เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยหลงต้องรีบออกไปทำข้อสอบอีกหนึ่งวิชาที่เหลืออยู่ แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากเรือน เขาได้แวะเข้าไปดูเหรินเหยียนชิงในห้องพักของเจ้าตัว แล้วเขาก็ได้เห็นว่าตอนนี้อีกฝ่ายยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง สงสัยว่าเมื่อคืนคนตรงหน้าคงนอนไม่หลับเหมือนกันกับเขา เพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าจิงเสี่ยวจางจะเข้ามาเห็นในสิ่งที่เขาทำเมื่อคืน
หลังจากที่จินเฟยหลงทำข้อสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ เขาก็รีบตรงไปยังบริเวณที่กลุ่มของพวกเขาได้นัดหมายเอาไว้ว่าจะมากล่าวลากัน ก่อนที่พวกเขาทั้งสี่คนจะต้องแยกย้ายกันไปในวันนี้
แล้วเมื่อจินเฟยหลงเดินมาถึงบริเวณที่นัดหมาย เขาก็เห็นเหรินเหยียนชิงกำลังถูกคู่แฝดสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ และก็ดูเหมือนว่าจิงเสี่ยวจางน่าจะเล่าเรื่องที่ได้เห็นให้กับแฝดผู้พี่ของเจ้าตัวฟังหมดแล้ว
“เหยียนชิง เรื่องเมื่อคืน...” จิงเสี่ยวจางที่คิดจะถามเรื่องเมื่อคืนกับสหายตรงหน้า แต่เขาก็ยังไม่ทันได้เอ่ยคำถามจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ชิงตอบคำถามของเขากลับมาเสียก่อน
“ที่เจ้าเห็นมันไม่ใช่แบบที่พวกเจ้าคิด คือ...เมื่อคืนพวกเจ้าก็เห็นว่าเฟยหลงค่อนข้างที่จะเมาหนัก”
“อืม... แต่เจ้าไม่เมา” จิงเสี่ยวเจี้ยนกล่าวต่อ
“ใช่...แต่ตอนนั้นทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากและข้าเองก็ตกใจ แต่ข้าก็พยายามดันเฟยหลงออกไปจากตัวข้าแล้วนะ”
“เหยียนชิง ข้าขอถามเจ้าตามตรงเจ้าคิดอย่างไรกับเฟยหลง?” จิงเสี่ยวจางถามขึ้น เพราะเมื่อคืนเขาได้เห็นสายตาของคนทั้งสองบนเตียงอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสายตาที่แสดงออกถึงความหวั่นไหวของสหายตรงหน้า ซึ่งแม้แต่ในยามนี้อีกฝ่ายก็ยังคงแสดงมันออกมาให้เขาเห็นอยู่เช่นกัน
“ข้า...ข้าไม่รู้” เหรินเหยียนชิงตอบกลับคำถามของสหายตามตรง เพราะในยามนี้เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาควรจะต้องคิดอะไร หรือเขาควรจะต้องรู้สึกอย่างไรกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“หรือว่าเจ้าชอบเฟยหลง?” จิงเสี่ยวจางเอ่ยถามในสิ่งที่เขาสงสัยต่อทันที
“อาจาง หยุด!” จิงเสี่ยวเจี้ยนรีบขยับเขาไปตบบ่าแล้วเอ่ยขัดแฝดผู้น้อง เมื่อเขาเห็นจินเฟยหลงกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขา
จิงเสี่ยวจางหยุดพูด แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองตามสายตาของแฝดผู้พี่
เหรินเหยียนชิงที่กำลังตกใจกับคำถามของจิงเสี่ยวจาง ก็ต้องมาตกใจซ้ำเมื่อเห็นจินเฟยหลงมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วในยามนี้
“เฟยหลง! เจ้า...เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด?” เหรินเหยียนชิงทักคนตรงหน้าพร้อมกับเอ่ยถามต่อ เพราะเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะได้ยินเรื่องที่พวกเขาพูดคุยกันมากน้อยแค่ไหน
จิงเสี่ยวเจี้ยนเดินนำจิงเสี่ยวจางออกมาจากตรงนั้นทันที เพราะยามนี้เขาคิดว่าพวกเขาควรจะปล่อยให้สหายทั้งสองคนได้พูดคุยและได้จัดการเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ออกไปไหนไกล แต่คอยมองสหายของพวกเขาอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
“เรื่องเมื่อคืนข้าขอโทษ แต่ข้า...” จินเฟยหลงตั้งใจพูดประโยคที่เขาได้คิดเอาไว้ ตั้งแต่ตอนที่เขาแอบฟังคนทั้งสามพูดคุยกัน แต่พอเขาจะต้องพูด...เขากลับพูดมันต่อไม่ออก เมื่อเขาได้เห็นสายตาที่แสดงออกถึงความสับสนและความไม่มั่นคงของคนตรงหน้า
‘เหยียนชิงข้าขอโทษ...แต่ความรักสำหรับข้ามันคือเรื่องไม่จำเป็น’ จินเฟยหลงเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายในใจ ก่อนจะกำมือทั้งสองข้างของตนเองจนแน่นแล้วหันหลัง จากนั้นเขาจึงพูดในสิ่งที่คิดเอาไว้ต่อ...
“ข้าไม่ได้คิดอะไรกับเจ้า ข้าเห็นเจ้าเป็นเพียงสหาย”
“เพราะข้าไม่ใช่แบบที่เจ้าคิด!” จินเฟยหลงพูดจบจึงหันกลับไปมองสหายสนิทเพียงคนเดียวของเขา
“อืม” เหรินเหยียนชิงมองคนตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกมาจากตรงนั้นทันที
จินเฟยหลงทำเพียงมองอีกฝ่ายเดินจากไป...จนลับสายตา
“ท่านแม่ทัพขอรับ คุณชายรองจิงให้ตามท่านกลับไปรับเสบียงอาหารขอรับ” หยงหมินเดินเข้าไปเรียกผู้เป็นนายเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังนั่งมองสายน้ำในลำธาร
จินเฟยหลงพยักหน้ารับคำของหยงหมิน หลังจากที่เขาหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตนเอง จากนั้นพวกเขาจึงเดินกลับไปรวมกลุ่มกับผู้อื่น
จินเฟยหลงเมื่อเดินมาถึงบริเวณที่พวกเขาจะใช้พักค้างแรมกันในคืนนี้ เขาก็เห็นเหรินเหยียนชิงกำลังนั่งรับเสบียงอาหารข้างจิงเสี่ยวจางกับเพ่ยหยี และดูเหมือนว่ายามนี้อีกฝ่ายน่าจะมีความสุขดี
‘ตลอดสี่ปีที่เจ้าไม่มีข้า เจ้าคงมีความสุขดีสินะเหยียนชิง แต่เป็นแบบนี้มันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ? ยามนี้เหยียนชิงก็ได้มีชีวิตในแบบของตัวเอง และข้า...ก็ได้เป็นแค่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในชีวิตของเหยียนชิงอย่างที่ตัวข้าเคยต้องการแล้ว แต่ทำไม...ข้าถึงได้รู้สึกเจ็บปวดใจมากขนาดนี้ล่ะ’ จินเฟยหลงคิดในใจพร้อมกับมองไปที่เหรินเหยียนชิง
ตกดึกจินเฟยหลงได้ขอเป็นผู้เฝ้าระวังภัยพร้อมกับหยงหมิน ยามนี้เขานั่งอยู่หน้ากองไฟแล้วมองไปทางเหรินเหยียนชิง ซึ่งตอนนี้อีกฝ่ายกำลังนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
วันสุดท้ายในสำนักศึกษาของพวกเขา ตอนนั้นจินเฟยหลงเคยคิดว่าสิ่งที่เขาเลือกและสิ่งที่เขาทำ มันคือทางออกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับตัวเขากับเหรินเหยียนชิง และหากมีสักวันที่พวกเขาทั้งสองคนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ยามนั้นเขาเคยคิดว่าตัวเขาคงจะไม่รู้สึกอะไรกับอีกฝ่ายแล้ว และเวลาก็คงจะช่วยทำให้เขากับเหรินเหยียนชิงสามารถกลับมาเป็นสหายสนิทกันได้เหมือนเดิม
แต่ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา มันได้พิสูจน์แล้วว่า...ไม่เคยมีเลยสักวันที่เขาจะไม่รู้สึกเสียใจ และไม่เคยมีเลยสักวันที่เขาจะไม่คิดถึงเหรินเหยียนชิง แล้วในยามนี้เมื่อเขาได้กลับมาเจอกับเหรินเหยียนชิงจริง ๆ อีกครั้ง ความรู้สึกรักที่เขาเคยคิดว่ามันน่าจะเลือนหาย แต่กลับกลายเป็นมีมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เมื่อก่อนที่จินเฟยหลงเคยคิดว่า...ความรักมันคือเรื่องไม่จำเป็นสำหรับเขา และเขาก็พยายามห้ามความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเหรินเหยียนชิง จนเมื่อเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นกับครอบครัวของเขาอีกครั้ง
ยามนั้นเขาได้เห็นผู้เป็นบิดานั่งเสียใจกับการสูญเสียและนั่งเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองเคยเลือก เพราะบิดาของเขาเลือกทำตามหน้าที่มากกว่าความรักและความต้องการของตนเอง แล้วเมื่อเขาได้เจอกับพี่ชายของเขาอีกครั้ง เขาก็ได้เห็นว่าผู้เป็นพี่ชายเลือกที่จะทำตามความรู้สึกไปพร้อมกับหน้าที่และความฝันของตนเอง ซึ่งในยามนี้พี่ชายของเขาก็ดูมีความสุขดีและมีคนที่ตนเองรักคอยอยู่เคียงข้าง
และในวันที่ครอบครัวของเขาได้กลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง ผู้เป็นบิดาก็ได้บอกกับบุตรทุกคนแล้วว่า...ความสุขของบิดาในยามนี้ ก็คือการได้เห็นบุตรทุกคนมีความสุขในสิ่งที่ตัวเองเลือก
แล้วตัวเขาล่ะ? หากตอนนี้เขาจะขอละทิ้งหน้าที่ของตัวเองที่ต้องแบกรับเอาไว้บางส่วนบ้าง เขาพอจะทำได้หรือไม่? แล้วถ้าหากทำได้...
‘เหยียนชิงหากข้าจะขอเลือกใหม่อีกครั้ง เจ้าจะให้โอกาสข้าได้กลับเข้าไปในชีวิตของเจ้าอีกครั้งหรือไม่?’ จินเฟยหลงเอ่ยถามอีกฝ่ายในใจ
ชิงหลวนคุนนอนไม่หลับ เขาจึงเดินออกมาจากห้องพักเพื่อไปนั่งรับลมที่ระเบียง แต่เมื่อเขาเดินไปถึง...เขาก็เห็นจินเฟยหลงนั่งอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว “เฟยหลงเจ้าก็นอนไม่หลับเหมือนกันหรือ?” ชิงหลวนคุนเอ่ยถามพร้อมกับเดินเข้าไปนั่งข้างจินเฟยหลง จินเฟยหลงทำเพียงพยักหน้ารับคำของอีกฝ่าย ความจริงแล้วเขาออกมานั่งรับข้อมูลเรื่องครอบครัวของเหรินเหยียนชิงที่เขาให้ลูกน้องไปตามสืบมา ยามนี้มีหลายเรื่องของคนตัวเล็กที่เขาเพิ่งได้รู้ แล้วมันก็ทำให้เขารู้สึกตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว “หากเจ้ายังไม่ง่วง อย่างนั้นพวกเรามานั่งร่ำสุราด้วยกันสักหน่อยดีหรือไม่?” “ดี” จินเฟยหลงตอบรับคำชวนของชิงหลวนคุนทันที เพราะยามนี้เขาก็รู้สึกอยากดื่มสุราเช่นกัน ซงหยวนกับหยงหมินที่เดินตามผู้เป็นนายออกมาจากห้องพักด้วย เมื่อได้ยินว่าผู้เป็นนายต้องการร่ำสุราพวกเขาจึงแยกตัวออกไปเตรียมของ
จิงเสี่ยวจางที่รับฟังเหรินเหยียนชิงเล่าเรื่องร้านฝากขายมาได้สักพัก ในระหว่างนั้นเขาก็สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายดูจะมีความสุขเมื่อได้พูดถึงเรื่องกิจการภายในครอบครัว จนเมื่อเขาเห็นว่าสหายน่าจะเล่าจบแล้ว เขาจึงคิดที่จะถามเรื่องครอบครัวของเจ้าตัวบ้าง เพราะเมื่อครู่เขาได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงผู้เป็นบิดา แต่เมื่อวานเหรินเหยียนชิงบอกกับพวกเขาว่าเจ้าตัวอาศัยอยู่กับผู้เป็นตาในจวนตระกูลเหรินเพียงแค่สองคน แล้วก็ด้วยเพราะตอนที่อยู่ในสำนักศึกษาหลวง เจ้าตัวก็ไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวของตนเองให้พวกเขาฟังเลยสักครั้ง “เหยียนชิงข้าขอถามได้หรือไม่? แล้วตอนนี้ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้า...” “ได้ ท่านพ่อของข้าได้จากข้าไปแล้ว ส่วนท่านแม่...เท่าที่ข้ารู้ ยามนี้นางก็ดูมีความสุขดี เดี๋ยวก่อนกลับจวนข้าพาเจ้าแวะไปชิมขนมร้านดังในเมืองซือโฉวดีกว่า ว่าแต่ช่วงบ่ายเจ้าจะไปตรวจโรงเตี๊ยมที่ไหน? หากข้าตรวจบัญชีร้านเสร็จทันข้าอาจจะไปกับเจ้าด้วยก็ได้” เหรินเหยียนชิงตอบคำถามของสหายเท่าที่เขาพอจะตอบได้ เพราะตัวเขาเองก็ไม่อยากพูดถึงเรื่
“เฟยหลงไม่ใช่ว่าเจ้าออกมาจากเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนหรอกหรือ? แล้วเหตุใดเจ้าเพิ่งจะมาถึงล่ะ?” ชิงหลวนคุนเอ่ยทักจินเฟยหลงทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องสั่งการ ซงหยวนที่เห็นจินเฟยหลงเดินเข้ามาในห้อง เขาจึงก้มลงไปคำนับให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะถอยออกไปเฝ้าหน้าห้องพร้อมกับหยงหมิน “ข้าแวะไปพักที่จวนของสหายในเมืองซือโฉวก่อนมาที่นี่” จินเฟยหลงตอบกลับอีกฝ่ายพร้อมกับเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ “เจ้าไปพักที่จวนสหาย!” ชิงหลวนคุนแปลกใจกับคำตอบของจินเฟยหลง เพราะตั้งแต่ที่เขารู้จักกับอีกฝ่ายมา หากไม่ใช่ค่ายทหารจินเฟยหลงก็จะกลับไปพักที่จวนของตัวเอง จะมีก็เพียงแค่ในวัยเยาว์ที่อีกฝ่ายได้เข้าไปพักที่สำนักศึกษาหลวง เพราะจินเฟยหลงจะไม่ยอมเข้าพักในที่ที่เจ้าตัวไม่วางใจ แม้แต่ในยามที่พวกเขาต้องออกไปทำงานนอกเมืองด้วยกัน อีกฝ่ายก็ยังเลือกนั่งร่ำสุราแทนการหาที่พักเลย นั่นก็ด้วยเพราะตำแหน่งและอำนาจในมือของจินเฟยหลง ยิ่งในยามนี้หากไม่ระวังตัว...ก็มีแต่จะต้องแลกด้วยชีวิตของเจ้า
จินเฟยหลงเมื่อเดินเข้าไปในเรือนพักรับรอง เขาก็รีบเลือกห้องพักของตนเอง จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้อง ก่อนจะลอบออกมา...แล้วแอบสะกดรอยตามเหรินเหยียนชิงไปจนถึงหน้าเรือนพักของอีกฝ่าย จินเฟยหลงแปลกใจที่เหรินเหยียนชิงไม่ได้พักอยู่ที่เรือนใหญ่ แต่เจ้าตัวกลับพักอยู่ที่เรือนหลังเล็กท้ายจวน และหากเขาจำไม่ผิด...ตอนที่พวกเขามาถึงที่นี่ เหรินเหยียนชิงบอกกับพวกเขาว่าอีกฝ่ายอาศัยอยู่กับผู้เป็นตาในจวนแห่งนี้เพียงแค่สองคน แล้วคนอื่น ๆ ในครอบครัวของเหรินเหยียนชิงล่ะ? แล้วเหตุใด? ในเมื่อมีกันแค่สองคน อีกฝ่ายถึงเลือกมาพักอยู่ที่เรือนหลังนี้ผู้เดียว ยามนี้จินเฟยหลงเกิดคำถามเรื่องครอบครัวของเหรินเหยียนชิงขึ้นมาไม่น้อย เพราะตอนที่พวกเขาพักอยู่ด้วยกันที่เรือนพักในสำนักศึกษา อีกฝ่ายก็ไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวของเจ้าตัวให้เขาฟังเลยสักครั้ง และก็คงจะด้วยเพราะตัวเขาเองที่เป็นคนพูดน้อยและไม่ค่อยชอบซักถาม สงสัย...หลังจากนี้เขาคงต้องให้คนไปสืบเรื่องของเหรินเหยียนชิงมาให้เขาเสียแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นขบวนเดินทางขนาดย่อมที่นำโดยเหรินเหยียนชิงก็ได้เดินทางมาถึงจวนคหบดีเหริน... จินเฟยหลงมองไปที่จวนขนาดใหญ่ตรงหน้า สี่ปีที่ผ่านมายามใดที่เขาเดินทางผ่านมายังเมืองซือโฉว เขาก็มักจะคอยมองหาเหรินเหยียนชิงเพราะเขาไม่รู้ว่าจวนของอีกฝ่ายอยู่ที่ใด และที่จวนแห่งนี้เขาก็เคยมาแอบมองอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเลยสักครั้ง หากในตอนนั้นเขาไม่ทำเพียงแค่คอยมองหา ยามนี้พวกเขาก็คง... “เหยียนชิง ที่นี่คือจวนเจ้าหรือ?” จิงเสี่ยวจางถามขึ้นเมื่อพวกเขามาหยุดอยู่ที่หน้าจวนขนาดใหญ่หลังหนึ่ง “ใช่...ที่นี่คือจวนตระกูลเหริน ข้าอาศัยอยู่กับท่านตาที่นี่แค่สองคน พวกเราเข้าไปหาท่านตาของข้ากันเถิด” เหรินเหยียนชิงตอบรับคำพูดของสหายพร้อมกับชวนอีกฝ่ายเข้าไปในจวน “คุณชายเหรินขอรับ...พวกข้าคงต้องขอตัวกลับสำนักก่อนนะขอรับ” เพ่ยฉีพูดพร้อมกับก้มลงไปคำนับให้กับพวกเหรินเหยียนชิง
เช้าวันรุ่งขึ้นจินเฟยหลงต้องรีบออกไปทำข้อสอบอีกหนึ่งวิชาที่เหลืออยู่ แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากเรือน เขาได้แวะเข้าไปดูเหรินเหยียนชิงในห้องพักของเจ้าตัว แล้วเขาก็ได้เห็นว่าตอนนี้อีกฝ่ายยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง สงสัยว่าเมื่อคืนคนตรงหน้าคงนอนไม่หลับเหมือนกันกับเขา เพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าจิงเสี่ยวจางจะเข้ามาเห็นในสิ่งที่เขาทำเมื่อคืน หลังจากที่จินเฟยหลงทำข้อสอบวิชาสุดท้ายเสร็จ เขาก็รีบตรงไปยังบริเวณที่กลุ่มของพวกเขาได้นัดหมายเอาไว้ว่าจะมากล่าวลากัน ก่อนที่พวกเขาทั้งสี่คนจะต้องแยกย้ายกันไปในวันนี้ แล้วเมื่อจินเฟยหลงเดินมาถึงบริเวณที่นัดหมาย เขาก็เห็นเหรินเหยียนชิงกำลังถูกคู่แฝดสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ และก็ดูเหมือนว่าจิงเสี่ยวจางน่าจะเล่าเรื่องที่ได้เห็นให้กับแฝดผู้พี่ของเจ้าตัวฟังหมดแล้ว “เหยียนชิง เรื่องเมื่อคืน...” จิงเสี่ยวจางที่คิดจะถามเรื่องเมื่อคืนกับสหายตรงหน้า แต่เขาก็ยังไม่ทันได้เอ่ยคำถามจนจบประโยค อีกฝ่ายก็ชิงตอบคำถามของเขากลับมาเสียก่อน “ที่เจ้าเห็นมันไม่ใช่แบบที่พวกเจ้าคิด คือ...เมื่อคืนพวกเจ้าก็เห็นว่าเฟยหลงค่อนข้างที่จะเมาหนัก” “อืม...