น้องสาวตัวเล็กและหลานฮูหยินหันไปยิ้มให้ น้ำตาของน้องสาวหลั่งไหลออกมาด้วยความปลื้มใจ นางนึกไม่ถึงว่าจะมีวันที่ได้นั่งร่วมโต๊ะกับพี่สาวที่ไม่เคยยอมรับนางมาก่อน
“ร้องไห้ทำไม เจ้าจะโตเป็นสาวแล้ว ร้องไห้แบบนี้เดี๋ยวไม่สวยนะ”
หยุนเฟยหันไปเช็ดน้ำตาให้นาง ฮูหยินถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ นึกไม่ถึงว่านางตกน้ำไปครั้งนี้ฟื้นขึ้นมาราวกับเป็นอีกคนที่พวกนางไม่เคยรู้จักมาก่อน
“ดูท่านสิ ท่านก็ร้องไห้อีกคน แกงไก่นั่นคงเค็มแล้วกระมัง ฮ่า ๆ”
เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นครั้งแรกในห้องของฟางหยุนเฟยทำเอาคนด้านนอกทั้งแม่นมถงและสาวใช้คนอื่น ๆ แปลกใจจนต้องมามุงดูอยู่หน้าห้อง นอกจากพวกนางจะนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกันแล้วยังคุยกันอย่างสนุกสนานอีกด้วย
“แม่นม นี่ข้าหูฝาดไปหรือไม่”
“นั่นสิเจ้าคะ ข้ามิได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่ที่เห็นพวกนางสามคนนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกัน”
แม่นมถงไม่ได้ตอบสิ่งใด นางกำลังยืนร้องไห้อยู่ตรงหน้าห้องพร้อมกับความปลาบปลื้มใจแทนฮูหยินคนเก่าที่เสียไปแล้ว หากว่าวันนี้นางเห็นคงยินดีที่บุตรสาวสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้เสียที อย่างน้อยกับคนในจวนเดียวกันก็ยังดี
“พวกเราไปเถอะ อย่าไปรบกวนพวกนางเลย”
บ่ายวันนั้น
ท่านราชครูเมื่อประชุมราชสำนักเสร็จแล้วก็เร่งกลับมาที่จวนเพื่อมาเยี่ยมอาการบุตรสาวในทันที ฮูหยินส่งคนไปแจ้งเขาหลังจากการประชุมราชสำนักที่กินเวลาไปเกือบครึ่งเช้าเรื่องการจัดการชาวบ้านที่อพยพหนีภัยสงครามที่จิงโจวมาที่รอบนอกเมืองหลวงจนแทบจะเกิดการจลาจลเพื่อแย่งสิ่งของบรรเทาภัย
“หยุนเฟยลูกพ่อ เจ้าฟื้นแล้วงั้นหรือ”
ผู้เป็นบิดาพรวดพราดเข้ามาในห้องที่นางนั่งอยู่กับแม่นมเพื่อสอบถามเรื่องราวของเจ้าของร่างเดิม เมื่อหันไปมองผู้เป็นบิดาที่สูงอายุแต่ยังคงดูดีอยู่มาก
เขาเป็นขุนนางระดับเอกที่ถวายงานใกล้ชิดฝ่าบาทแต่ใบหน้าที่ใจดีและรอยยิ้มที่อบอุ่นนั่นทำให้นางรู้ได้ทันทีเมื่อร่างนั้นน้ำตาไหลเมื่อเห็นหน้าของเขา
“ท่านพ่อ”
“เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าหลับไปสามคืนเต็ม ๆ รู้หรือไม่ว่าพ่อกับ..ลูกพ่อ พ่อเป็นห่วงเจ้าแทบตาย”
“ลูกสบายดีแล้วเจ้าค่ะ เมื่อเช้านี้ท่านน้าเอาไก่ตุ๋นโสมมาให้ลูกกินด้วย อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ”
ท่านราชครูนิ่งไปราวกับไม่เชื่อว่าพึ่งได้ยินสิ่งใด เขาหันไปมองแม่นมถงที่ยิ้มและพยักหน้าให้ท่านราชครูซึ่งหันมามองหน้าของบุตรสาวที่ยิ้มกลับมาด้วยสีหน้าที่สดชื่นขึ้น เขาราวกับได้น้ำทิพย์ชโลมใจเมื่อได้ยินนางเอ่ยถึงฮูหยิน รองเช่นนี้
“เจ้า…ยังเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่ ท่านหมอว่าอย่างไรแล้วต้องกินยาอะไรบำรุงเพิ่มบ้าง ข้าจะ…”
“ท่านพ่อ ท่านอย่าได้ห่วงเลยเจ้าค่ะ ท่านน้าจัดแจงทั้งหมดนั่นให้ข้าแล้วท่านไม่ต้องลำบากหรอกเจ้าค่ะ”
“ท่านน้างั้นหรือ นี่เจ้า….หยุนเฟย เจ้ากับอี้เหนียง…”
“ท่านพ่อ ท่านกับท่านน้าก็แต่งงานกันมาสิบกว่าปีจนหลีเม่ยเติบโตมาจะถึงวัยปักปิ่นแล้วนะ ข้าเองก็ควรจะยอมรับได้แล้วมิใช่หรือเจ้าคะ”
“หยุนเฟย พ่อดีใจยิ่งนัก ดีใจมากที่เจ้าปลอดภัย”
“นายท่านขอรับ”
“หืม…ว่าอย่างไรพ่อบ้านเจา”
“ท่านอ๋องเสด็จมา บอกว่ามาเยี่ยมคุณหนูขอรับ”
“อ้อ เข้าใจแล้วอีกเดี๋ยวข้าจะไปถวายการต้อนรับ”
สีหน้าของท่านราชครูมิได้ยินดีเท่าใดนักที่ผู้มาเยือนมาถึงจวนเช่นนี้ ฟางหยุนเฟยเองก็พอจะทราบว่าท่านอ๋องที่พวกเขาเอ่ยถึงก็คือพระเอกในนิยายผู้นั้น ที่จะสั่งฆ่านางในอีกไม่กี่ตอนในนิยาย
แต่ครั้งนี้นางจะไม่ให้มันเกิดขึ้น นางจะต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม นั่นคือ “ไม่ไปยุ่งกับเขาอีก” เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
“หยุนเฟย เจ้ายังไม่หายดี พ่อจะไปต้อนรับท่านอ๋องเอง”
“ท่านพ่อ ลูกอยากเข้าเฝ้าท่านอ๋องเองเจ้าค่ะ”
“แต่ว่า…เฮ้อ…เขาคงมาเพราะฝ่าบาทให้มา และอาจจะมาบอกเจ้าเรื่องการหมั้น”
“เจ้าค่ะ ลูกเองก็จะคุยกับเขาเรื่องการหมั้นเช่นกัน”
“หยุนเฟย ในเมื่อท่านอ๋องไม่ประสงค์จะแต่งงานกับเจ้า เรื่องนี้พ่อว่า….”
“ท่านพ่อเจ้าคะ ให้ลูกไปคุยกับท่านอ๋องผู้นี้เองเถิดเจ้าค่ะ”
“เป็นเพราะข่าวที่เจ้าประกาศออกไปว่าจะหมั้นหมายกับท่านอ๋อง จึงทำให้เจ้าถูกลอบทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ครั้งเดียวก็เกินพอ พ่อเองก็ไม่อยากเสียเจ้าไปเช่นนี้ หยุนเฟยเจ้าเชื่อพ่อเถอะนะ บุรุษในใต้หล้านี้เจ้าชอบผู้ใดพ่อจะไม่ว่าเลย แต่คนอย่างท่านอ๋องผู้นี้ จิตใจเขายากแท้หยั่งถึงแม้ว่าจะเป็นพระราชนัดดาของฝ่าบาท แต่ว่า…”
เพราะเหตุนี้นี่เองฟางหยุนเฟยจึงถูกลอบทำร้าย ถูกผลักให้ตกน้ำเพราะทั้งเมืองหลวง นางเป็นคนที่น่าหมั่นไส้และถูกเกลียดชังจากวงสังคมชั้นสูงมากที่สุดอีกทั้งไม่แน่ว่าการลอบทำร้ายในครั้งนี้ ท่านอ๋องผู้นี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่
“ท่านพ่อ ลูกประสบภัยครั้งนี้ย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดที่สำคัญกับลูกมากที่สุดเจ้าค่ะ ที่ลูกอยากไปพบท่านอ๋องก็เพราะอยากจะทราบว่าพระองค์คิดเช่นไรกับเรื่องนี้ และคนร้ายที่ก่อเหตุ พวกท่านได้ตามสืบหาอยู่หรือไม่ หรือว่าเพียงเพราะเป็นข้าที่ถูกผลักตกน้ำ จึงมิมีผู้ใดคิดจะสืบหาผู้ที่เป็นคนก่อเหตุ”
“เรื่องนี้….คือว่า….”
นางเข้าใจไม่ผิดจริง ๆ แม้บิดาจะมีอำนาจและเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท แต่เรื่องเหตุลอบทำร้ายบุตรสาวที่เอาแต่ใจและน่าหมั่นไส้เช่นฟางหยุนเฟยนั้น ก็แทบจะไม่มีผู้ที่สนใจเลย
ต่อให้นางตายไปก็คงจะมีเพียงราชครูฟางเท่านั้นที่เสียใจกับนาง หรืออย่างน้อยก็มีหลานอี้เหนียงและฟางหลีเม่ย น้องสาวต่างมารดาของนางอีกคน
“ข้านึกแล้วไม่มีผิด เรื่องนี้คงมิมีผู้ใดใส่ใจจะสืบหาจริง ๆ สินะเจ้าคะ”
“หยุนเฟย พ่อพยายามสืบหาสุดกำลังแต่ว่า….เหตุการณ์เกิดขึ้นในวังหลวง แต่ละคนก็ปิดปากเงียบสนิทแม้ว่าพ่อจะมีเส้นสายในนั้นมาก แต่เพราะ….”
ท่านราชครูหันมามองใบหน้าที่รู้ตัวเองดีของบุตรสาว แต่บัดนี้นางมิใช่ฟางหยุนเฟยคนเดิมอีกต่อไปแล้ว นางมิใช่คนที่น่ารังเกียจผู้นั้นที่จะทำเป็นไม่สนใจว่าผู้ใดจะฆ่านางได้ หากมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไป ในเมื่อทุกคนอยากให้นางตาย นางก็จะลากคอผู้ที่คิดร้ายกับนางออกมาเพื่อแก้แค้นให้เจ้าของร่างเดิมให้จงได้ วิญญาณของนางจะได้ไปยังที่ที่สงบเสียที
“ท่านพ่อ เรารีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ ปล่อยให้เชื้อพระวงศ์รอนานคงไม่เหมาะสมนัก”
“เจ้า…จะไปพบพระองค์จริง ๆ งั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ ลูกมีเรื่องจะคุยกับเขาเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
ฟางหยุนเฟยเดินตามผู้เป็นบิดาไปยังห้องโถงที่มีแขกคนสำคัญรออยู่ แม้ว่าหยุนเฟยยืนกรานกับตัวเองหนักแน่นว่าจะต้องออกห่างจากอีตาพระเอกในเรื่องนี้ แต่เมื่อมาพบหน้าเขาจริง ๆ แล้วก็ถึงกับสะดุดกับใบหน้าที่หล่อเหลาตรงหน้าที่หันมามองนาง
ใบหน้าสะอาด จมูกโด่งรับกับใบหน้ารูปไข่ ริมฝีปากหนาสีเข้ม และดวงตาดุจพยัคฆ์ที่จ้องมองมายังหยุนเฟยราวกับจ้องศัตรูอยู่ นางเข้าใจผิดแล้วที่บอกว่าท่่านอ๋องไม่ได้ชอบนาง เพราะดูจากสายตาที่มองมาที่นางนั้น ไม่ใช่ว่าไม่ชอบแต่ว่า “เขาเกลียดนาง” เลยด้วยซ้ำไป
“ถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”
ทางด้านฉินเกาหานเมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็พาหลีเม่ยเดินมายังด้านหลังและได้ยินข่าวดีของพระชายากับท่านอ๋องว่านางตั้งครรภ์“ได้ยินหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะไปหาพี่ใหญ่”“ท่านอ๋องคงพานางกลับไปที่จวนแล้ว ยังมีเวลาอีกมากเราค่อยไปทีหลัง มานี่ก่อน”“ไปไหนเจ้าคะ”“ตามข้ามา จะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”เขาอุ้มนางขึ้นหลังม้าคู่ใจในทันที หลีเม่ยที่ไม่เคยขี่ม้าถึงกับต้องคว้ารอบคอของเจ้าม้าเอาไว้เพราะกลัวตกเมื่อเกาหานขึ้นมานั่งกับนางจึงค่อย ๆ จัดท่าให้นางใหม่“มีข้าอยู่เจ้าไม่ต้องกลัวตกหรอก จับตรงนี้อย่าไปดึงขนมันเดี๋ยวมันจะโมโห”“เดี๋ยวก่อนสิเจ้าคะ ข้าไม่เคยนั่งหลังม้า ว้าย!!”เขาพานางวิ่งออกไปทันทีเพราะผ่านเวลามานานแล้ว เขาควบทะยานออกนอกเมืองไปอย่างรวดเร็วเมื่อสิ้นทางชุมชนแล้ว หลีเม่ยหลับตาไม่กล้ามองเพราะความเร็วของม้านั้นทำให้นางตาพร่ามัวจนม้าค่อย ๆ ไต่เขาขึ้นไปนางจึงกล้าลืมตาอีกครั้ง“เราจะไปที่ใดกันเจ้าคะ”“ยอดเขานี้แหละ ไม่ไกลหรอก”“ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”“พาเจ้าไปชื่นชมความงามของทุ่งดอกไม้ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีอันตราย”“ตัวท่านต่างหากที่อันตรายต่อหัวใจข้า”“ข้าได้ยินเจ้าพูดนะหลีเม่ย”ม้าค่อย ๆ ขึ้นไปยั
ยี่สิบสองวันถัดมาหลังจากพิธีสมรสที่ยิ่งใหญ่ผ่านไปแล้ว ชาวบ้านที่หมู่บ้านฟางหมิงยังคงคึกคักไม่หยุดเพราะยังเหลืองานใหญ่อีกหนึ่งงานนั่นคือ "พิธีปักปิ่น" ของสตรีที่มีอายุครบสิบเจ็ดปีในปีนี้ ซึ่งได้รับพระราชานุญาตจากฝ่าบาทและฮองเฮาจัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสตรีที่อยู่ในหมู่บ้านและในเมืองหลวงที่อยากเข้าร่วมพิธีอันทรงเกียรตินี้“อาเม่ยอยู่เฉย ๆ สิอย่าดิ้น”“ท่านแม่ผิวข้าจะแตกแล้ว โอ๊ย!!”ฟางหลีเม่ยบ่นเมื่อมารดาและอาหงซึ่งตอนนี้ต้องมาดูแลขัดผิวให้นางหลังจากจบภารกิจส่งพระชายาท่านอ๋องเข้าตำหนักไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ในจวนสกุลฟางต่างวุ่นวายเรื่องการจัดเตรียมงานปักปิ่นให้หลีเม่ยเพราะนอกจากเป็นพิธีที่เป็นทางการแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นงานหมั้นระหว่างนางและแม่ทัพ “ฉินเกาหาน” อีกด้วย“หากว่าหยุนเฟยเห็นว่าเจ้าแอบหนีไม่ยอมทำละก็นางจะว่าเอาได้นะ พิธีนี้สำคัญยิ่ง เจ้าดูสิแม่ทัพฉินพาคนมาจัดเตรียมมากมายเพื่อเจ้าแล้วดูเจ้าสิ”“พี่เกาหานก็ทำตามหน้าที่ งานนี้ฮองเฮาทรงเป็นผู้จัดขึ้นมาเพื่อทุกคน หาใช่ข้าคนเดียวไม่ ท่านแม่ท่านก็รู้ว่าข้ามิได้ชอบงานเช่นนี้”“เอาล่ะ ๆ อย่าบ่น”“ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนู...เอ่อ พระชายาเสด็จ
เขาไม่รอช้าเมื่อนางถึงสวรรค์ไปก่อนด้วยนิ้วของเขา นั่นแสดงว่านางเองก็คงกลั้นความคิดถึงเอาไว้เหมือนกับเขา ร่างแกร่งสอดใส่ประสานรักกับนางอย่างรวดเร็ว คนใต้ร่างส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงดังของร่างทั้งสองแต่ท่านอ๋องเองก็ทนได้ไม่นานเช่นกัน เขาตามนางไปติด ๆ ในเวลาไม่นาน“อาาา หยุนเฟย เพียงได้กลิ่นเจ้าข้าก็….เอาไว้แก้ตัวรอบหน้า อึ๊ยยย!!”น้ำรักอุ่น ๆ ถูกฉีดพ่นเข้าไปด้านในสุดแรง หยุนเฟยเปลี่ยนมานั่งคร่อมเขาเอาไว้ เช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเป็นบ้าตายเพราะร่างที่งดงามและขาวดุจฝ้ายบริสุทธิ์ ผิวนุ่มลื่นดุจแพรไหมเมื่อนางเริ่มขยับเอวเพื่อควบคุมเขาทำเอาเขาแทบคลั่งตาย“อาา หยุนเฟย อย่าเร่ง ข้าจะ…แตก…อาาา”“เว่ยหราน ….อื้อ….ท่านพี่ อ๊าาา ดึงแรง ๆ แรงอีก อ๊าา”นางจับมือหนาของเขาให้มาช่วยจับหน้าอกทั้งสองของนางเพื่อเร่งจังหวะให้นาง ความเสียวเข้าเล่นงานนางจนแทบจะหลอมละลายคาเตียงไปพร้อมกับเขา ไฟรักถูกจุดขึ้นอย่างถูกที่ถูกเวลามีหรือทั้งคู่จะยอมหยุด“อ๊าา อีกไม่นานแล้ว ท่านพี่ ข้า…อ๊าา”“ก้มลงมาหน่อย ขอกินนมหน่อย อ๊าาา”“อ๊าา เว่ยหราน ทนไม่ไหว….อย่าเด้งมาถี่ หม่อมฉัน…จะ…เสร็จ…อ๊าาา”นึกไม่ถึงว่าช่วงเวลาที่ห่างกันจะสาม
ท่านอ๋องที่ท่าทีฉุนเฉียวเดินมานั่งรอพวกเขาที่โต๊ะในระเบียงก่อนจะออกไปที่สวน เขามองเห็นเถาปิ่นโตที่หลีเม่ยถือมาแล้วก็เริ่มรู้สึกอบอุ่นหัวใจมากขึ้น หรือว่าหยุนเฟยจะทำอาหารมาให้เขากันนะ“นั่นเจ้าเอาอะไรมาด้วยอาเม่ย”“พี่เขย นะ…นี่….พี่ใหญ่เกรงว่าท่านจะไม่ยอมกินข้าวก็เลย…”“เอามาให้ข้าเร็ว ๆ เข้า”เกาหานยกเถาปิ่นโตหลายชั้นส่งให้ท่านอ๋องทันทีพร้อมกับสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาเห็นก่อนหน้า นึกไม่ถึงว่าพลังแห่งรักจะทำให้ท่านอ๋องเปลี่ยนไปได้เช่นนี้ เขานึกว่าท่านอ๋องเป็นบ้าไปแล้วเสียอีก เดี๋ยวฉุนเฉียว อีกเดี๋ยวก็ยิ้มเพียงแค่เห็นเถาปิ่นโตที่ถูกส่งมาจากว่าที่เจ้าสาวของตัวเอง“เจ้าขำอะไรเกาหาน”“อะแฮ่ม กระหม่อม…มิได้ขำพ่ะย่ะค่ะ”“อย่าให้ถึงคราวเจ้าบ้างก็แล้วกัน ข้าจะรอดูเจ้าทรมาน”“ท่านอ๋องอย่าทรงขู่เช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นทหารนะพ่ะย่ะค่ะ ย่อม….อดทนได้ดีพ่ะย่ะค่ะ”“หึ แล้วข้ามิใช่ทหารงั้นหรือ ข้าจะรอดูเจ้าทุรนทุราย นี่อะไรขนมที่นางทำเองงั้นหรือ มะ…มีจดหมายด้วย”“ท่านอ๋องเพคะ ยังมีนี่ด้วยเพคะ พี่ใหญ่กำชับมาว่าให้ส่งให้พระองค์….”เขารีบคว้าซองจดหมายที่อบร่ำกลิ่นมาอย่างดีพร้อมกับมองของที
สำนักศึกษา เทียนเป่าฟางหมิง เหล่าชาวบ้านกำลังเตรียมอาหารและม่านมงคลเพื่อประดับตามที่ต่าง ๆ เนื่องในวันมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกสองงานในเร็ววันนี้งานแรกคงไม่พ้นงานสมรสพระราชทานที่มีฮองเฮาเป็นเจ้าภาพ ทรงโปรดเกล้าฯให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกันที่สำนักศึกษาและส่งตัวที่เรือนหอพระราชทานของท่านอ๋องอีกงานหนึ่งก็คือพิธีปักปิ่นของสตรีครบวัยสิบเจ็ดปี ซึ่งปีนี้ได้รับพระราชทานพิเศษจากฝ่าบาทให้จัดที่นี่เพื่อเป็นเกียรติกับเหล่าสตรีในเมืองหลวง“เร็ว ๆ เข้า ต้องทำสุดฝีมือเลยนะพวกเรา หัวไชเท้าวางตรงนี้ นั่น ๆ พวกเจ้าเอาผักกาดไปล้างเร็ว ๆ เข้าอย่าได้พลาดเชียว”“ท่านป้า เห็ดหอมนี่ได้มามากเลยให้เอาไว้ที่ใด”“เอาไปวางไว้ในครัวเลย หลานฮูหยินรออยู่เร็ว ๆ เข้า”ในโรงครัวที่สร้างขยายขึ้นชั่วคราวเริ่มวุ่นวายเมื่อของและผักสด ๆ เริ่มทยอยนำมาส่งจากแปลงผักสวนใหม่ของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เนินเขาที่นั่นพื้นที่กว้าง อากาศดีและยังมีลำธารที่ไหลมาจากภูเขาไหลผ่าน ผักที่ปลูกจากที่นั่นทั้งโตไวและงดงามขายได้ราคา ชาวบ้านที่นี่เริ่มมีรายได้มากขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มมีโรงงานทอผ้ามาตั้งเพิ่มแล้วเพราะท่านเจ้าเมืองเริ่มอนุญาตให้ขยายที
“หม่อมฉันหิวแล้วเพคะ”“อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่”“หม่อมฉันอยากทำบะหมี่กินเองเพคะ”“เจ้ายังลุกไหวงั้นหรือ ให้คนทำให้ดีกว่าหรือไม่”“แต่หม่อมฉันอยากทำบะหมี่ให้พระองค์เสวย ที่นี่เป็นเรือนหอของเรามิใช่หรือเว่ยหราน หม่อมฉันอยากทำหน้าที่ภรรยาที่ดีบ้าง”“อืม…เช่นนั้นข้าจะไปช่วยเจ้า เราช่วยกันทำดีหรือไม่”“พระองค์ทำเป็นหรือเพคะ”“ก็…ช่วยเจ้านวดแป้งก็พอได้ ข้าแรงเยอะนะ แม้ว่าจะถูกเจ้าดูดพลังไปมากก็ยังพอมีเหลืออยู่”“เช่นนั้นก็ได้เพคะ”ห้องครัวหยุนเฟยพึ่งค้นพบความสุขที่เรียบง่ายที่สุดที่นางเคยเฝ้ารอมาทั้งชีวิต การทำบะหมี่ให้คนที่รักกินและได้ทำครัวร่วมกัน สอนท่านอ๋องนวดแป้งเพื่อทำบะหมี่สำหรับพวกเขาสองคน“แรงกว่านี้หน่อยสิ ไหนท่านบอกว่าแรงยังเหลืออยู่อย่างไรเพคะ”“ก็เจ้าไม่ได้บอกนี่ว่าต้องนวดท่าเดียวนี่นานขนาดนี้ วันนั้นฮูหยินกับพวกท่านป้าทำอย่างไรกันนะ มีความอดทนกันเกินไปแล้ว งานเช่นนี้ไม่เหมาะกับข้าจริง ๆ”“เว่ยหราน ท่านรับปากแล้วว่าจะทำ”“ข้าก็ไม่ไ่ด้บอกว่าจะไม่ทำเสียหน่อย มานี่หน่อยสิมีอะไรติดหน้าเจ้าแน่ะ”หยุนเฟยเดินเข้าไปหาเขาและโดนท่านอ๋องขโมยจูบไปอีกครั้ง หยุนเฟยยอมให้เขาจูบเพราะกลัวว