“โอ้ย...ถึงสักที” เหรินเหยียนชิงเอ่ยออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเขาแบกสหายตัวโตกลับมาถึงเรือนพักของพวกเขาได้สำเร็จ
จินเฟยหลงไม่รู้ว่าด้วยเพราะฤทธิ์สุราที่เขากินเข้าไปหรือด้วยเพราะอะไร ยามนี้เขาถึงได้อยากกอดคนตรงหน้าเหลือเกิน และก็อาจจะเพราะความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันทำให้เขาคิดไปถึงความรู้สึกในคืนนั้น...คืนที่เขาพยายามจะลืม แต่ทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถลืมมันได้สักที ถึงแม้ว่าในยามนั้นจินเฟยหลงจะทำมันลงไปเพราะไม่สามารถคุมสติของตัวเองเอาไว้ได้ก็ตาม
และหากในคืนนั้นเขาจะเรียกมันว่าความผิดพลาด เขาก็คงจะพลาด...ที่เลือกทำตามใจของตัวเอง แล้วก็เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้น มันได้ทำให้เขารู้ว่าที่จริงแล้วเขารู้สึกกับคนตรงหน้าเช่นไร
ตั้งแต่จำความได้คนที่จินเฟยหลงเคยกอดมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น นั่นก็คือท่านแม่ใหญ่และพี่ใหญ่ของเขา นอกเหนือจากนั้นเขาไม่เคยคิดอยากจะกอดหรือไม่เคยคิดอยากจะสัมผัส แม้แต่กับสตรีที่เข้ามาวนเวียนอยู่ในชีวิตเขาตอนนี้ก็ตาม
และในยามนี้จินเฟยหลงได้รู้แล้วว่ากลิ่นที่เขาชื่นชอบก็คือกลิ่นกระดาษและกลิ่นน้ำหมึกที่มักจะติดมากับตัวของเหรินเหยียนชิง หาใช่กลิ่นน้ำอบหรือกลิ่นถุงหอมจากสตรีนางไหน
และก็ด้วยเพราะความที่เขารู้ตัวแล้ว จินเฟยหลงจึงคิดว่า เขาควรต้องหยุด...หยุดความรู้สึกของตนเองเอาไว้ ก่อนที่มันจะหยุดไม่ได้ แต่ว่าในคืนนี้...
‘ข้าขอโทษนะเหยียนชิง ข้าขอทำตามใจของตัวเองอีกสักครั้ง แล้วหลังจากนี้ข้าจะขอหยุดทุกอย่างด้วยตัวของข้าเอง’ จินเฟยหลงเอ่ยขอโทษและบอกกับตัวเองในใจ แม้ยามนี้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำ มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่หลังจากนี้เขาก็คงไม่มีโอกาสได้ทำตามใจของตัวเองอีกแล้ว
เหรินเหยียนชิงเมื่อแบกจินเฟยหลงเดินเข้าไปในห้องนอนของเจ้าตัวได้ เขาก็พยายามประคองอีกฝ่ายให้ลงไปนอนบนเตียง แต่แล้วเขากลับถูกแขนของคนเมาที่เขานำมาคล้องคอเขาเอาไว้ ดึงรั้งจนตัวเขาตกลงไปนอนทับอยู่บนตัวของคนเมา
“เฮ้ย!” เหรินเหยียนชิงอุทานขึ้นพร้อมกับพยายามเอาตัวเองลุกออกมาจากตัวของจินเฟยหลง แต่เขาก็ต้องตกใจซ้ำ เมื่อคนเมาใช้แขนข้างหนึ่งมาโอบกอดรอบเอวเขาเอาไว้จนแน่น จากนั้นเจ้าตัวก็ใช้แขนข้างที่คล้องคอเขาอยู่กดรั้งศีรษะเขาลงไป จนยามนี้ใบหน้าของเขาขยับเข้าไปใกล้...จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของคนตรงหน้า
“เฟยหลง! หยุด! ปล่อยข้า...นี้เจ้ากำลังจะ...อือ”
“ข้าอยากกอดเจ้า ข้าอยากจุมพิตเจ้า ข้าอยากอยู่กับเจ้า...แค่กับเจ้าเท่านั้น!” พูดจบ จินเฟยหลงก็กดรั้งใบหน้าของอีกฝ่ายลงมาจนริมฝีปากของคนตรงหน้าแนบชิดกับริมฝีปากของเขา จากนั้นเขาจึงเริ่มขยับริมฝีปากของตนเองเข้าไปบดขยี้ริมฝีปากบางของเหรินเหยียนชิงทันที
แล้วหลังจากนั้นจินเฟยหลงก็พลิกขึ้นไปคร่อมอยู่บนตัวของอีกฝ่ายโดยไม่ยอมให้ริมฝีปากของพวกเขาได้หลุดออกจากกัน และก็ด้วยเพราะเขาไม่เคยทำแบบนี้กับผู้ใดมาก่อน นอกจากในครั้งนั้นกับคนตรงหน้า เขาจึงไม่รู้ว่าการจุมพิตกันแบบแท้จริงนั้นมันต้องทำกันอย่างไร ยามนี้เขาจึงได้แต่ปล่อยให้ความรู้สึกนำพาร่างกายของเขาไปเท่านั้น
“ปล่อยข้า...เฟยหลง! ข้าเหยียนชิงสหายของเจ้า! เจ้าได้ยินหรือไม่! ปล่อยข้า...ข้าไม่ใช่ อือ...” เหรินเหยียนชิงที่ดิ้นจนริมฝีปากหลุดออกมาได้ เขาจึงพยายามเรียกสติและดันคนตรงหน้าออกจากตัวเขา แต่เขาก็หลุดออกมาได้เพียงครู่เดียว จากนั้นอีกฝ่ายจะก้มลงมาจุมพิตที่ริมฝีปากของเขาอีกครั้ง แล้วในครั้งนี้เขาก็รู้สึกว่าคนตัวโตตรงหน้าจะจุมพิตเขา และกอดรัดตัวเขาแนบชิดขึ้นกว่าเดิมด้วย
จินเฟยหลงปล่อยให้คนในอ้อมแขนได้พักหายใจ ก่อนที่เขาจะก้มลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากบางอีกครั้ง จนผ่านไปได้สักพักเขาก็รู้สึกว่าเหรินเหยียนชิงหยุดดิ้นรน และร่างกายของอีกฝ่ายก็เริ่มสั่นเทาขึ้นมา เขาจึงหยุดการกระทำทุกอย่างและคลายอ้อมแขนของตัวเองออก จากนั้นเขาจึงก้มลงมองคนตรงหน้า
แล้วเมื่อจินเฟยหลงมองเข้าไปในดวงตากลมโตของเหรินเหยียนชิง เขาก็ได้เห็นว่ายามนี้แววตาของอีกฝ่ายเริ่มสั่นไหว ดูท่าคนตรงหน้าคงเริ่มสับสนไปกับการกระทำของเขาแล้ว
จินเฟยหลงที่รู้ว่าเขาไม่ควรทำให้เหรินเหยียนชิงรู้สึกสับสนกับการกระทำของเขาไปมากกว่านี้ เพราะหลังจากวันนี้เขาจะต้องกลับไปทำตามหน้าที่ของตัวเองแล้ว และเรื่องระหว่างเขากับอีกฝ่ายมันก็ไม่มีวันที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในยามนี้ เขาต้องทำให้คนตรงหน้าคิดว่าเขาทำมันลงไปเพราะความเมา มันจึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด...สำหรับพวกเขาทั้งสองคน
เมื่อคิดได้ดังนั้น จินเฟยหลงจึงก้มลงไปกอดคนตรงหน้าแบบแนบแน่นอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะตัดใจและปล่อยมือจากคนที่เขารักทันที
‘ข้าขอโทษนะเหยียนชิง...เจ้าอย่าได้สับสนและอย่าได้จำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนี้เลย ปล่อยให้มันเป็นความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในชีวิตของเจ้าก็พอ’
เมื่อเห็นคนเมาหยุดการกระทำทุกอย่าง เหรินเหยียนชิงจึงสามารถผลักอีกฝ่ายออกไปจากตัวเขาได้
“หลับ! เจ้าบ้าเฟยหลง เป็นแบบนี้อีกแล้วนะ” เหรินเหยียนชิงลุกขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วมองไปที่คนเมา ก่อนที่เขาจะยกมือของตัวเองขึ้นมาเช็ดที่ริมฝีปาก จากนั้นเขาจึงลุกออกมาจากเตียง แล้วคิดที่จะเดินออกไปจากห้องพักของจินเฟยหลง แต่เมื่อเขามองไปทางประตูห้อง เขาก็เห็นจิงเสี่ยวจางกำลังยืนเอามือปิดปากของตัวเองอยู่...
“อาจาง! คือ...เมื่อครู่...”
“ข้าไม่รู้ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
จิงเสี่ยวจางที่คิดจะมาขอนอนค้างที่เรือนพักของสหายในคืนนี้ เพราะแฝดผู้พี่ของเขายังต้องการนั่งร่ำสุราอยู่กับสหายกลุ่มอื่น ๆ ต่อ แล้วเมื่อเขาเดินมาจนถึงหน้าเรือนพักของสหาย เขาก็ได้ยินเสียงร้องโวยวายของเหรินเหยียนชิงดังออกมาจากห้องพักของจินเฟยหลง เขาจึงรีบพุ่งตัวไปที่ห้องนั้นทันที ในตอนแรกเขาคิดจะเข้าไปช่วยเหรินเหยียนชิง แต่เมื่อเขาได้เห็นสายตา ท่าทาง และได้ยินคำพูดของคนทั้งคู่ มันจึงทำให้เขารู้สึกตกใจและรู้สึกไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองเพิ่งได้รับรู้
“เฮ้ย! เดี๋ยว!” เหรินเหยียนชิงที่คิดจะเรียกจิงเสี่ยวจางเอาไว้ แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะอีกฝ่ายได้ใช้วิชาตัวเบาพุ่งออกไปจากเรือนพักของพวกเขาแล้ว
เหรินเหยียนชิงยืนนิ่งอยู่กับที่สักพัก จากนั้นเขาจึงเดินกลับออกไปยังห้องพักของตัวเอง
.......................................................................
ผู้เขียนขอขอบคุณทุกยอดวิว ยอดกดหัวใจ ยอดกดติดตาม และทุกข้อความของผู้อ่านทุกท่านมาก ๆ นะคะ ทุกยอดคือกำลังใจที่ดีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆของผู้เขียนเลยค่ะ
จิงเสี่ยวจางที่รับฟังเหรินเหยียนชิงเล่าเรื่องร้านฝากขายมาได้สักพัก ในระหว่างนั้นเขาก็สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายดูจะมีความสุขเมื่อได้พูดถึงเรื่องกิจการภายในครอบครัว จนเมื่อเขาเห็นว่าสหายน่าจะเล่าจบแล้ว เขาจึงคิดที่จะถามเรื่องครอบครัวของเจ้าตัวบ้าง เพราะเมื่อครู่เขาได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงผู้เป็นบิดา แต่เมื่อวานเหรินเหยียนชิงบอกกับพวกเขาว่าเจ้าตัวอาศัยอยู่กับผู้เป็นตาในจวนตระกูลเหรินเพียงแค่สองคน แล้วก็ด้วยเพราะตอนที่อยู่ในสำนักศึกษาหลวง เจ้าตัวก็ไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวของตนเองให้พวกเขาฟังเลยสักครั้ง “เหยียนชิงข้าขอถามได้หรือไม่? แล้วตอนนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้า...” “ได้ ท่านพ่อของข้าได้จากข้าไปแล้ว ส่วนท่านแม่...เท่าที่ข้ารู้ ยามนี้นางก็ดูมีความสุขดี เดี๋ยวก่อนกลับจวนข้าพาเจ้าแวะไปชิมขนมร้านดังในเมืองซือโฉวดีกว่า ว่าแต่ช่วงบ่ายเจ้าจะไปตรวจโรงเตี๊ยมที่ไหน? หากข้าตรวจบัญชีร้านเสร็จทันข้าอาจจะไปกับเจ้าด้วยก็ได้” เหรินเหยียนชิงตอบคำถามของสหายเท่าที่เขาพอจะตอบได้ เพราะตัวเขาเองก็ไม่อยากพูดถึงเรื่
“เฟยหลงไม่ใช่ว่าเจ้าออกมาจากเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนหรอกหรือ? แล้วเหตุใดเจ้าเพิ่งจะมาถึงล่ะ?” ชิงหลวนคุนเอ่ยทักจินเฟยหลงทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องสั่งการ ซงหยวนที่เห็นจินเฟยหลงเดินเข้ามาในห้อง เขาจึงก้มลงไปคำนับให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะถอยออกไปเฝ้าหน้าห้องพร้อมกับหยงหมิน “ข้าแวะไปพักที่จวนของสหายในเมืองซือโฉวก่อนมาที่นี่” จินเฟยหลงตอบกลับอีกฝ่ายพร้อมกับเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ “เจ้าไปพักที่จวนสหาย!” ชิงหลวนคุนแปลกใจกับคำตอบของจินเฟยหลง เพราะตั้งแต่ที่เขารู้จักกับอีกฝ่ายมา หากไม่ใช่ค่ายทหารจินเฟยหลงก็จะกลับไปพักที่จวนของตัวเอง จะมีก็เพียงแค่ในวัยเยาว์ที่อีกฝ่ายได้เข้าไปพักที่สำนักศึกษาหลวง เพราะจินเฟยหลงจะไม่ยอมเข้าพักในที่ที่เจ้าตัวไม่วางใจ แม้แต่ในยามที่พวกเขาต้องออกไปทำงานนอกเมืองด้วยกัน อีกฝ่ายก็ยังเลือกนั่งร่ำสุราแทนการหาที่พักเลย นั่นก็ด้วยเพราะตำแหน่งและอำนาจในมือของจินเฟยหลง ยิ่งในยามนี้หากไม่ระวังตัว...ก็มีแต่จะต้องแลกด้วยชีวิตของเจ้า
จินเฟยหลงเมื่อเดินเข้าไปในเรือนพักรับรอง เขาก็รีบเลือกห้องพักของตนเอง จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้อง ก่อนจะลอบออกมา...แล้วแอบสะกดรอยตามเหรินเหยียนชิงไปจนถึงหน้าเรือนพักของอีกฝ่าย จินเฟยหลงแปลกใจที่เหรินเหยียนชิงไม่ได้พักอยู่ที่เรือนใหญ่ แต่เจ้าตัวกลับพักอยู่ที่เรือนหลังเล็กท้ายจวน และหากเขาจำไม่ผิด...ตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ เหรินเหยียนชิงบอกกับพวกเขาว่าอีกฝ่ายอาศัยอยู่กับผู้เป็นตาในจวนแห่งนี้เพียงแค่สองคน แล้วคนอื่น ๆ ในครอบครัวของเหรินเหยียนชิงล่ะ? แล้วเหตุใด? ในเมื่อมีกันแค่สองคน อีกฝ่ายถึงเลือกมาพักอยู่ที่เรือนหลังนี้ผู้เดียว ยามนี้จินเฟยหลงเกิดคำถามเรื่องครอบครัวของเหรินเหยียนชิงขึ้นมาไม่น้อย เพราะตอนที่พวกเขาพักอยู่ด้วยกันที่เรือนพักในสำนักศึกษา อีกฝ่ายก็ไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวของเจ้าตัวให้เขาฟังเลยสักครั้ง และก็คงจะด้วยเพราะตัวเขาเองที่เป็นคนพูดน้อยและไม่ค่อยชอบซักถาม สงสัย...หลังจากนี้เขาคงต้องให้คนไปสืบเรื่องของเหรินเหยียนชิงมาให้เขาเสียแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นขบวนเดินทางขนาดย่อมที่นำโดยเหรินเหยียนชิงก็ได้เดินทางมาถึงจวนคหบดีเหริน... จินเฟยหลงมองไปที่จวนขนาดใหญ่ตรงหน้า สี่ปีที่ผ่านมายามใดที่เขาเดินทางผ่านมายังเมืองซือโฉว เขาก็มักจะคอยมองหาเหรินเหยียนชิงเพราะเขาไม่รู้ว่าจวนของอีกฝ่ายอยู่ที่ใด และที่จวนแห่งนี้เขาก็เคยมาแอบมองอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเลยสักครั้ง หากในตอนนั้นเขาไม่ทำเพียงแค่คอยมองหา ยามนี้พวกเขาก็คง... “เหยียนชิง ที่นี่คือจวนเจ้าหรือ?” จิงเสี่ยวจางถามขึ้นเมื่อพวกเขามาหยุดอยู่ที่หน้าจวนขนาดใหญ่หลังหนึ่ง “ใช่...ที่นี่คือจวนตระกูลเหริน ข้าอาศัยอยู่กับท่านตาที่นี่แค่สองคน พวกเราเข้าไปหาท่านตาของข้ากันเถิด” เหรินเหยียนชิงตอบรับคำพูดของสหายพร้อมกับชวนอีกฝ่ายเข้าไปในจวน “คุณชายเหรินขอรับ...พวกข้าคงต้องขอตัวกลับสำนักก่อนนะขอรับ” เพ่ยฉีพูดพร้อมกับก้มลงไปคำนับให้กับพวกเหรินเหยียนชิง
เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยหลงต้องรีบออกไปทำข้อสอบอีกหนึ่งวิชาที่เหลืออยู่ แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากเรือน เขาได้แวะเข้าไปดูเหรินเหยียนชิงในห้องพักของเจ้าตัว แล้วเขาก็ได้เห็นว่าตอนนี้อีกฝ่ายยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง สงสัยว่าเมื่อคืนคนตรงหน้าคงนอนไม่หลับเหมือนกันกับเขา เพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าจิงเสี่ยวจางจะเข้ามาเห็นในสิ่งที่เขาทำเมื่อคืน หลังจากที่จินเฟยหลงทำข้อสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ เขาก็รีบตรงไปยังบริเวณที่กลุ่มของพวกเขาได้นัดหมายเอาไว้ว่าจะมากล่าวลากัน ก่อนที่พวกเขาทั้งสี่คนจะต้องแยกย้ายกันไปในวันนี้ แล้วเมื่อจินเฟยหลงเดินมาถึงบริเวณที่นัดหมาย เขาก็เห็นเหรินเหยียนชิงกำลังถูกคู่แฝดสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ และก็ดูเหมือนว่าจิงเสี่ยวจางน่าจะเล่าเรื่องที่ได้เห็นให้กับแฝดผู้พี่ของเจ้าตัวฟังหมดแล้ว “เหยียนชิง เรื่องเมื่อคืน...” จิงเสี่ยวจางที่คิดจะถามเรื่องเมื่อคืนกับสหายตรงหน้า แต่เขาก็ยังไม่ทันได้เอ่ยคำถามจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ชิงตอบคำถามของเขากลับมาเสียก่อน “ที่เจ้าเห็นมันไม่ใช่แบบที่พวกเจ้าคิด คือ...เมื่อคืนพวกเจ้าก็เห็นว่าเฟยหลงค่อนข้างที่จะเมาหนัก” “อืม...
“โอ้ย...ถึงสักที” เหรินเหยียนชิงเอ่ยออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเขาแบกสหายตัวโตกลับมาถึงเรือนพักของพวกเขาได้สำเร็จ จินเฟยหลงไม่รู้ว่าด้วยเพราะฤทธิ์สุราที่เขากินเข้าไปหรือด้วยเพราะอะไร ยามนี้เขาถึงได้อยากกอดคนตรงหน้าเหลือเกิน และก็อาจจะเพราะความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันทำให้เขาคิดไปถึงความรู้สึกในคืนนั้น...คืนที่เขาพยายามจะลืม แต่ทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถลืมมันได้สักที ถึงแม้ว่าในยามนั้นจินเฟยหลงจะทำมันลงไปเพราะไม่สามารถคุมสติของตัวเองเอาไว้ได้ก็ตาม และหากในคืนนั้นเขาจะเรียกมันว่าความผิดพลาด เขาก็คงจะพลาด...ที่เลือกทำตามใจของตัวเอง แล้วก็เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้น มันได้ทำให้เขารู้ว่าที่จริงแล้วเขารู้สึกกับคนตรงหน้าเช่นไร ตั้งแต่จำความได้คนที่จินเฟยหลงเคยกอดมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น นั่นก็คือท่านแม่ใหญ่และพี่ใหญ่ของเขา นอกเหนือจากนั้นเขาไม่เคยคิดอยากจะกอดหรือไม่เคยคิดอยากจะสัมผัส แม้แต่กับสตรีที่เข้ามาวนเวียนอยู่ในชีวิตเขาตอนนี้ก็ตาม และในยามนี้จินเฟยหลงได้รู้แล้วว่ากลิ่นที่เขาชื่นชอบก็คือกลิ่นกระดาษและกลิ่นน้ำหมึกที่มักจะติดมากับตัวของเหรินเหยียนชิง หาใช่กลิ