตัวบ้านได้กลิ่นดอกมะลิส่งกลิ่นหอมอ่อนๆโชยมาตามสายลมตลอด เพราะรอบตัวบ้านล้อมรอบไปด้วยต้นดอกมะลินี่เองถึงได้ชื่อว่าเรือนมะลิ
หลังจากบทสนทนานั้น บรรยากาศในบ้านกลับมาผ่อนคลาย พ่อแม่ของพันธกรเริ่มพูดคุยกับภาณุพงศ์อย่างเปิดใจมากขึ้น ความตึงเครียดและความไม่ไว้วางใจที่เคยมีก็เริ่มหายไป พวกท่านเริ่มเห็นถึงความเป็นคนดีและความจริงใจของภาณุพงศ์ ในช่วงเย็น พ่อของพันธกรยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก ขณะที่พูดคุยกับภาณุพงศ์เกี่ยวกับอนาคต “ลูกเขยแบบเธอก็ดูไม่เลวเลยนะ ถ้าทำได้อย่างที่พูดไว้ พ่อก็คงไม่มีอะไรต้องห่วง” พ่อของพันธกรพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ “ขอบคุณครับพ่อ ผมจะทำให้ดีที่สุด” ภาณุพงศ์ยิ้มรับ พันธกรยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อได้เห็นพ่อแม่ยอมรับตัวตนของเขาและภาณุพงศ์ เขาก็รู้สึกว่าทางเดินที่เคยยากลำบากนั้นได้เปิดกว้างขึ้นแล้ว แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงบนทุ่งดอกดาวเรืองที่บานสะพรั่ง ทุ่งดอกไม้สีเหลืองทองสว่างสดใสทำให้บรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสงบ พันธกรยืนมองดอกไม้ที่เขาใช้เวลาหลายปีในการดูแลด้วยความรักและภาคภูมิใจ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว ข้างๆ เขาคือภาณุพงศ์ คนที่เขารัก ซึ่งตอนนี้นายตำรวจหนุ่มจับมือพันธกรไว้แน่น ทั้งคู่ยืนเคียงข้างกัน มองดูทุ่งดอกดาวเรือ
พันธกรยืนอยู่กลางทุ่งดาวเรืองที่เคยเป็นความภาคภูมิใจของเขา แต่ทุกอย่างรอบตัวกลับดูไร้สีสันและไม่มีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อน หลังจากที่พ่อแม่พยายามกีดกันความสัมพันธ์ของเขากับภาณุพงศ์ และบังคับให้เขาอยู่ในกรอบของครอบครัว ชีวิตของพันธกรก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเขาไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยออกไปพบปะใคร และไม่สนใจสิ่งที่เคยทำให้เขามีความสุขอีกต่อไป ทุกวันเขาแค่ทำงานตามหน้าที่ ร่างกายทำงานไปตามปกติ แต่หัวใจกลับแห้งแล้งเหมือนถูกกักขังในกรงแห่งความทุกข์แม่ของพันธกรมองดูลูกชายด้วยความเจ็บปวดใจ ในสายตาของเธอ เขากลายเป็นคนเงียบขรึมและหม่นหมองไปอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่วันที่เธอและสามีกีดกันความรักของเขา เขาก็ไม่เคยยิ้มอย่างจริงใจอีกเลย"พ่อ พ่อลองมองดูลูกของเราซิ ตั้งแต่วันนั้นที่เราห้ามเขา เขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย" คนเป็นแม่พูดกับพ่อด้วยน้ำเสียงกังวลและทุกข์ใจพ่อของพันธกรซึ่งแม้จะภายนอกยังดูแข็งกร้าว แต่ภายในใจกลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดไม่ต่างกัน เขาเองก็รู้ว่าลูกชายของเขาไม่ได้มีความสุขเหมือนที่เคยเป็น เขาได้แต่ถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะเอ่ยกับภรรยาคู่ชีวิต"พ่อแค่ไม่อยากให้ลู
หลังจากการเผชิญหน้ากับภาณุพงศ์ พันธกรยังคงใช้เวลาส่วนใหญ่ในไร่ดอกดาวเรือง ความสงบของธรรมชาติที่ล้อมรอบเขาเป็นเหมือนเครื่องปลอบประโลมความคิดที่ยังคงยุ่งเหยิงอยู่ในใจ แม้ว่าเขาจะปฏิเสธภาณุพงศ์ไปและไล่ภาณุพงศ์กลับไปเชียงใหม่ในตอนแรก แต่ความจริงคือคำพูดของภาณุพงศ์ยังคงก้องอยู่ในหัวใจของเขา ความจริงใจที่เห็นในสายตา และน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจและรัก ทำให้พันธกรเริ่มรู้สึกถึงความหวั่นไหวในใจ เขานั่งลงใต้ร่มไม้ มองดูดอกดาวเรืองที่เริ่มเปลี่ยนสีเมื่อแสงแดดตกกระทบ มันทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาที่ดีระหว่างเขากับภาณุพงศ์ก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มซับซ้อน ความทรงจำเหล่านั้นทำให้พันธกรอดคิดไม่ได้ว่า บางทีเขาอาจไม่สามารถตัดใจจากภาณุพงศ์ได้อย่างที่เขาตั้งใจ ขณะที่กำลังจมอยู่กับความคิด โทรศัพท์ของพันธกรดังขึ้น ชื่อของภาณุพงศ์ปรากฏบนหน้าจอ เขามองมันอยู่นานก่อนจะตัดสินใจรับสาย ด้วยน้ำเสียงที่นิ่ง "ว่าไง" ถึงแม้พันธกรจะข่มเสียงให้นิ่ง แต่ในใจตอนนี้เขากลับเต้นรัว เพราะเสียงที่ภาณุพงศ์ตอบกลับมากลับเป็นเสียงที่อ่อนโยน "พี่แค่อยากถามว่าพันสบายดีไหม พี่รู้ว่าพันคงกำลังเครียดกับหลายๆ เรื่อง" "ก็ดี
วันนี้เป็นวันที่ฟ้าครึ้มเล็กน้อย ลมพัดเบาๆ ภาณุพงศ์กำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ในคาเฟ่ประจำ เขาตั้งใจใช้เวลาว่างจากงานเพื่อลองจัดการความรู้สึกที่ยังคงค้างคาใจเกี่ยวกับพันธกร แม้จะพยายามลืมแต่ในใจลึกๆ เขายังคงนึกถึงอยู่เสมอทุกครั้งที่เขาว่างในขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นไปจ่ายเงิน เขาก็เห็นข้าวโพดเดินเข้ามาในร้าน ภาณุพงศ์จึงเดินเข้าไปทักทาย“น้องข้าวโพด มาทำอะไรแถวนี้ครับ”“อ้าว พี่พงศ์ ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่ ข้าวโพดอยากมาทานเค้กร้านนี้ครับก็เลยบังคับให้เฮียบลูพามา แล้วพี่พงศ์ล่ะครับ”“ก็เหมือนเดิม พักนี้ยุ่งๆ เลยหาที่นั่งสงบๆ คิดอะไรนิดหน่อย แล้วนี่ไอ้บลูล่ะ”“เฮียบลูคุยโทรศัพท์กับลูกค้าอยู่ครับ ข้าวโพดเลยเดินเข้ามาก่อน” ข้าวโพดบอกเพื่อนสามีและมองภาณุพงศ์เหมือนกำลังชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่“เอ่อ พี่พงศ์รู้ไหมครับ ว่าพี่พันเพิ่งมาหาที่เชียงใหม่เมื่อวาน”ภาณุพงศ์ตกใจที่ได้ยิน หัวใจเต้นตึกตักที่ได้ยินเพียงแค่ชื่อของคนที่อยู่ในความคิดของเขาตลอด“พะ พันมาที่นี่ เขามาที่นี่เหรอ”“ใช่ครับ พี่พันมาหาข้าวโพดเมื่อวาน และเขาบอกอยากเจอพี่มาก และมีอะไรจะบอกพี่พงศ์ แต่…” ข้าวโพดหยุดพูดเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่อ
ในบรรยากาศของบ้านไม้สักเก่าแก่หลังใหญ่ที่เชียงคาน พันธกรนั่งฟังพ่อและแม่พูดคุยเรื่องการเตรียมงานแต่งงานที่พ่อเขาได้ตกลงกันไว้กับทางครอบครัวของอิงอรไปแล้วโดยไม่ถามความเห็นของเขา วันที่ถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว เป็นการตกลงที่รวดเร็วเกินไป ทำให้พันธกรรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าสู่เส้นทางที่เขาไม่ได้ต้องการ “พ่อกับแม่คุยกับครอบครัวหนูอิงเรียบร้อยแล้ว งานแต่งจะจัดเดือนหน้า” พ่อของพันธกรพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับครอบครัวเรา อีกไม่นานแม่ก็จะได้เห็นหลานเต็มบ้านเต็มเมือง” แม่ของเขาพูดเสริมขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ส่งมาให้เขาอย่างอบอุ่นและคาดหวัง พันธกรได้แต่พยักหน้ารับคำ แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสับสนและความทุกข์ใจ เขายังคงคิดถึงภาณุพงศ์อย่างห้ามไม่ได้ ความรู้สึกที่เคยคิดว่าจะจางหายไปกลับทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อเขาต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต ไม่กี่วันต่อมา พันธกรตัดสินใจเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อหาโอกาสระบายความอึดอัดใจให้กับข้าวโพด ซึ่งเป็นญาติผู้น้องที่เขาสนิทและไว้ใจ เขารู้ว่าข้าวโพดเป็นคนเดียวที่เขาจะพูดคุยด้วยได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดสิน
บรรยากาศในบ้านของพันธกรดูสดใสขึ้นตั้งแต่เขากลับมาอยู่ที่เชียงคาน แต่ในใจของเขากลับรู้สึกอึดอัดมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับแรงกดดันจากพ่อของเขา วันนี้พ่อเขาโทรมาหาให้เขาไปทานข้าวและนอนที่บ้านมีเรื่องจะคุยด้วย เขาซึ่งปกตินอนที่บ้านที่ไร่ดอกดาวเรืองเลยต้องเข้ามาหาพ่อกับแม่ผู้ให้กำเนิด “พ่อคิดว่าอิงอรเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมกับลูก” พ่อพูดขณะนั่งจิบชาหลังอาหารเย็น “เธอเป็นคนดี เรียนเก่ง แถมยังช่วยงานพ่อแม่ของเธอได้เยอะ พ่อว่าถ้าลูกได้ใช้เวลากับเธอมากกว่านี้ อาจจะเห็นอะไรดีๆ มากขึ้นก็ได้” พันธกรรู้ดีว่าพ่อของเขาตั้งใจจะให้เขาแต่งงานและตั้งหลักปักฐานตามแบบที่ครอบครัวคาดหวังไว้ เขาไม่ได้อยากทำให้พ่อผิดหวัง เขาจึงพยักหน้ารับด้วยความจำใจ “ได้ครับพ่อ ผมจะลองออกไปเจอเธอดู” วันเสาร์เช้าตรู่ อิงอรกับครอบครัวของเธอปรากฏตัวที่บ้านพ่อกับแม่ของพันธกรในชุดเดรสเรียบๆ แต่ดูน่ารัก เธอมาพร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความตั้งใจจะทำให้วันนี้เป็นวันที่น่าจดจำสำหรับพวกเขาทั้งคู่ “สวัสดีค่ะ พี่พัน” อิงอรยิ้มอย่างเป็นกันเอง “วันนี้เราจะไปไหนกันดีคะ” พันธกรพยายามฝืนยิ้มกลับ “เดี๋ยวผมพาไปเดินเล่นริมโขงนะ