ในจังหวะที่หนิงอันกำลังมองพิจารณาเด็กหนุ่มทั้งสองอยู่ “คุณหนู นายท่านเรียกหาเจ้าค่ะ” เด็กหญิงรับใช้วัยสิบสามปีกระซิบข้างหูผู้เป็นนายเสียงเบาเมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเรือน
หนิงอันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหันหน้าไปสั่งพ่อบ้านวัยกลางคนอย่างสุภาพ “ท่านพ่อบ้านรุ่ยรถม้าทั้งสามคันในช่องลับให้แบ่งสิ่งของที่ข้าจัดเรียงไว้ใส่ลงไปเท่า ๆ กัน เรื่องนี้ท่านต้องเป็นผู้ตรวจสอบอย่าให้ตกหล่นนะเจ้าคะ”
“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนรับคำ เนื่องจากเขารู้ดีว่าสิ่งที่คุณหนูจัดเตรียมไว้นั้นมีอะไรบ้าง
ของมีค่ามีอยู่ไม่มากหากเทียบกับหมึก กระดาษ ตำราของนายท่านที่ล้วนเป็นของมีค่าสำหรับบัณฑิต
ย้อนกลับไปในขณะที่หนิงอันปรึกษาคนในครอบครัวในการจัดเก็บข้าวของ
“ท่านแม่เจ้าคะ บ้านเรามีบ่าวรับใช้กี่คน มีทรัพย์สินอยู่เท่าไหร่” เด็กหญิงกางกระดาษเตรียมหมึกพู่กันเพื่อจดอย่างตั้งใจ
“มีบ่าวรับใช้ก็พ่อบ้านรุ่ย กวนมามา ไป๋หลาน มู่ตาน ป้าป๋าย ลุงย่วน ย่วนเฉา จวนเรามีคนเพียงเท่านี้แหละจ้ะ ส่วนทรัพย์สินนั้นก็มีไม่มาก
เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าพ่อของเจ้านั้นเป็นคนเช่นไร” หญิงสาวตอบลูกน้อยตามตรง แม้ว่าจะแปลกใจแต่นางเพียงแค่คิดว่าลูกน้อยอาจจะได้รับคำสั่งมาจากพ่อสามีจึงได้ถามเรื่องราวเหล่านี้
หลังจากหนิงอันได้ฟังนางก็ได้แต่ทอดถอนใจ ‘จะโทษใครได้ล่ะ เป็นเพราะข้านี่แหละที่เขียนให้ครอบครัวแม้จะเป็นขุนนางขั้นสองก็ยังยากจน
เพราะชายหนุ่มผู้เป็นพ่อนั้นยึดมั่นคุณธรรมเป็นหลัก แม้ได้ของพระราชทานมาก็ไม่รับ ฉันแต่งให้เขาเป็นคนดีเกินไปทำไมฟะ’ หนิงอันเอามือขยี้ผมยาวของตนที่มัดเอาไว้ลวก ๆ อย่างหงุดหงิด
“ลูกรัก ให้แม่มัดผมให้เจ้าใหม่เถอะ” ผู้เป็นแม่กล่าว หลังจากนั้นผมยาวของเด็กหญิงก็ได้เปลี่ยนเป็นทรงซาลาเปาคู่อย่างเรียบร้อย
กลับมายังสถาณการณ์ปัจจุบัน “เสี่ยวอัน การไปอยู่ชนบทอาจจะลำบากมาก พ่อต้องขอโทษลูกสำหรับเรื่องนี้ด้วย” หยูเจียงอุ้มเด็กหญิงขึ้นในอ้อมแขนกล่าวด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
หนิงอันนำมือทั้งสองข้างของตนจับไปยังใบหน้าของบิดา “ท่านพ่อเจ้าคะ ในเมื่อเรายังมีสมอง สองมือ สองเท้า ดังนั้นไม่มีที่ใดลำบากหรอกเจ้าค่ะ” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวปลอบ
“สมองอันใดของเจ้าอย่างนั้นเหรอ แล้วเจ้าไปเอาคำนี้มาจากไหน” ผู้เป็นบิดาย้อนถามสีหน้ามึนงง
“สมองคือตรงนี้เจ้าค่ะ ส่วนผู้ที่สอนลูกก็ท่านปู่อย่างไรเล่า ในความฝันท่านปู่สอนข้าเอาไว้หลายเรื่องเลยเอาไว้ข้าจะค่อย ๆ บอกท่านนะเจ้าคะ” อันอันตัวน้อยยกนิ้วชี้จิ้มมาที่หัวของตน จากนั้นนางก็กล่าวออกมาอย่างคล่องปาก
หยูเจียงผู้เป็นบัณฑิตอันดับหนึ่งมองใบหน้าเล็กของบุตรสาวที่กำลังพูดจ้อใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอย่างเอ็นดู
“เจ้าสองพ่อลูกจะสนทนากันอีกนานหรือไม่ พ่อบ้านรุ่ยมาบอกว่าขนสิ่งของขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว ส่วนบ่าวพวกนี้ก็ยินดีติดตามเราไปทั้งหมด มีกันแค่นี้แม่ก็เห็นด้วย
จะให้ทิ้งขว้างแม่ก็เศร้าใจ เจ้าคงไม่ว่ากระไรนะ” หญิงชราส่งเสียงบอกบุตรชาย ในขณะเดียวกันก็กล่าวถึงเรื่องของคนรับใช้ออกมาพร้อมกันด้วย
“แล้วแต่ท่านแม่เห็นควรเถอะขอรับ แต่การที่เรากลับไปอยู่ชนบทนั้นค่อนข้างกันดารยิ่ง พวกเจ้ารับได้อย่างนั้นหรือ” ประโยคแรกชายหนุ่มตอบแม่ผู้ชรา ประโยคหลังเขาหันไปกล่าวกับบ่าวรับใช้ที่กำลังนั่งคุกเข่าก้มหน้าอย่างจริงใจ
“พวกข้าน้อยยินดีขอรับ/เจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้ทั้งคนแก่และเด็กส่งเสียงตอบออกมาพร้อมกัน
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเจ้านายเรือนนี้ต่างมีเมตตาไม่มีใครคิดดูถูกหรือรังแกพวกเขาเลยสักคน
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกัน” หยูเจียงกล่าวออกมาอีกครั้งในขณะที่ยังอุ้มลูกสาวตัวน้อยอยู่
ดังนั้นการเดินทางกลับบ้านเดิมของท่านปู่จึงได้เริ่มต้นขึ้น บ้านชนบทหลังนั้นหนิงอันไม่ได้บรรยายอะไรไว้
เพราะเธอได้ให้คนครอบครัวนี้ประสบเหตุระหว่างทาง จากนั้นก็ไม่ได้กล่าวถึงอีกเลย
ในระหว่างการเดินทางเด็กหญิงตัวน้อยจึงได้มีใบหน้าซีดเผือด ‘ซวยแล้วอันอัน ต้องรีบหาวิธีเดี๋ยวนี้’
‘คิดสิคิดว่าจะทำยังไง ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ นึกว่าในตอนนั้นเราเขียนบรรยายฉากนี้ออกมายังไง’ “ใช่แล้ว!” อันอันเผลอตะโกนออกมาหลังจากคิดออก
“เกิดอะไรขึ้นหรือลูก” หยวนฟานยกมือตบอกเอ่ยถามบุตรสาวออกมาอย่างตกใจ
หนิงอันทำหน้าเหลอหลา “เมื่อชั่วครู่นี้จู่ ๆ เจ้าก็พูดโพล่งออกมาทำให้แม่ของเจ้าเอ่ยถามอย่างไรเล่า ย่าเองก็ว่าจะถามอยู่เหมือนกัน” ย่าผู้ชราอธิบายอย่างเนิบช้าให้หลานสาวเข้าใจ
หนิงอันจึงได้ส่งยิ้มแหยไปทางมารดากล่าวแก้ตัว “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้านึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้เพียงเท่านั้น”
“เรื่องอะไรอย่างนั้นเหรอ เจ้าถึงได้ตะโกนซะเสียงดังจนพ่อต้องขี่ม้าเข้ามาถามนี่แหละ” ชายหนุ่มผู้อยู่ในชุดเดินทางธรรมดาส่งเสียงถามผ่านทางหน้าต่างรถม้า
“ท่านพ่อมาก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่านอยู่พอดี” หนิงอันพูดขึ้นหลังจากเลิกผ้าม่านหน้าต่างของตัวรถ
สายลมปะทะเข้าใบหน้าทำให้รู้สึกชาแม้ม้าจะวิ่งไม่ได้เร็วมากนัก เนื่องจากต้องระวังครรภ์ของมารดาก็ตาม
“ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกันหรือเจ้าคะ ห่างจากศาลาเอ้อเทียนมากน้อยเพียงใด” เด็กหญิงเอ่ยถามออกไป ซึ่งคำพูดของเธอได้ทำให้หยูเจียงรู้สึกสงสัยไม่น้อย
“อีกหนึ่งร้อยลี้ ว่าแต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเราจะต้องผ่านจุดพักม้าตรงนั้น” พ่อของเด็กหญิงถามออกมาอย่างสงสัย
“ท่านปู่บอกมาเจ้าค่ะ และท่านยังบอกเรื่องสำคัญกับข้ามาด้วย พอถึงจุดพักม้าข้างหน้าข้าจะเล่าให้ท่านฟัง”คำตอบของบุตรสาวช่างเป็นไปตามที่เขาคาด
แต่ที่หยูเจียงไม่รู้ก็คือบิดาของตนมีเรื่องอะไรอีกนี่สิ “ท่านพ่อได้โปรดอย่านำเรื่องยุ่งยากมาให้ข้าเลยนะขอรับ” ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบา
เมื่อถึงจุดพักม้าในช่วงเย็น ยงเผยกับศิษย์ทั้งสองรวมถึงบ่าวชายของครอบครัวหยูต่างเดินเข้าป่าข้างทางเพื่อไปหาฟืนมาก่อกองไฟสำหรับทำอาหาร
หนิงอันมองซ้ายมองขวาเธอจึงได้ใช้ขาสั้น ๆ ของตนเดินมาทางบิดาหนุ่มเพื่อบอกเรื่องสำคัญ
“ท่านพ่อเรื่องนี้สำคัญมากถึงขั้นคอขาดบาดตายเลยทีเดียวนะเจ้าคะ ท่านจงเร่งหาวิธีหลังจากฟังจบก็แล้วกัน” เด็กหญิงตัวเล็กป้องปากกระซิบกระซาบข้างหูบิดา
หยูเจียงเริ่มนั่งไม่ติดใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดหลังฟังในสิ่งที่บุตรสาวตัวเล็กถ่ายทอดออกมา
“ปู่ของเจ้าบอกออกมาอย่างนี้จริงเหรอมันค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวนะ อีกอย่างพวกเราจำเป็นต้องเดินผ่านทางสายนั้นเสียด้วย” หยูเจียงไม่ใช่ไม่เชื่อแต่ทว่าในตอนนี้บ้านเมืองค่อนข้างสงบสุขเหตุใดจึงมีโจรภูเขาได้กัน
“ในตอนนั้นข้าเองก็กลัวมากเมื่อท่านปู่เอ่ยถึงเรื่องนี้เพราะขึ้นชื่อว่าโจรขนาดข้าอายุเท่านี้ยังรู้เลยว่าพวกเขาย่อมไม่ใช่คนดี ท่านรีบหาทางเถอะ” หนิงอันกล่าวเสียงสั่นน้ำตาคลอในขณะเดียวกันก็โถมตัวกอดบิดาแน่น
หยูเจียงกระชับร่างกายเล็กของบุตรสาวในอ้อมกอดกล่าวปลอบโยนแม้สีหน้าจะหนักใจ
ทว่าเขาจำต้องหาวิธีให้จงได้ อย่างน้อยหากเป็นตามที่ท่านพ่อว่ามาคนในขบวนคาราวานน่าจะเป็นผู้ช่วยที่ดี ตอนนี้ลูกเมียและบ่าวอีกหลายชีวิตต่างอยู่ในมือตน
ดังนั้นหลังจากกินอาหารมื้อเย็นเรียบร้อยชายหนุ่มจึงตัดสินใจเรียกพ่อบ้านรุ่ยมาปรึกษา
“เป็นเรื่องจริงหรือขอรับนายท่าน” รุ่ยเชากล่าวเสียงดังอย่างตกใจใบหน้าไม่ต่างจากผู้เป็นนายหลังจากได้ยินเรื่องนี้
“เจ้าคิดว่าท่านพ่อจะกล้าเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นหรืออย่างไร” หยูเจียงถอนใจกล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน
“ข้าว่าเรื่องนี้แค่เราสองคนไม่อาจทำได้แน่ กระนั้นข้าจึงคิดว่าไหน ๆ ท่านเผยก็ร่วมเดินทางมากับเราแล้วให้เขามาช่วยคิดอีกคนดีหรือไม่ขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนออกความเห็น
ผู้เป็นนายนิ่งคิดอยู่สักพักจึงได้พยักหน้าลง จากนั้นเขาจึงเอ่ยปากบอกพ่อบ้านเสียงเบา
“ เอาเป็นว่าเจ้าไปบอกเขาเช่นนี้ก็แล้วกันว่าก่อนข้าลาออกจากราชสำนักได้รับคำเตือนมาจากมิตรสหายว่าบริเวณจุดพักม้าเอ้อเทียนนั้นเป็นที่อยู่ของโจรภูเขา
ซึ่งพวกเขากำลังคิดจะหาวิธีจัดการอยู่ ทว่าโจรเหล่านี้ไปมาว่องไวยิ่งจึงทำให้ยังไม่อาจสืบหาที่อยู่ได้อย่างแน่ชัด” หยูเจียงจำต้องกุเรื่องเช่นนี้ออกมาเพื่อปกป้องลูกสาว
‘เอาไว้เมื่อไหร่ที่ชายคนนั้นยินยอมพร้อมใจรับใช้บุตรตัวน้อยแต่โดยดีค่อยว่ากัน เพราะดูแล้วหน่วยก้านอีกทั้งน้ำมิตรก็จัดว่าน่าคบหาทีเดียว’ บัณฑิตหนุ่มคิด