จินเฟยหลงหลับตาของตัวเองลงช้า ๆ เพื่อรับความอบอุ่นจากฝ่ามือของคนตรงหน้า ด้วยชีวิตนี้ของเขา...เขาได้ยกให้กับคนในครอบครัวของเขาแล้ว และคนตรงหน้าก็คือคนในครอบครัว เป็นคนสำคัญที่เหลืออยู่ในชีวิตของเขาเพียงไม่กี่คน และจินเฟยเทียนก็เป็นเพียงคนเดียวที่เข้าใจในตัวเขามากที่สุด
จินเฟยหลงดีใจอย่างสุดชีวิตที่เขาได้พี่ชายของเขากลับคืนมา เพราะความจริงแล้วเขาเป็นเพียงบุตรชายอนุคนที่หนึ่งของผู้เป็นบิดา และมารดาของเขาก็คือคนที่ถูกฮูหยินรองบีบบังคับให้ไปลงมือวางยาพิษฮูหยินเอก มารดาของคนตรงหน้ายามตั้งครรภ์ จนทำให้จินเฟยเทียนที่อยู่ในครรภ์มารดายามนั้น ได้รับผลกระทบจากยาพิษนั้นไปด้วย จนทำให้คนตรงหน้าเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่อ่อนแอ ไม่สามารถฝึกวรยุทธได้
แล้วหลังจากนั้นฮูหยินรองที่กลัวว่ามารดาของเขาจะซักทอดความผิดไปถึงตัวนาง นางจึงส่งคนมาทั้งข่มขู่และกดดัน จนมารดาของเขาต้องเขียนจดหมายสารภาพผิดและจดหมายลา... ก่อนที่มารดาของเขาจะจบชีวิตของตัวเองลงทันที หลังจากที่คลอดเขาออกมา และก็เพราะความเมตตาของฮูหยินเอก อีกฝ่ายจึงขอรับเขาไปเลี้ยงดูต่อ...ชีวิตในวัยเยาว์ของเขาจึงได้รับทั้งความรักและการดูแลเอาใจใส่ จากฮูหยินเอกและจากคนตรงหน้า
ในยามนั้นจินเฟยหลงจึงได้ให้สัญญากับตัวเองไว้ว่า...เขาจะต้องเก่งให้มากกว่านี้ และจะต้องเข้มแข็งให้มากกว่านี้ เพื่อที่วันข้างหน้า...เขาจะได้สามารถปกป้องคนสำคัญทั้งสองของเขาได้
แต่แล้ว...ในวันที่จินเฟยหลงเริ่มแข็งแกร่ง คนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขาทั้งสองคนกลับต้องจากเขาไป ด้วยแผนลวงสังหารของฮูหยินรองกับบ่าวที่ทะเยอทะยาน อยากขึ้นเป็นอนุคนที่สามของบิดาเขา ในยามนั้นเขาทั้งรู้สึกเคว้งคว้าง หมดกำลังใจที่จะก้าวเดินหรือใช้ชีวิตต่อ... แต่ก็ยังดีที่ในยามนั้นเขามีเหรินเหยียนชิงคอยอยู่เคียงข้าง คอยช่วยประคอง คอยช่วยผลักดัน และคอยเตือนสติเขา ให้เขา...ทำตามในสิ่งที่ตัวเองเคยคิดและเคยวาดฝันเอาไว้ แล้วเขาก็ยังมีสหายแฝดอีกคู่หนึ่ง ที่คอยช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นและหายเหงา จนเขาไม่รู้สึกเคว้งคว้างยามที่ต้องอยู่ในสำนักศึกษาอีกต่อไป แล้วหลังจากผ่านเหตุการณ์ในคราวนั้นมาได้ เขาก็เริ่มกลายเป็นคนที่พูดน้อยลง และก็เพราะเหตุการณ์ในคราวนั้น จินเฟยหลงก็แทบจะไม่กลับไปพักที่จวนแม่ทัพอีกเลย และถ้าหากไม่มีเรื่องงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้เป็นบิดา เขาก็จะเลี่ยง...ไม่เข้าไปพบและไม่เข้าไปพูดคุยกับอีกฝ่าย
จนมาถึงวันที่พวกกลุ่มนักฆ่ากับบ่าวที่ทะเยอทะยานคนนั้น ตามกลับมาล้างแค้นฮูหยินรองของบิดาเขา จึงทำให้เขาได้รู้ว่าพี่ชายคนสำคัญของเขายังไม่ได้จากเขาไป และก็ด้วยเพราะแผนการณ์ของกลุ่มนักฆ่ากลุ่มนั้นเช่นกัน ที่ทำให้เขาได้รู้ว่าที่ผ่านมาฮูหยินรองของบิดาเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเขา แต่...ในเมื่อยามนี้สตรีชั่วช้าคนนั้นก็ได้จบชีวิตลงไปแล้ว และในตอนนี้เขาก็ได้พี่ชายคนสำคัญกับครอบครัวของเขากลับคืนมาแล้ว ดังนั้นจากนี้ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็จะไม่ยอมให้ใคร มาทำร้ายคนสำคัญผู้นี้ของเขาได้อีก และเขาก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนในครอบครัวของเขาได้อีกเช่นกัน
“เฟยเกอ เฟยเกอขอรับ ข้ากลับมาแล้วขอรับ ข้าซื้อซาลาเปามาฝากท่านด้วยนะขอรับ” หยางหมิงเซียนกลับมาถึงเรือนก็รีบตรงมาหาจินเฟยเทียนทันที แต่เมื่อเขาเปิดประตูห้องพักเขาก็เห็นจินเฟยหลงกำลังนั่งจับมือคนของเขาอยู่ หยางหมิงเซียนจึงเดินเข้าไปนั่งข้างจินเฟยเทียน ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงมือของคนของเขากลับมา แล้วนำซาลาเปาที่อยู่ในมือเขาไปวางไว้ที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายแทน
‘หมิงเซียนเจ้านี่ช่าง...’ จินเฟยเทียนแอบบ่นในใจเมื่อเห็นสิ่งที่หยางหมิงเซียนทำ ก่อนจะหันกลับไปพูดกับจินเฟยหลง
“เฟยหลงอยู่กินซาลาเปาด้วยกันก่อนกลับนะ”
จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้ารับคำของจินเฟยเทียน พร้อมกับมองหยางหมิงเซียนด้วยความรู้สึกระอากับอาการหวงของอีกฝ่าย และเมื่อเขาได้เห็นแหวนหยก...ที่ห้อยอยู่ข้างจี้บนสร้อยคอของผู้เป็นพี่ชาย กับแหวนหยกอีกวง...ที่ห้อยอยู่บนสร้อยคอของหยางหมิงเซียนแล้ว ก็ให้รู้สึกเอือมระอาคนรักพี่ชายเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเป็นเท่าตัว
เพราะในวันที่จินเฟยหลงนำสร้อยคอที่ท่านแม่ใหญ่ ทำขึ้นมาเป็นสร้อยคู่ให้กับเขาและผู้เป็นพี่ชายคนละหนึ่งเส้นไปคืนให้กับจินเฟยเทียน สายตาที่หยางหมิงเซียนใช้มองมาที่สร้อยคอของพวกเขาในวันนั้น มันได้ทำให้เขารู้สึกระแวงสร้อยที่คอของตัวเองขึ้นมา และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน เขาก็เห็นแหวนหยกคู่บนสร้อยคอของคนทั้งสองแบบนี้แล้ว
แต่เอาเข้าจริง...การที่จินเฟยหลงได้เห็นความเป็นอยู่ และคนรักของพี่ชายที่เป็นแบบนี้แล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกวางใจที่ได้เห็นว่ามีคนรักและดูแลพี่ชายคนสำคัญของเขาได้เป็นอย่างดี
จินเฟยหลงเดินเข้าไปคำนับผู้เป็นบิดาเมื่อกลับมาถึงจวนแม่ทัพ หลังจากที่เขาเข้าไปรายงานตัวกับฮ่องเต้มาเรียบร้อยแล้ว
“กลับมาแล้วหรือ...แล้วครั้งนี้เจ้าจะได้พักอยู่ที่เมืองหลวงกี่วัน?” จินเฟยหมิงกล่าวทักพร้อมกับเอ่ยถามบุตรชายคนรอง เนื่องจากเขาพอจะรู้เรื่องที่ฮ่องเต้ส่งจดหมายไปเรียกตัวบุตรชายเขากลับมา
“น่าจะสามวันขอรับ ฝ่าบาทอยากให้ข้าไปดูความผิดปกติในค่ายทหารที่เมืองหลิ่งจูขอรับ”
“อืม...อย่างนั้นสามวันนี้เจ้าก็พักผ่อนให้มากสักหน่อยเถอะ” จินเฟยหมิงเห็นสภาพของบุตรชาย แล้วก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ ยิ่งหลังจากที่จินเฟยหลงได้ขึ้นมารับตำแหน่งเป็นแม่ทัพใหญ่แทนเขา อีกฝ่ายก็ยิ่งไม่ยอมดูแลตัวเอง
“ขอรับ”
หลังจากผ่านเหตุการณ์การสูญเสีย จินเฟยหลงก็เริ่มใช้ชีวิตให้ผ่านไปเป็นวัน ๆ โดยแต่ละวันของเขาก็แทบจะไม่พูดคุยกับผู้ใดอีกเลย แม้แต่สหายร่วมเรือนอย่างเหรินเหยียนชิง ยามนี้จินเฟยหลงหมดกำลังใจที่จะก้าวเดินหรือใช้ชีวิตต่อไปอีกแล้ว ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาคิดจะจบชีวิตของตนเองลง แต่เหรินเหยียนชิงก็ดันเข้ามาเจอตอนที่เขากำลังจะลงมือทำเสียก่อน “เฟยหลงลุกขึ้น...ได้ยินหรือไม่! ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้น!!” จินเฟยหลงหันมามองเหรินเหยียนชิงที่เข้ามาตวาด และกระชากแขนของเขาให้ลุกขึ้นจากเตียงด้วยความแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้กับเขาเลยสักครั้ง“ไม่...ข้าจะนอน” “ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้นมา!!” จินเฟยหลงถูกเหรินเหยียนชิงกระชากแขนจนต้องลุกขึ้นนั่งบนเตียง ยามนี้เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าเข้ามาล้ำเส้นในชีวิตของเขามากจนเกินไปเสียแล้ว!&nb
“เฟยหลง หยุดฝึกดาบแล้วมาอ่านหนังสือกับข้าก่อน พรุ่งนี้จะมีสอบศาสตร์ด้านการคำนวณกับบทกวี ส่วนนี้เป็นส่วนที่ข้าจดแยกหัวข้อเอาไว้แล้ว ข้าคิดว่าท่านอาจารย์น่าจะ...” “อืม...ได้” จินเฟยหลงตอบรับคำสั่งของสหาย ตั้งแต่ที่เจ้าตัวบอกกับเขาว่าจะมีสอบ จากนั้นเขาจึงเดินไปล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย แล้วพอกลับมาเขาก็ได้รับสายตาคาดโทษจากคนตัวเล็ก ดูท่าคงจะโมโหที่เขาเดินออกไปก่อนที่เจ้าตัวจะพูดจบเป็นแน่ เมื่อเห็นเช่นนั้นจินเฟยหลงจึงเลือกเดินเลยโต๊ะไม้ที่เหรินเหยียนชิงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ แล้วตรงไปยังห้องพักของเขาเพื่อเข้าไปหยิบขนม จากนั้นเขาจึงเดินกลับมาแล้ววางขนมในมือลงที่กลางโต๊ะไม้ ก่อนที่ตัวเขาจะเดินอ้อมไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหรินเหยียนชิง แล้วหยิบสมุดที่เจ้าตัวจดแยกหัวข้อที่จะสอบขึ้นมาอ่าน และเพียงไม่นานเขาก็เห็นคนตรงหน้าเอื้อมมือมาหยิบขนมของเขาขึ้นไปกิน แล้วหลังจากที่เหรินเหยียนชิงได้กินขนมสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้น และเพียงไม่นานอีกฝ่า
“กลับมาแล้วหรือ?” พูดจบ เหรินเหยียนชิงก็มองตามหลังจินเฟยหลงที่เดินผ่านหน้าเขาเข้าไปในห้องพัก โดยที่เจ้าตัวไม่แม้แต่จะหันกลับมองหรือสนใจที่เขาเอ่ยทักเลยด้วยซ้ำ เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจปิดหนังสือในมือ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตามจินเฟยหลงเข้าไปในห้องพักของเจ้าตัว เหรินเหยียนชิงเมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องพักของจินเฟยหลง เขาก็เห็นเจ้าตัวกำลังนั่งกอดเข่าซุกตัวอยู่ตรงมุมห้อง เขาจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปนั่งข้างอีกฝ่าย จากนั้นเขาจึงลองเอ่ยถามคนตรงหน้าอีกครั้ง “เฟยหลง...เจ้าเป็นอะไร? หรือที่จวนมีอะไรเกิดขึ้น?” “เหยียนชิงคือข้า...ข้าเพิ่งได้รู้สิ่งที่มารดาของข้าทำในอดีต...” จากนั้นจินเฟยหลงจึงเล่าเรื่องที่เขาเพิ่งได้รับรู้มาให้คนตรงหน้าฟัง เกี่ยวกับเรื่องที่มารดาของเขาทำ...ก่อนที่เจ้าตัวจะลงมือจบชีวิตของตนเองลง และก็ด้วยเพราะสิ่งที่นางทำมันได้ส่งผลให้จินเฟยเทียน พี่ชายของเขาต้องเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่อ่อนแอและป่วยง่าย แล้วก็ด้ว
จินเฟยหลงในวัยแปดหนาวยืนอยู่หน้าเรือนพักหลังหนึ่งในสำนักศึกษาหลวง พร้อมกับห่อผ้าใส่สัมภาระของเขาจำนวนสามห่อ ‘นี่คงเป็นเรือนที่ข้าต้องใช้พักยามอยู่ที่นี่สินะ’ จินเฟยหลงกล่าวกับตนเองในใจ หลังจากที่ผู้เป็นอาจารย์เดินมาส่งเขาที่หน้าเรือนพักแล้วก็เดินจากไปโดยไม่พูด ไม่บอก และไม่แนะนำอะไรกับเขาเลยสักคำ จินเฟยหลงยังคงยืนมองเรือนพักอยู่แบบนั้น เพราะในตอนนี้ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากรับความจริง เพราะเพิ่งจะเมื่อวานที่ผู้เป็นบิดาเดินเข้ามาบอกกับเขาว่า ให้เตรียมตัวเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาหลวงพร้อมกับต้องย้ายเข้าไปพักอาศัยอยู่ที่นั่นห้าวันต่อสัปดาห์ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาสามารถเดินทางไปกลับระหว่างจวนแม่ทัพกับสำนักศึกษาหลวงได้ เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ที่มีจวนอยู่ในเมืองหลวง แต่เมื่อผู้เป็นบิดาได้ให้เหตุผลกับเขาว่า เพราะในภายภาคหน้าจินเฟยหลงจะต้องสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ รวมไปถึงตำแหน่งผู้นำตระกูลจินต่อจากบิดา ยามนี้เขาจึงจำเป็นต้องเริ่มฝึกความอดทน ฝึกการอยู่ด้วยต
เหรินเหยียนชิงนั่งรับสำรับเย็นด้วยความรู้สึกมึนงง อยู่ดี ๆ เขาก็กำลังจะแต่งเข้าไปเป็นฮูหยินให้กับจินเฟยหลง เพราะยังไม่ทันที่เขาจะได้แก้ความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย ยามนี้เจ้าตัวก็กำลังนั่งพูดคุยเรื่องงานมงคลสมรสระหว่างพวกเขากับท่านตาและท่านแม่ของเขาแล้ว โดยจินเฟยหลงได้บอกกับท่านทั้งสองว่า...ยามนี้เจ้าตัวได้ส่งสารไปแจ้งบิดาของตนเองเรียบร้อยแล้ว และบิดาของเจ้าตัวก็น่าจะพาแม่สื่อเข้ามาพูดคุยกับพวกท่านทั้งสองที่นี่ในเร็ววัน “เหยียนชิง เจ้าไม่อยากแต่งให้ข้าหรือ?” จินเฟยหลงเอ่ยถาม หลังจากพาคนตัวเล็กกลับเข้ามานั่งในห้องพักของเจ้าตัว แม้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่มันไม่ต่างอะไรเลยกับการบังคับคนตรงหน้า แต่หากไม่ทำเช่นนี้เขาก็ไม่รู้แล้วว่าเมื่อใดอีกฝ่ายถึงจะยอมแต่งให้เขา “ไม่ใช่! ข้าก็แค่ตั้งตัวไม่ทัน แต่เจ้า...ไม่คิดว่ามันเร็วเกินไปหรือเฟยหลง?” “ช้าไปเสียด้วยซ้ำ เหยียนชิงเจ้าก็รู้ว่าด้วยตำแหน่ง หน้าที่ และงานที่
หลังจากวันที่จินเฟยหลงกับเหรินเหยียนชิงบอกรักกัน ยามนี้ก็ได้ล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่สาม ซึ่งในระหว่างสามเดือนที่ผ่านมาจินเฟยหลงก็ได้เดินทางไปกลับระหว่างเมืองหลวงกับเมืองซือโฉวไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแล้ว เนื่องจากระยะนี้ตามเขตแนวชายแดนแต่ละฝั่งของแคว้นตง ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรที่น่าเป็นกังวล และยังไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาจะต้องออกเดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเอง ดังนั้นจินเฟยหลงจึงคิดจะใช้ช่วงเวลานี้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับเหรินเหยียนชิงให้ได้มากที่สุด และถ้าหากทำได้เขาก็คิดอยากจะจับอีกฝ่ายแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินของเขาให้ได้ในเร็ววัน “เฟยหลง เจ้าไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ? เดือนนี้เจ้าเดินทางมาหาข้า ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นครั้งที่สี่แล้วนะ” เหรินเหยียนชิงวางหนังสือในมือลงบนเตียง พร้อมกับเอ่ยถามคนที่เดินเข้ามาหาเขาในห้องพัก “ไม่...แค่ได้เห็นหน้าเจ้าข้าก็หายเหนื่อยแล้ว” “แต่ข้าว่าอาหมินอาจไม่ได้คิดอย่างเจ้านะเฟยห