“เฟยหลงเรื่องเจ้ากับฮุ่ยหลิง...เจ้าจะให้พ่อไปคุยกับอาหนิงให้เจ้าเลยดีหรือไม่?” จินเฟยหมิงพูดขึ้นยามนี้เขาคิดว่าบุตรชายคนรองของเขาควรมีคนมาช่วยดูแล และหลายปีมานี้เขาก็เห็นมีเพียงสตรีนางเดียวที่บุตรชายของเขายอมให้เข้ามาอยู่ใกล้ตัว และมักจะพาสตรีนางนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ
“ข้า...เอาตามที่ท่านพ่อเห็นสมควรได้เลยขอรับ” จินเฟยหลงเมื่อยินที่บิดาพูด ตอนแรกเขาก็คิดอยากจะเอ่ยถ่วงเวลาให้ตัวเองอีกสักพัก แต่เมื่อคิดได้ว่าจะช้าหรือเร็ว...อย่างไรเขาก็คงต้องแต่งงานตามหน้าที่ และตามที่มันควรจะเป็นอยู่แล้ว เขาจึงเอ่ยตอบรับเพื่อให้ผู้เป็นบิดารู้สึกสบายใจทันที
“ได้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ พ่อจะเข้าไปพูดคุยกับอาหนิงไว้ให้เจ้าเลย และเดี๋ยวพ่อจะให้ทางนั้นหาดูเรื่องฤกษ์ยามไว้ให้พวกเจ้าด้วยเลยดีหรือไม่”
“ได้ขอรับ ขอบคุณขอรับท่านพ่อ”
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะเฟยหลง”
จินเฟยหลงคำนับให้ผู้เป็นบิดา ก่อนจะกลับไปยังห้องพักของตัวเอง
จินเฟยหมิงมองตามหลังจินเฟยหลงไป... เมื่อก่อนหากไม่ใช่เรื่องในกองทัพ อีกฝ่ายก็แทบจะไม่ยอมพูดคุยกับเขา และจินเฟยหลงก็แทบจะไม่ยอมกลับมาพักที่จวนแม่ทัพเลยสักครั้ง จนเมื่อครอบครัวของเขาได้ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายครั้งล่าสุดมา... ก็เหมือนกับสวรรค์จะยังหลงเหลือความเมตตาให้กับเขา เพราะเขาได้จินเฟยเทียนกลับคืนมา และจินเฟยหลงก็ยอมกลับมาพูดคุย ยอมกลับมานอนพักที่จวนแม่ทัพอีกครั้ง ยามนี้จินเฟยหมิงต้องการเพียงแค่ได้เห็นบุตรทั้งสามคนของเขาได้มีความสุขอยู่บนเส้นทางที่เจ้าตัวเป็นผู้เลือก แค่เพียงเท่านี้ชีวิตบั่นปลายของเขาก็มีความสุขที่สุดแล้ว
“เฟยหลง วันนี้เจ้าแวะไปชวนฮุ่ยหลิงมารับสำรับเย็นกับพวกเราที่จวนดีหรือไม่?” จินเฟยหมิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเขารับสำรับเช้าด้วยกันเสร็จ
จินเฟยฮวาก็หันไปมองที่จินเฟยหลงด้วย เพราะนางชอบพูดคุยกับหนิงฮุ่ยหลิงจึงอยากให้พี่ชายคนรองพาอีกฝ่ายมาเที่ยวเล่นที่จวน
“วันนี้ข้ามีนัดกับพวกอาเจี้ยนที่โรงเตี๊ยมขอรับ แต่เดี๋ยวข้าจะแวะเข้าไปชวนฮุ่ยหลิงไปรับสำรับเย็นด้วยกันที่นั่นเลยขอรับ”
จินเฟยหมิงพยักหน้ารับคำพูดของบุตรชาย และเมื่อพวกเขาพูดคุยกันจบ จินเฟยหลงก็แยกตัวออกไปทำตามหน้าที่ของตัวเอง
จินเฟยหลงเมื่อแยกตัวออกมาจากผู้เป็นบิดาและน้องสาว เขาก็ออกไปจัดการตรวจงานในส่วนต่าง ๆ ที่ค่ายทหารกับหยงหมิน และเขาก็ได้สั่งการให้หยงหมินเตรียมการที่จะไปตรวจงานในค่ายทหารที่เมืองหลิ่งจูเอาไว้ตั้งแต่วันนี้เลย และเมื่อเขาจัดการสั่งงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาก็พาตัวเองไปหาหนิงฮุ่ยหลิงที่จวนรองแม่ทัพ
“คุณชายรองจินรอข้าตรงนี้สักครู่นะเจ้าคะ” หนิงฮุ่ยหลิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่จินเฟยหลงเข้าไปชวนนางออกมารับสำรับเย็นที่โรงเตี๊ยมกับสหายของเจ้าตัว แต่เพราะนางได้รับปากผู้เป็นมารดาเอาไว้ เรื่องออกมาตรวจงานที่ร้านผ้าในตลาด นางจึงขอแวะมาจัดการงานของตัวเองให้เรียบร้อยเสียก่อน และจินเฟยหลงก็ยินดีที่จะมาส่งนาง
จินเฟยหลงพยักหน้ารับคำของหนิงฮุ่ยหลิง ก่อนจะเดินไปดูของในร้านแผงลอยที่ตั้งอยู่ข้างร้านผ้าเพื่อรอนาง
และเมื่อจินเฟยหลงได้เห็นพัดเล่มเล็กเล่มหนึ่งในร้านแผงลอยนั้น มันก็ทำให้เขาเผลอคิดไปถึงใครบางคนขึ้นมาอีกแล้ว...
“นี่เหยียนชิงตอนนี้พวกเราก็ใกล้จะจบจากสำนักศึกษาแล้ว อีกหน่อยเจ้าก็ไม่สามารถเดินถือสมุดไปไหนมาไหนได้อีกแล้วนะ แล้วหลังจากนี้เจ้าจะถืออะไรแทนล่ะ” จิงเสี่ยวจางเอ่ยถามเหรินเหยียนชิงเพราะอีกฝ่ายติดนิสัยชอบถือสมุดเล่มเล็กติดตัวไปไหนมาไหนด้วยทุกที่ และในยามที่เผลอหรือยามที่คิดอะไรไม่ออกเจ้าตัวก็มักจะนำสมุดเล่มนั้นขึ้นเคาะหัวหรือไม่ก็จะนำมาตีที่มืออีกข้างของตัวเองเบา ๆ ขนาดในยามนี้ที่พวกเขาออกมาเดินเล่นในตลาด คนตรงหน้าก็ยังคงพกสมุดเล่มเล็กติดตัวมาด้วยเลย
“ข้าขอแนะนำเป็นพัด นั่นอย่างไรล่ะในร้านนั้น...เราไปดูกันเถอะ” จิงเสี่ยวจางเดินนำสหายทั้งสองกับแฝดผู้พี่ของเขา เข้าไปยังร้านแผงลอยที่มีพัดเล่มเล็กวางขายอยู่ห้าหกเล่ม
“พัดเล่มนี้ดูน่าจะเหมาะกับเจ้านะ” จิงเสี่ยวเจี้ยนหยิบพัดเล่มหนึ่งในกองขึ้นมาให้เหรินเหยียนชิง
“แต่ข้าว่าพัดเล่มนี้ดูน่าจะเหมาะกับเจ้ามากกว่า...ไหนเหยียนชิงเจ้าลองถือให้ข้าดูหน่อยเร็ว” จิงเสี่ยวจางยื่นพัดอีกเล่มหนึ่งไปให้เหรินเหยียนชิงตัดหน้าแฝดผู้พี่ของเขา
จินเฟยหลงมองตามพัดเล่มที่จิงเสี่ยวจางส่งไปให้เหรินเหยียนชิง เขาคิดว่าพัดเล่มนี้ดูน่าจะเหมาะกับคนตรงหน้ามากกว่าเช่นกัน เพราะพัดเล่มนี้ทำด้วยไม้เนื้ออ่อนประดับด้วยพู่ห้อยสีน้ำเงินเข้ม และในยามที่เหรินเหยียนชิงถือก็จะเห็นพู่ห้อยจากพัดเล่มนี้ ตกลงมาคลอเคลียที่แขนของคนตรงหน้า
“ได้...ตอนนี้ข้าเหมือนบุรุษเจ้าสำราญหรือไม่?” เหรินเหยียนชิงเอ่ยถามหลังจากรับพัดจากจิงเสี่ยวจางมาลองถือดู
“หึ!”
“เจ้าหัวเราะข้า!” เหรินเหยียนชิงหันไปต่อว่าจิงเสี่ยวจาง
“ก็เจ้าเหมือนบัณฑิตหนีเที่ยวมากกว่าบุรุษเจ้าสำราญนี่นา”
“อาจาง!”
“ข้าพูดจริง...ใช่ไหมอาเจี้ยน เฟยหลง”
จิงเสี่ยวเจี้ยนพยักหน้าให้กับแฝดผู้น้องของเขา ส่วนจินเฟยหลงทำเพียงยืนมองแต่เขาก็แอบเห็นด้วยกับจิงเสี่ยวจาง
เหรินเหยียนชิงมองไปยังคู่แฝดตรงหน้าก่อนจะมองไปที่จินเฟยหลง แล้วเขาก็ได้เห็นสายตาของคนทั้งสามแสดงออกมาว่าคิดเห็นเช่นเดียวกัน
“เฟยหลงเจ้าก็คิดเหมือนกับสองคนนี้ใช่หรือไม่? พวกเจ้านี่...แต่จะว่าไปพัดเล่มนี้ก็เหมาะมือข้าดีเหมือนกันนะ ถ้าอย่างนั้นหากเรียนจบข้าจะเลือกถือพัดแทบสมุดก็แล้วกัน” เหรินเหยียนชิงพูดจบก็หันไปจ่ายเงินกับเจ้าของร้านแผงลอย
“คุณชายรองจินเจ้าคะ” หนิงฮุ่ยหลิงเดินเข้าไปเรียกจินเฟยหลง หลังจากที่นางเดินออกมาจากร้านผ้าแล้วเห็นอีกฝ่ายยืนมองพัดเล่มหนึ่งอยู่หน้าร้านแผงลอย
“เราไปกันเถอะ” จินเฟยหลงเอ่ยขึ้นเมื่อหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง จากนั้นเขาก็เดินนำหนิงฮุ่ยหลิงกลับไปที่รถม้าทันที
‘เหยียนชิงตอนนี้เจ้าไปอยู่ที่ไหน...แล้วเมื่อไหร่ข้าถึงจะเลิกคิดเรื่องเจ้าได้สักที’ จินเฟยหลงคิดในใจระหว่างที่นั่งอยู่บนรถม้า
หลังจากผ่านเหตุการณ์การสูญเสีย จินเฟยหลงก็เริ่มใช้ชีวิตให้ผ่านไปเป็นวัน ๆ โดยแต่ละวันของเขาก็แทบจะไม่พูดคุยกับผู้ใดอีกเลย แม้แต่สหายร่วมเรือนอย่างเหรินเหยียนชิง ยามนี้จินเฟยหลงหมดกำลังใจที่จะก้าวเดินหรือใช้ชีวิตต่อไปอีกแล้ว ซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาคิดจะจบชีวิตของตนเองลง แต่เหรินเหยียนชิงก็ดันเข้ามาเจอตอนที่เขากำลังจะลงมือทำเสียก่อน “เฟยหลงลุกขึ้น...ได้ยินหรือไม่! ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้น!!” จินเฟยหลงหันมามองเหรินเหยียนชิงที่เข้ามาตวาด และกระชากแขนของเขาให้ลุกขึ้นจากเตียงด้วยความแปลกใจ เพราะที่ผ่านมาอีกฝ่ายไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้กับเขาเลยสักครั้ง“ไม่...ข้าจะนอน” “ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้นมา!!” จินเฟยหลงถูกเหรินเหยียนชิงกระชากแขนจนต้องลุกขึ้นนั่งบนเตียง ยามนี้เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าเข้ามาล้ำเส้นในชีวิตของเขามากจนเกินไปเสียแล้ว!&nb
“เฟยหลง หยุดฝึกดาบแล้วมาอ่านหนังสือกับข้าก่อน พรุ่งนี้จะมีสอบศาสตร์ด้านการคำนวณกับบทกวี ส่วนนี้เป็นส่วนที่ข้าจดแยกหัวข้อเอาไว้แล้ว ข้าคิดว่าท่านอาจารย์น่าจะ...” “อืม...ได้” จินเฟยหลงตอบรับคำสั่งของสหาย ตั้งแต่ที่เจ้าตัวบอกกับเขาว่าจะมีสอบ จากนั้นเขาจึงเดินไปล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย แล้วพอกลับมาเขาก็ได้รับสายตาคาดโทษจากคนตัวเล็ก ดูท่าคงจะโมโหที่เขาเดินออกไปก่อนที่เจ้าตัวจะพูดจบเป็นแน่ เมื่อเห็นเช่นนั้นจินเฟยหลงจึงเลือกเดินเลยโต๊ะไม้ที่เหรินเหยียนชิงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ แล้วตรงไปยังห้องพักของเขาเพื่อเข้าไปหยิบขนม จากนั้นเขาจึงเดินกลับมาแล้ววางขนมในมือลงที่กลางโต๊ะไม้ ก่อนที่ตัวเขาจะเดินอ้อมไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหรินเหยียนชิง แล้วหยิบสมุดที่เจ้าตัวจดแยกหัวข้อที่จะสอบขึ้นมาอ่าน และเพียงไม่นานเขาก็เห็นคนตรงหน้าเอื้อมมือมาหยิบขนมของเขาขึ้นไปกิน แล้วหลังจากที่เหรินเหยียนชิงได้กินขนมสีหน้าของเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะเริ่มดีขึ้น และเพียงไม่นานอีกฝ่า
“กลับมาแล้วหรือ?” พูดจบ เหรินเหยียนชิงก็มองตามหลังจินเฟยหลงที่เดินผ่านหน้าเขาเข้าไปในห้องพัก โดยที่เจ้าตัวไม่แม้แต่จะหันกลับมองหรือสนใจที่เขาเอ่ยทักเลยด้วยซ้ำ เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจปิดหนังสือในมือ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตามจินเฟยหลงเข้าไปในห้องพักของเจ้าตัว เหรินเหยียนชิงเมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องพักของจินเฟยหลง เขาก็เห็นเจ้าตัวกำลังนั่งกอดเข่าซุกตัวอยู่ตรงมุมห้อง เขาจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปนั่งข้างอีกฝ่าย จากนั้นเขาจึงลองเอ่ยถามคนตรงหน้าอีกครั้ง “เฟยหลง...เจ้าเป็นอะไร? หรือที่จวนมีอะไรเกิดขึ้น?” “เหยียนชิงคือข้า...ข้าเพิ่งได้รู้สิ่งที่มารดาของข้าทำในอดีต...” จากนั้นจินเฟยหลงจึงเล่าเรื่องที่เขาเพิ่งได้รับรู้มาให้คนตรงหน้าฟัง เกี่ยวกับเรื่องที่มารดาของเขาทำ...ก่อนที่เจ้าตัวจะลงมือจบชีวิตของตนเองลง และก็ด้วยเพราะสิ่งที่นางทำมันได้ส่งผลให้จินเฟยเทียน พี่ชายของเขาต้องเกิดมาพร้อมกับร่างกายที่อ่อนแอและป่วยง่าย แล้วก็ด้ว
จินเฟยหลงในวัยแปดหนาวยืนอยู่หน้าเรือนพักหลังหนึ่งในสำนักศึกษาหลวง พร้อมกับห่อผ้าใส่สัมภาระของเขาจำนวนสามห่อ ‘นี่คงเป็นเรือนที่ข้าต้องใช้พักยามอยู่ที่นี่สินะ’ จินเฟยหลงกล่าวกับตนเองในใจ หลังจากที่ผู้เป็นอาจารย์เดินมาส่งเขาที่หน้าเรือนพักแล้วก็เดินจากไปโดยไม่พูด ไม่บอก และไม่แนะนำอะไรกับเขาเลยสักคำ จินเฟยหลงยังคงยืนมองเรือนพักอยู่แบบนั้น เพราะในตอนนี้ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากรับความจริง เพราะเพิ่งจะเมื่อวานที่ผู้เป็นบิดาเดินเข้ามาบอกกับเขาว่า ให้เตรียมตัวเข้าไปเรียนในสำนักศึกษาหลวงพร้อมกับต้องย้ายเข้าไปพักอาศัยอยู่ที่นั่นห้าวันต่อสัปดาห์ ทั้งที่ความจริงแล้วเขาสามารถเดินทางไปกลับระหว่างจวนแม่ทัพกับสำนักศึกษาหลวงได้ เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ที่มีจวนอยู่ในเมืองหลวง แต่เมื่อผู้เป็นบิดาได้ให้เหตุผลกับเขาว่า เพราะในภายภาคหน้าจินเฟยหลงจะต้องสืบทอดตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ รวมไปถึงตำแหน่งผู้นำตระกูลจินต่อจากบิดา ยามนี้เขาจึงจำเป็นต้องเริ่มฝึกความอดทน ฝึกการอยู่ด้วยต
เหรินเหยียนชิงนั่งรับสำรับเย็นด้วยความรู้สึกมึนงง อยู่ดี ๆ เขาก็กำลังจะแต่งเข้าไปเป็นฮูหยินให้กับจินเฟยหลง เพราะยังไม่ทันที่เขาจะได้แก้ความเข้าใจผิดของอีกฝ่าย ยามนี้เจ้าตัวก็กำลังนั่งพูดคุยเรื่องงานมงคลสมรสระหว่างพวกเขากับท่านตาและท่านแม่ของเขาแล้ว โดยจินเฟยหลงได้บอกกับท่านทั้งสองว่า...ยามนี้เจ้าตัวได้ส่งสารไปแจ้งบิดาของตนเองเรียบร้อยแล้ว และบิดาของเจ้าตัวก็น่าจะพาแม่สื่อเข้ามาพูดคุยกับพวกท่านทั้งสองที่นี่ในเร็ววัน “เหยียนชิง เจ้าไม่อยากแต่งให้ข้าหรือ?” จินเฟยหลงเอ่ยถาม หลังจากพาคนตัวเล็กกลับเข้ามานั่งในห้องพักของเจ้าตัว แม้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่มันไม่ต่างอะไรเลยกับการบังคับคนตรงหน้า แต่หากไม่ทำเช่นนี้เขาก็ไม่รู้แล้วว่าเมื่อใดอีกฝ่ายถึงจะยอมแต่งให้เขา “ไม่ใช่! ข้าก็แค่ตั้งตัวไม่ทัน แต่เจ้า...ไม่คิดว่ามันเร็วเกินไปหรือเฟยหลง?” “ช้าไปเสียด้วยซ้ำ เหยียนชิงเจ้าก็รู้ว่าด้วยตำแหน่ง หน้าที่ และงานที่
หลังจากวันที่จินเฟยหลงกับเหรินเหยียนชิงบอกรักกัน ยามนี้ก็ได้ล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่สาม ซึ่งในระหว่างสามเดือนที่ผ่านมาจินเฟยหลงก็ได้เดินทางไปกลับระหว่างเมืองหลวงกับเมืองซือโฉวไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแล้ว เนื่องจากระยะนี้ตามเขตแนวชายแดนแต่ละฝั่งของแคว้นตง ยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรที่น่าเป็นกังวล และยังไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาจะต้องออกเดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเอง ดังนั้นจินเฟยหลงจึงคิดจะใช้ช่วงเวลานี้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับเหรินเหยียนชิงให้ได้มากที่สุด และถ้าหากทำได้เขาก็คิดอยากจะจับอีกฝ่ายแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินของเขาให้ได้ในเร็ววัน “เฟยหลง เจ้าไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ? เดือนนี้เจ้าเดินทางมาหาข้า ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นครั้งที่สี่แล้วนะ” เหรินเหยียนชิงวางหนังสือในมือลงบนเตียง พร้อมกับเอ่ยถามคนที่เดินเข้ามาหาเขาในห้องพัก “ไม่...แค่ได้เห็นหน้าเจ้าข้าก็หายเหนื่อยแล้ว” “แต่ข้าว่าอาหมินอาจไม่ได้คิดอย่างเจ้านะเฟยห