ผู้เฒ่าคนนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาค่อนข้างเก่าและขาด เมื่อมองเห็นผู้คนในร้านก็ไม่กล้าเข้ามา ยิ่งไม่กล้าเอ่ยวาจา เพียงก้มหน้านอบน้อม ถ่อมตนมาก สงบปากสงบคำขั้นสุด เหมือนกลัวจะพลั้งปากหลุดคำพูดสมควรตายออกมาให้ผู้ได้ยินรู้สึกระคายหูอย่างไรอย่างนั้น
ผู้หนึ่งต้องใช้ชีวิตระแวดระวังขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเคยเจอเรื่องร้ายปานใดมา
ติงยวี่ถิงมองแล้วให้รู้สึกคิดถึงแม่ตัวเองในชาติที่แล้ว ถูกสามีทิ้ง เงินไม่มี ต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง พอกลับบ้านเดิมก็ไม่มีใครอยากต้อนรับ แม่ก็เลยจำต้องก้มหน้าให้ทุกคนในตระกูลเหยียบย่ำ ตำหนิด่าทอสารพัด
ตกต่ำกระทั่งพูดอะไรไปกลับไม่เคยเข้าหูพวกญาติๆ ท่าทีจึงระมัดระวังคำพูดเช่นนี้
และยังชอบทำทีเป็นแข็งแรงเช่นนี้ต่อหน้าเหมือนกัน
กระทั่งล้มป่วยและใกล้จากลานั่นแหละถึงยอมรับว่าเจ็บมากจนทนไม่ไหว
เฮ้อ...คิดถึงแม่จัง
ติงยวี่ถิงนึกพลางจับประคองหญิงชรา พาเดินเข้ามาด้านในอย่างระมัดระวัง โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากอีกฝ่าย
ท่าทางอย่างนั้นทำเอาเสี่ยวจิงที่ยังคงยืนมองอยู่ถึงกับเบิกตาโพลงประหนึ่งเจอผี
“นายหญิงเจ้าคะ แค่ขอทานเท่านั้น สกปรกยิ่ง ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเจ้าค่ะ”
“ไม่ใส่ใจได้อย่างไร เจอคนลำบากก็ต้องช่วยสิ”
คำตอบของติงยวี่ถิงทำเอาเสี่ยวจิงยิ่งเบิกตาโต
นายหญิงเป็นอะไรไป? เหตุใดดูไม่เหมือนเดิมสักนิด เมื่อก่อนยังถึงขั้นไล่ตีเด็กทุบคนแก่อย่างไร้เหตุผลอยู่เลยนี่ นางจำได้ดี แค่ยายเฒ่าขอทานคนหนึ่งเดินจูงหลานมาเฉียดถูกชายเสื้อนิดเดียวยังด่ากราดไม่ไว้หน้า
ไม่พอ ยังสั่งโบยพ่อครัวชราคนหนึ่งจนมือพิการ เพียงเพราะเขาทำปลาหลุดมือแล้วน้ำโคลนกระเด็นใส่ ตอนนายหญิงเดินผ่านพอดี คนนั้นเป็นบ่าวรับใช้หลายปี ไม่มีลูกหลานดูแลด้วยซ้ำ
ครั้นกลับเรือนก็รีบสั่งให้เอาชุดนั้นไปเผาทิ้งทั้งหมด ทั้งยังอาบน้ำทำความสะอาดตัวอย่างลนลานอยู่ตั้งนาน ถามอยู่นั่นว่าคราบสกปรกจากพวกคนชั้นต่ำหมดไปหรือยัง
คิดแล้วให้รู้สึกเหมือนกลิ่นเหม็นสาบจากหญิงชราขอทานลอยเข้าจมูก เสี่ยวจิงทำปากยู่ย่นจมูกอย่างรังเกียจ
ติงยวี่ถิงเห็นเช่นนั้นพลันนิ่วหน้า ทว่าเพียงครู่ กลับค่อยๆ ยิ้มอ่อน
“เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าไม่ใช่สตรีใจร้ายเหมือนก่อนแล้ว ที่สำคัญ ข้าไม่เคยดูแลบิดามารดาเลยจนพวกท่านตายไป ตอนที่ร่ำรวยก็ไม่คิดจะบริจาค หรือทำบุญทำทานสักครา คนเราต้องสะสมบุญเสียบ้าง ทำบาปอย่างเดียวไม่ได๊”
ปลายประโยคเสียงสูงลิ่วกลัวคนฟังไม่เชื่อ
นี่คือเหตุผลที่นางมักนำมาบอกคนอื่นรอบตัวเสมอ เพื่อกลบข้อสงสัยมากมายจากความเปลี่ยนแปลงผิดแผกจากปกติวิสัยเดิมของติงยวี่ถิงคนเก่าที่เอาแต่ทำชั่วเห็นแก่ตัว ขืนทำให้ผู้อื่นเคลือบแคลงคงไม่แคล้วถูกเข้าใจว่านางคือภูตผีสิงร่างกลืนวิญญาณ เอ๊ะ! แต่นางก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่ แต่จะให้ใครรู้มิได้เด็ดขาด ไม่อยากถูกลากไปเผาไฟหรอกนะ
นางอธิบาย “ข้าแค่อยากทำดี ไม่มีอะไรมาก”
เสี่ยวจิงย่นจมูกทำปากจู๋อย่างไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก
แต่ทำดีมันเหนื่อยมาก นางชอบทำชั่วมากกว่านี่นา
ผู้เฒ่าคนนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาค่อนข้างเก่าและขาด เมื่อมองเห็นผู้คนในร้านก็ไม่กล้าเข้ามา ยิ่งไม่กล้าเอ่ยวาจา เพียงก้มหน้านอบน้อม ถ่อมตนมาก สงบปากสงบคำขั้นสุด เหมือนกลัวจะพลั้งปากหลุดคำพูดสมควรตายออกมาให้ผู้ได้ยินรู้สึกระคายหูอย่างไรอย่างนั้นผู้หนึ่งต้องใช้ชีวิตระแวดระวังขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเคยเจอเรื่องร้ายปานใดมา ติงยวี่ถิงมองแล้วให้รู้สึกคิดถึงแม่ตัวเองในชาติที่แล้ว ถูกสามีทิ้ง เงินไม่มี ต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง พอกลับบ้านเดิมก็ไม่มีใครอยากต้อนรับ แม่ก็เลยจำต้องก้มหน้าให้ทุกคนในตระกูลเหยียบย่ำ ตำหนิด่าทอสารพัด ตกต่ำกระทั่งพูดอะไรไปกลับไม่เคยเข้าหูพวกญาติๆ ท่าทีจึงระมัดระวังคำพูดเช่นนี้ และยังชอบทำทีเป็นแข็งแรงเช่นนี้ต่อหน้าเหมือนกัน กระทั่งล้มป่วยและใกล้จากลานั่นแหละถึงยอมรับว่าเจ็บมากจนทนไม่ไหวเฮ้อ...คิดถึงแม่จังติงยวี่ถิงนึกพลางจับประคองหญิงชรา พาเดินเข้ามาด้านในอย่างระมัดระวัง โดยไม่ฟังเสียงทัดทานจากอีกฝ่าย ท่าทางอย่างนั้นทำเอาเสี่ยวจิงที่ยังคงยืนมองอยู่ถึงกับเบิกตาโพลงประหนึ่งเจอผี“นายหญิงเจ้าคะ แค่ขอทานเท่านั้น สกปรกยิ่ง ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเจ้าค่ะ” “ไม่ใส่ใจได้อย่างไร
ติงยวี่ถิงหยิบกระดาษจับพู่กันมาปาดหมึกเขียนกำกับว่าตัวไหนกิน ตัวไหนใช้ทาบำรุงภายนอกแล้วใส่หีบห่อแยกให้อย่างชัดเจน นอกจากไม่ตระหนี่คำชมต่อลูกค้า นางยังไม่ตระหนี่ความรู้ มักสอดแทรกเคล็ดลับการดูแลผิวพรรณควบคู่ไปกับการบำรุงสุขภาพร่างกายอีกมากมาย ประหนึ่งเป็นหมอยาประจำบ้าน เป็นที่กุนซือประจำเรือนหลังให้สตรีทุกบ้้าน โดยไม่คิดเงินเพิ่มยาทุกห่อถูกนำมาใส่กระเป๋าที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษ มีเฉพาะที่โรงยาเจี้ยนคัง เป็นการนำรูปแบบกระเป๋ายุคใหม่มาตัดเย็บประยุกต์ใช้กับยุคโบราณแห่งนี้หญิงสาวชอบงานฝีมือแต่ไม่เก่งเท่าใด แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีถุงพลาสติก นางจึงทำถุงผ้าแบบง่าย เป็นกระเป๋าแบบมีเชือกถักไม่ได้ปักลาย เอาไว้ฝึกฝนเก่งขึ้นหรือหาช่างฝีมือดีๆ มาได้ค่อยพัฒนาปรับปรุงแล้วกันระหว่างขายของอยู่หน้าร้าน สายตาของติงยวี่ถิงพลันหันไปเห็นหญิงชราผอมแห้งท่าทางมอมแมมผู้หนึ่ง เดินโซซัดโซเซแล้วล้มลงตรงทางเข้าหน้าร้านพอดีหญิงสาวตกใจนัก รีบหันไปสั่ง “เสี่ยวจิง เจ้ามาดูแลจัดสินค้าให้ฮูหยินซูทางนี้ อย่าลืมแยกใส่หีบห่อให้ชัดเจนด้วยนะ สังเกตให้ดีว่าตัวไหนกินตัวไหนทา อย่าใส่ผิด ข้าจะไปดูท่านป้าผู้นั้นสักหน่อย”จังหวะนั้นล
“ฮูหยินซู ท่านจะนำยาทาหน้าไปกินไม่ได้เจ้าค่ะ!” หญิงสาวบอกแก่ลูกค้าคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงห่วงใยกึ่งตกใจอีกฝ่ายบอกว่า “ยาตัวนี้น่ากินเหลือเกิน ข้าอยากซื้อเพราะมันเหมือนลูกท้อเชื่อม ต้องอร่อยแน่ๆ” นางหัวเราะ “เจ้าทำยาออกมาได้งดงามยิ่งนัก น่ากินทั้งหมดเลย”ติวยวี่ถิงยิ้มในหน้าแต่กลุ้มใจหนัก สหายรักออกแบบกล่องบรรจุ ส่วนนางขึ้นรูปไว้เป็นก้อนกลมกลึงเกลี้ยงเกลา เคลือบสีสันสวยงามเป็นมันวาว ยานี่น่ากินเกินไปแล้วจริงๆ หญิงสาวรีบอธิบาย “ตัวนี้กินไม่ได้เจ้าค่ะ เวลาจะใช้ต้องบีบเม็ดยาออก นำเอาน้ำมันด้านในมาลูบไล้บนผิวหน้าให้ทั่วอย่างเบามือ ตัวนี้ทาตอนเช้า ตัวนี้ทาผิวก่อนนอน ส่วนด้านนอกที่ใช้ห่อตัวยาก่อนหน้า ข้าผสมสมุนไพรลงในเนื้อแป้ง สามารถนำไปละลายน้ำ ใช้แช่ตัวในน้ำและอาบ ช่วยบำรุงผิวกายเจ้าค่ะ”สรรพคุณดีล้ำจริงๆ แต่ฮูหยินซูยังทำสีหน้าเสียดาย “กินไม่ได้หรือ?”“เจ้าค่ะ” ติงยวี่ถิงพยักหน้า หันไปหยิบยาอีกตัวมา ลักษณะคล้ายดอกกุหลาบบรรจุอยู่ในกล่องประณีตลายเมฆ ค่อยๆ อธิบายต่ออย่างใจเย็น “แต่ตัวนี้กินได้เจ้าค่ะ กินง่าย ย่อยง่าย บำรุงจากภายใน ร่างกายดูดซึมได้ดี รสชาติหวาน แต่กลมกล่อมกำลังดี ไม่ขมเฉกยาบำร
ติงยวี่ถิงเองอยากมีสามีก็จริง ปรารถนามีลูกๆ มีครอบครัวเหมือนคนทั่วไปก็ใช่ทั้งโลกเก่าและโลกนี้ที่ทะลุมิติมาอาศัย นางได้ใช้ชีวิตอย่างที่เห็น ทำงาน ค้าขาย เรียกได้ว่ามีอิสระมากมาย อยากไปไหนก็ได้ไป อยากทำอะไรก็ได้ทำ เงินก็พอมีแล้วไง จึงมีความคิดว่าอยากแต่งงานเหมือนคนอื่นบ้าง อยากเป็นแค่เพียงภรรยาตัวน้อยที่เชื่อฟังสามีและดูแลลูกๆ อย่างดี เป็นคุณแม่ยังสาวที่ไร้ที่ติคนหนึ่งแต่ไม่ได้อยากทำตัวชั่วร้ายเหมือนร่างเก่าแล้วไง ยิ่งไม่อยากแย่งชิงกับใครแล้วด้วยแค่คิดก็เหนื่อยยิ่ง...ดังนั้น ในเมื่อหลงยุคมาเป็นหม้ายแต่งงานไม่ได้ง่ายๆ เอาสมองมาคิดเรื่องหาเงินดีกว่านะตัวเราวันนี้โรงยายังคงมีงานที่ยุ่งวุ่นวายเช่นเดิมติงยวี่ถิงเองก็ไม่เคยหยุดนิ่ง แม้นางเป็นเถ้าแก่เนี้ยแต่หยิบจับทุกอย่างเหมือนคนงานอื่นๆจนมือเป็นระวิง พอว่างจากงานในลานสมุนไพร นางก็หาอย่างอื่นทำหญิงสาวกำลังฝึกฝนการใช้ลูกคิดอย่างขะมักเขม้น ฟังเสียงลูกคิดให้รู้สึกว่าช่างไพเราะยิ่งนัก ยังคิดว่าหากลองประดิษฐ์ลูกคิดจากลูกแก้วจะไพเราะขนาดไหน หรือว่าจะทำจากหยกดี แต่ว่า มันจะทนมือเหมือนทำจากไม้หรือไม่นะ ตอนกระทบกันมันเพราะก็จริงแต่มันจะแตกร้า
ทางฝั่งติงยวี่ถิงเว่ยหนิงยิ้มร่า จับมือติงยวี่ถิงเดินไปอย่างอารมณ์ดี “ข้าสบายใจแล้ว เรามาจิบชากันเถอะ เจ้านั่งตรงนี้รอก่อน ข้าจะไปสั่งคนนำขนมมาให้”“ข้าไม่หิว คุณหนูเว่ยอย่าลำบากเลยเจ้าค่ะ”“ไม่ลำบากๆ ข้าต้องตอบแทนเจ้าให้มากหน่อย” จบคำก็เดินไปสั่งการสาวใช้ที่ยืนรอรับใช้อยู่อีกฝั่งทันทีจังหวะนั้น พลันมีเสียงสดใสของสตรีนางหนึ่งเอ่ยทักทายติงยวี่ถิง “ไอ่โยว! นี่มิใช่แม่นางติงหรอกหรือ?”เจ้าของเสียงจะเป็นใครไปได้ หากมิใช่คู่อริคนเก่า ติงยวี่ถิงหันมองขวับ เห็นเหวินฟางยืนตะหง่านตรงหน้า เหยียดปากว่าต่อ “ข้านึกว่าสตรีดีงามจากที่ใด แต่งกายโดดเด่นเกินหน้าเช่นนี้ ช่างไร้มารยาทเหลือเกิน ทำตัวแย่ยิ่งนัก คงลืมตัวกระมังว่าเป็นแค่หญิงหม้าย บุรุษใดจะชายตาแลถึงขั้นสู่ขอตบแต่งเป็นภรรยาออกหน้าออกตา ย่อมได้เป็นแค่อนุชั้นต่ำเท่านั้น”ตรงจุดนี้มีพุ่มดอกไม้กั้นจากผู้คน จึงมีเพียงพวกนางแค่สองคนเท่านั้น จึงไม่แปลกที่สตรีผู้หนึ่งจะกล้าพูดเช่นนี้เหวินฟางเชิดคางมองนางด้วยสายตาเย้ยหยัน “อยากให้ข้าช่วยประกาศหรือไม่เล่า? ว่าเจ้าทำตัวต่ำทรามชั่วช้าปานใดถึงถูกบ้านสามีหย่าร้างและขับไล่เอาได้”ติงยวี่ถิงมีหรือจะกลัว
ทางฝั่งเว่ยเฉิงพวกเขารู้จักกันระดับหนึ่งจึงทักทายอย่างคุ้นเคย ยังมองเลยไปทางฝั่งสตรีอีกสองคน “นั่น น้องข้า เว่ยหนิง”ชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นเช่นกันว่าไป๋ซั่วมิได้มองน้องสาวของตนแต่กลับมองอีกคน เขากระแอม “เอ่อ...คุณชายไป๋ หนิงเอ๋อร์ของข้าสวมชุดสีชมพู มิใช่สีแดง”ไป๋ซั่วชะงัก “อ้อ...คุณหนูเว่ยใส่ชุดสีชมพูนั่นเอง” หน้ากลมบวมแดง ลงแป้งแต้มชาดเยอะเหมือนงิ้วขนาดนั้น ยังดูออกว่าเป็นรอยผดผื่นขรุขระ อัปลักษณ์สิ้นดี“วันนี้คุณหนูเว่ยแลดูน่ารักสดใสเหลือเกินขอรับ” ปากเอ่ยวาจาเช่นนั้น ทว่าสายตาก็ยังมองเพียงสตรีชุดแดงอย่างเผลอไผลอยู่ดี ในเมื่อคนหนึ่งขี้ริ้วขี้เหร่ปานนั้น อีกคนยังงามบาดตาบาดใจปานนี้ ทำเขามิอาจถอนสายตาได้เลยเว่ยเฉิงนิ่วหน้าเล็กน้อย ค่อยๆ แนะนำอย่างเสียมิได้ “สตรีชุดแดงคือแม่นางติง เจ้าของโรงยาเจี้ยนคัง ยามนี้ชื่อเสียงโด่งดังมากในเมืองหลวงเชียว คุณชายไป๋เพิ่งมาจากเมืองซิวโจวใกล้ๆ นี่เอง คงเคยได้ยินบ้างกระมัง”“อ้อ...” ไป๋ซั่วพยักหน้า ดวงตาลุกวาวหากเอ่ยถึงเจี้ยนคังเขาย่อมเคยได้ยินมาบ้าง ข่าวว่านางเก่งกาจดูแลดูแลกิจการเองทุกขั้นตอน นับเป็นสตรีที่มีความสามารถอย่างยิ่ง ไม่น่าเชื่อว่า