คนตรงหน้าทำเพียงสะบัดชายผ้าด้านล่างและนั่งลงที่เก้าอี้อย่างวางท่า ท่านราชครูนั้นรักษาท่าทีได้ดีกว่าและเดินมานั่งประจำที่ หยุนเฟยไม่รู้ว่าควรจะนั่งที่ใด นางมองซ้ายมองขวาและมองไปพบสายตาที่จดจ้องนางอย่างสงสัยนั่น นางจึงเลือกที่นั่งตรงข้ามกับท่านอ๋องและพยายามไม่มองสบตาเขา
“ท่านอาจารย์ ขออภัยที่มาเยือนกะทันหัน ข้าเพียงได้ข่าวว่าคุณหนูใหญ่ฟื้นแล้ว ฝ่าบาทจึงมีบัญชาให้ข้ามาเป็นตัวแทนพระองค์เพื่อมาเยี่ยม ไม่ทราบว่าคุณหนูใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง”
เขาหันมามองนาง สายตาที่ขัดต่อคำพูดทุกประโยคนั้นทำเอาผู้ฟังถึงกับอยากจะลุกขึ้นและไปฟาดหน้าเขาสักที
(ทำเป็นหยิ่งผยอง ใครอยากให้มากันล่ะอีตาพระเอกขี้เก๊ก ทำไมพระเอกในนิยายเป็นลักษณะแบบนี้ทุกคนกันนะ แต่ก็นะ เขาเป็นพระเอกนี่เนอะ ผิดบุคลิกไปจากนี้ก็ไม่ใช่พระเอกแล้ว แต่เสียใจเพราะฉันลงเรือพระรองตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาแค่ยังไม่โผล่มาเท่านั้นละย่ะ)
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!!”
“คะ เอ่อ…เจ้าคะ ไม่ใช่ เพคะ พระองค์ทรงตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ”
ท่านอ๋องหลับตาพร้อมกับข่มความโมโหเอาไว้เพื่อพยายามพูดกับนาง เขาไม่นึกอยากจะมาเท่าใดนักหากว่ามิใช่พระบัญชาของฝ่าบาทให้มาเยี่ยม “ว่าที่คู่หมั้น” ที่ได้มาอย่างคิดไม่ถึงเช่นนาง
“ข้า…ถามเจ้าว่า…อาการของเจ้าดีขึ้นแล้ว…งั้นหรือ”
(ดูท่าพยายามเค้นคำพูดนั่นเข้าสิ ไม่อยากถามก็อย่าถามสิอีตาขี้เก๊ก อยากคุยด้วยตายล่ะ)
“หม่อมฉันสบายดีแล้วเพคะ อย่างที่พระองค์เห็น เดินสะดวกแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าเองก็หมดธุระแล้ว จื่อลู่ ของเยี่ยม…มอบให้คุณหนูใหญ่เสียสิ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอ๋องเพคะ”
เขาหันมามองนางด้วยสายตาที่รำคาญอีกครั้งอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย แม้ว่าท่านราชครูยังนั่งอยู่เช่นนี้เขาก็หาได้เกรงใจไม่ เพราะชื่อเสียของฟางหยุนเฟยคนเดิมทำให้เขาไม่นึกอยากแม้แต่จะพูดคุยกับนาง
“มีอะไรอีก”
“หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับพระองค์เป็นการส่วนตัว”
“คุณหนูใหญ่ขอรับ คือว่าท่านอ๋อง..คงไม่สะดวกเท่าใดนัก”
“ไม่นานหรอกเพคะ หม่อมฉันทราบดีว่าไม่ได้อยากจะคุยมาก หม่อมฉันเองก็เช่นกัน รับรองว่าจะไม่รั้งพระองค์ไว้นาน”
สายตาที่มองเขากลับทำให้ท่านอ๋องถึงกลับแปลกใจไปเล็กน้อย แม้ว่าฟางหยุนเฟยที่เขารู้จักมาก่อนหน้านี้จะเป็นสตรีที่น่ารังเกียจแห่งเมืองหลวง แต่สายตาแน่วแน่และมั่นใจเช่นนี้เขาพึ่งเห็นเป็นครั้งแรก
“จื่อลู่ อย่าเสียมารยาท ท่านอาจารย์เช่นนั้นข้าคงต้องขอรบกวนสักครู่”
“เชิญท่านอ๋องตามสบายพ่ะย่ะค่ะ”
ฟางหยุนเฟยเองก็รู้สึกเริ่มจะเกลียดขี้หน้าท่านอ๋องผู้ถือดีนี้อยู่ไม่น้อย นางเองเมื่อเจอสายตานั่นก็ทำให้ตัดใจจากความหล่อที่บดบังตาครั้งแรกได้ในทันที
“เช่นนั้นเชิญเสด็จเถิดเพคะ”
เขาเดินตามนางมานั่งโต๊ะในสวนด้านหลังของสกุลฟาง สาวใช้ยกน้ำชามาให้และเดินออกไป เขาเองก็สั่งให้องครักษ์ออกไปเช่นกัน
“จะให้เขาอยู่หม่อมฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกเพคะ อย่างไรเรื่องนี้ก็คงมิใช่ความลับอีกต่อไป”
“เจ้ามีอะไรจะพูดก็รีบพูดเถอะคุณหนูใหญ่ เจ้าพึ่งจะหาย ไม่ควรออกมาตากลมเช่นนี้นาน ๆ”
“ได้เพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันจะเข้าเรื่องเลย”
“เจ้าไม่นั่งก่อนหรือ”
“ไม่จำเป็นเพคะ หม่อมฉันเพียงจะพูดกับพระองค์ไม่กี่ประโยคเท่านั้น”
“เช่นนั้นเจ้าก็พูดมาเถอะ”
เขาเองก็ลุกขึ้นมายืนข้าง ๆ นางเช่นกัน เขาคิดไปเองหรือไม่ว่าพอนางไม่แต่งแต้มใบหน้าด้วยเครื่องประทินโฉมที่จัดจ้านและแต่งกายสีฉูดฉาดจนน่ารำคาญแก่สายตา นางกลับดูดีมากกว่าเดิมมากนักจนเขาเผลอมองเมื่อนางหันมา สายตานั้นมองเขาจนใจเขาเริ่มเต้นผิดจังหวะอย่างน่าแปลกใจ
“หม่อมฉันอยากจะยกเลิกงานหมั้นที่พูดออกไปในวันก่อนเพคะ”
“เจ้าว่าอะไรนะ!!”
“พระองค์เข้าใจไม่ผิดหรอกเพคะ หม่อมฉันอยากเลิกกับพระองค์ งานหมั้นระหว่างพวกเราจะไม่มีวันเกิดขึ้น หม่อมฉัน…”
นางโค้งคำนับให้เขาอย่างเต็มพิธีการเพื่อขออภัยจนท่านอ๋องมองนางราวกับพึ่งรู้จักนางเป็นครั้งแรก
“ขออภัยที่ทำให้พระองค์ต้องเสื่อมเสียเกียรติ เสียชื่อเสียงที่ต้องเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้ แต่นับจากนี้หม่อมฉันหวังเพียงว่าหลังจากเรื่องยกเลิกงานหมั้นจบลงแล้ว หม่อมฉันจะไม่มีภัยถึงชีวิตอีก”
“นี่เจ้า..คิดว่าเรื่องที่เจ้าถูกทำร้าย เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ”
“จะใช่ หรือไม่ใช่ในตอนนี้ก็มิใช่ธุระของพระองค์เพคะ นี่คือเรื่องที่หม่อมฉันจะบอก ขอประทานอภัยจริง ๆ กับทุกเรื่องที่หม่อมฉันปากพล่อยและบังอาจประกาศออกไปเช่นนั้นโดยที่พระองค์มิได้ทราบมาก่อน จากนี้หม่อมฉันขอให้พระองค์พบกับผู้ที่พระองค์รักอย่างจริงใจเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องจะพูดเพียงเท่านี้ ทูล…
“เดี๋ยวก่อน!!”
หยุนเฟยเงยหน้าขึ้นมามองเขาที่มีสีหน้าตกใจกึ่งแปลกใจและไม่เชื่อหูตัวเองที่ยืนฟังนางพูดอย่างสุภาพมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้ เขาถึงกับหันมามองใบหน้านางอีกครั้ง
สายตาของนางที่จ้องเขากลับมาทำเอาใจเขาสั่นและเต้นแรงอีกครั้งอย่างน่าแปลกใจ จู่ ๆ วันก่อนในงานเลี้ยงชมโบตั๋นในวัง นางก็ประกาศกับเหล่าบรรดาสตรีในงานว่าจะแต่งงานกับเขาและจะหมั้นกันเร็ว ๆ นี้ แต่เมื่อผ่านมาไม่ถึงสิบวันนางกลับมาบอกว่าจะไม่มีการหมั้นนี้เกิดขึ้นงั้นหรือ
“เจ้า…คิดดีแล้วงั้นหรือ”
“เพคะ ท่านอ๋องก็มิได้ชอบพอหม่อมฉัน ออกจะรังเกียจด้วยซ้ำไป ไม่มีเหตุผลที่จะต้องฝืนพระทัยเพคะ”
เขาหันไปมองสายตาของนางที่นึกถึงตัวเองเช่นนั้น ใจเขาหวิวไปเล็กน้อย นี่คือความเห็นใจอย่างนั้นหรือ แต่ว่านางก่อนหน้านั้นกับนางตรงหน้าเขาในตอนนี้…..ท่าทางของคนตรงหน้ากลับทำให้เขาสับสน
“ดังนั้นในเมื่อพระองค์มิได้ชอบพอหม่อมฉัน และตัวหม่อมฉันเองก็ทำไปเพราะความปากไว นอกจากคำขอโทษแล้ว หม่อมฉันสัญญาว่าต่อไปหากพบเจอพระองค์อีกก็จะไม่เข้าไปยุ่งและก่อกวนให้พระองค์พบเจอเรื่องเสื่อมเสียเพราะหม่อมฉันอีก หากเลี่ยงมิได้ก็จะแค่ทักทายพระองค์และพยายามมิให้พระองค์อึดอัดพระทัยอีก เช่นนี้หวังว่าพระองค์จะพอพระทัยนะเพคะ”
“เจ้า…ที่เจ้าพูดมานั่น เจ้าพูดจริง ๆ งั้นหรือ”
“จริงแท้แน่นอนเพคะ เฮ้อ….ได้พูดออกไปแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันก็คงต้องขอตัวก่อนเพคะ ดังที่พระองค์ตรัสเมื่อครู่ หม่อมฉันพึ่งจะหายป่วยไม่ควรอยู่ข้างนอกตากลมเช่นนี้นาน ๆ ทูลลาตรงนี้เลยนะเพคะ”
นางยิ้มและถวายความเคารพเขาซึ่งก่อนหน้านี้นางไม่เคยทำ นางไม่เคยเรียกเขาว่าท่านอ๋องอย่างสุภาพเช่นนี้ด้วยซ้ำไป เพราะนางถือว่าตนเองเป็นบุตรของอาจารย์เขา นางจึงเอาแต่เรียกเขาว่า “พี่เว่ยหราน”
เขาเองก็ไม่ได้ชอบให้นางเรียกเช่นนั้น แต่วันนี้ที่นางเรียกเขาว่า “ท่านอ๋อง” กลับทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ ยิ่งนางเดินจากไปและกลับไปที่เรือนของตัวเองโดยทิ้งเขาไว้คนเดียว เขายิ่งทำตัวไม่ถูก
“เลิกงั้นหรือ ข้า…ควรดีใจถึงจะถูกสิ แต่ทำไม….”
ทางด้านฉินเกาหานเมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็พาหลีเม่ยเดินมายังด้านหลังและได้ยินข่าวดีของพระชายากับท่านอ๋องว่านางตั้งครรภ์“ได้ยินหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะไปหาพี่ใหญ่”“ท่านอ๋องคงพานางกลับไปที่จวนแล้ว ยังมีเวลาอีกมากเราค่อยไปทีหลัง มานี่ก่อน”“ไปไหนเจ้าคะ”“ตามข้ามา จะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”เขาอุ้มนางขึ้นหลังม้าคู่ใจในทันที หลีเม่ยที่ไม่เคยขี่ม้าถึงกับต้องคว้ารอบคอของเจ้าม้าเอาไว้เพราะกลัวตกเมื่อเกาหานขึ้นมานั่งกับนางจึงค่อย ๆ จัดท่าให้นางใหม่“มีข้าอยู่เจ้าไม่ต้องกลัวตกหรอก จับตรงนี้อย่าไปดึงขนมันเดี๋ยวมันจะโมโห”“เดี๋ยวก่อนสิเจ้าคะ ข้าไม่เคยนั่งหลังม้า ว้าย!!”เขาพานางวิ่งออกไปทันทีเพราะผ่านเวลามานานแล้ว เขาควบทะยานออกนอกเมืองไปอย่างรวดเร็วเมื่อสิ้นทางชุมชนแล้ว หลีเม่ยหลับตาไม่กล้ามองเพราะความเร็วของม้านั้นทำให้นางตาพร่ามัวจนม้าค่อย ๆ ไต่เขาขึ้นไปนางจึงกล้าลืมตาอีกครั้ง“เราจะไปที่ใดกันเจ้าคะ”“ยอดเขานี้แหละ ไม่ไกลหรอก”“ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”“พาเจ้าไปชื่นชมความงามของทุ่งดอกไม้ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีอันตราย”“ตัวท่านต่างหากที่อันตรายต่อหัวใจข้า”“ข้าได้ยินเจ้าพูดนะหลีเม่ย”ม้าค่อย ๆ ขึ้นไปยั
ยี่สิบสองวันถัดมาหลังจากพิธีสมรสที่ยิ่งใหญ่ผ่านไปแล้ว ชาวบ้านที่หมู่บ้านฟางหมิงยังคงคึกคักไม่หยุดเพราะยังเหลืองานใหญ่อีกหนึ่งงานนั่นคือ "พิธีปักปิ่น" ของสตรีที่มีอายุครบสิบเจ็ดปีในปีนี้ ซึ่งได้รับพระราชานุญาตจากฝ่าบาทและฮองเฮาจัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสตรีที่อยู่ในหมู่บ้านและในเมืองหลวงที่อยากเข้าร่วมพิธีอันทรงเกียรตินี้“อาเม่ยอยู่เฉย ๆ สิอย่าดิ้น”“ท่านแม่ผิวข้าจะแตกแล้ว โอ๊ย!!”ฟางหลีเม่ยบ่นเมื่อมารดาและอาหงซึ่งตอนนี้ต้องมาดูแลขัดผิวให้นางหลังจากจบภารกิจส่งพระชายาท่านอ๋องเข้าตำหนักไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ในจวนสกุลฟางต่างวุ่นวายเรื่องการจัดเตรียมงานปักปิ่นให้หลีเม่ยเพราะนอกจากเป็นพิธีที่เป็นทางการแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นงานหมั้นระหว่างนางและแม่ทัพ “ฉินเกาหาน” อีกด้วย“หากว่าหยุนเฟยเห็นว่าเจ้าแอบหนีไม่ยอมทำละก็นางจะว่าเอาได้นะ พิธีนี้สำคัญยิ่ง เจ้าดูสิแม่ทัพฉินพาคนมาจัดเตรียมมากมายเพื่อเจ้าแล้วดูเจ้าสิ”“พี่เกาหานก็ทำตามหน้าที่ งานนี้ฮองเฮาทรงเป็นผู้จัดขึ้นมาเพื่อทุกคน หาใช่ข้าคนเดียวไม่ ท่านแม่ท่านก็รู้ว่าข้ามิได้ชอบงานเช่นนี้”“เอาล่ะ ๆ อย่าบ่น”“ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนู...เอ่อ พระชายาเสด็จ
เขาไม่รอช้าเมื่อนางถึงสวรรค์ไปก่อนด้วยนิ้วของเขา นั่นแสดงว่านางเองก็คงกลั้นความคิดถึงเอาไว้เหมือนกับเขา ร่างแกร่งสอดใส่ประสานรักกับนางอย่างรวดเร็ว คนใต้ร่างส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงดังของร่างทั้งสองแต่ท่านอ๋องเองก็ทนได้ไม่นานเช่นกัน เขาตามนางไปติด ๆ ในเวลาไม่นาน“อาาา หยุนเฟย เพียงได้กลิ่นเจ้าข้าก็….เอาไว้แก้ตัวรอบหน้า อึ๊ยยย!!”น้ำรักอุ่น ๆ ถูกฉีดพ่นเข้าไปด้านในสุดแรง หยุนเฟยเปลี่ยนมานั่งคร่อมเขาเอาไว้ เช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเป็นบ้าตายเพราะร่างที่งดงามและขาวดุจฝ้ายบริสุทธิ์ ผิวนุ่มลื่นดุจแพรไหมเมื่อนางเริ่มขยับเอวเพื่อควบคุมเขาทำเอาเขาแทบคลั่งตาย“อาา หยุนเฟย อย่าเร่ง ข้าจะ…แตก…อาาา”“เว่ยหราน ….อื้อ….ท่านพี่ อ๊าาา ดึงแรง ๆ แรงอีก อ๊าา”นางจับมือหนาของเขาให้มาช่วยจับหน้าอกทั้งสองของนางเพื่อเร่งจังหวะให้นาง ความเสียวเข้าเล่นงานนางจนแทบจะหลอมละลายคาเตียงไปพร้อมกับเขา ไฟรักถูกจุดขึ้นอย่างถูกที่ถูกเวลามีหรือทั้งคู่จะยอมหยุด“อ๊าา อีกไม่นานแล้ว ท่านพี่ ข้า…อ๊าา”“ก้มลงมาหน่อย ขอกินนมหน่อย อ๊าาา”“อ๊าา เว่ยหราน ทนไม่ไหว….อย่าเด้งมาถี่ หม่อมฉัน…จะ…เสร็จ…อ๊าาา”นึกไม่ถึงว่าช่วงเวลาที่ห่างกันจะสาม
ท่านอ๋องที่ท่าทีฉุนเฉียวเดินมานั่งรอพวกเขาที่โต๊ะในระเบียงก่อนจะออกไปที่สวน เขามองเห็นเถาปิ่นโตที่หลีเม่ยถือมาแล้วก็เริ่มรู้สึกอบอุ่นหัวใจมากขึ้น หรือว่าหยุนเฟยจะทำอาหารมาให้เขากันนะ“นั่นเจ้าเอาอะไรมาด้วยอาเม่ย”“พี่เขย นะ…นี่….พี่ใหญ่เกรงว่าท่านจะไม่ยอมกินข้าวก็เลย…”“เอามาให้ข้าเร็ว ๆ เข้า”เกาหานยกเถาปิ่นโตหลายชั้นส่งให้ท่านอ๋องทันทีพร้อมกับสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาเห็นก่อนหน้า นึกไม่ถึงว่าพลังแห่งรักจะทำให้ท่านอ๋องเปลี่ยนไปได้เช่นนี้ เขานึกว่าท่านอ๋องเป็นบ้าไปแล้วเสียอีก เดี๋ยวฉุนเฉียว อีกเดี๋ยวก็ยิ้มเพียงแค่เห็นเถาปิ่นโตที่ถูกส่งมาจากว่าที่เจ้าสาวของตัวเอง“เจ้าขำอะไรเกาหาน”“อะแฮ่ม กระหม่อม…มิได้ขำพ่ะย่ะค่ะ”“อย่าให้ถึงคราวเจ้าบ้างก็แล้วกัน ข้าจะรอดูเจ้าทรมาน”“ท่านอ๋องอย่าทรงขู่เช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นทหารนะพ่ะย่ะค่ะ ย่อม….อดทนได้ดีพ่ะย่ะค่ะ”“หึ แล้วข้ามิใช่ทหารงั้นหรือ ข้าจะรอดูเจ้าทุรนทุราย นี่อะไรขนมที่นางทำเองงั้นหรือ มะ…มีจดหมายด้วย”“ท่านอ๋องเพคะ ยังมีนี่ด้วยเพคะ พี่ใหญ่กำชับมาว่าให้ส่งให้พระองค์….”เขารีบคว้าซองจดหมายที่อบร่ำกลิ่นมาอย่างดีพร้อมกับมองของที
สำนักศึกษา เทียนเป่าฟางหมิง เหล่าชาวบ้านกำลังเตรียมอาหารและม่านมงคลเพื่อประดับตามที่ต่าง ๆ เนื่องในวันมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกสองงานในเร็ววันนี้งานแรกคงไม่พ้นงานสมรสพระราชทานที่มีฮองเฮาเป็นเจ้าภาพ ทรงโปรดเกล้าฯให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกันที่สำนักศึกษาและส่งตัวที่เรือนหอพระราชทานของท่านอ๋องอีกงานหนึ่งก็คือพิธีปักปิ่นของสตรีครบวัยสิบเจ็ดปี ซึ่งปีนี้ได้รับพระราชทานพิเศษจากฝ่าบาทให้จัดที่นี่เพื่อเป็นเกียรติกับเหล่าสตรีในเมืองหลวง“เร็ว ๆ เข้า ต้องทำสุดฝีมือเลยนะพวกเรา หัวไชเท้าวางตรงนี้ นั่น ๆ พวกเจ้าเอาผักกาดไปล้างเร็ว ๆ เข้าอย่าได้พลาดเชียว”“ท่านป้า เห็ดหอมนี่ได้มามากเลยให้เอาไว้ที่ใด”“เอาไปวางไว้ในครัวเลย หลานฮูหยินรออยู่เร็ว ๆ เข้า”ในโรงครัวที่สร้างขยายขึ้นชั่วคราวเริ่มวุ่นวายเมื่อของและผักสด ๆ เริ่มทยอยนำมาส่งจากแปลงผักสวนใหม่ของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เนินเขาที่นั่นพื้นที่กว้าง อากาศดีและยังมีลำธารที่ไหลมาจากภูเขาไหลผ่าน ผักที่ปลูกจากที่นั่นทั้งโตไวและงดงามขายได้ราคา ชาวบ้านที่นี่เริ่มมีรายได้มากขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มมีโรงงานทอผ้ามาตั้งเพิ่มแล้วเพราะท่านเจ้าเมืองเริ่มอนุญาตให้ขยายที
“หม่อมฉันหิวแล้วเพคะ”“อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่”“หม่อมฉันอยากทำบะหมี่กินเองเพคะ”“เจ้ายังลุกไหวงั้นหรือ ให้คนทำให้ดีกว่าหรือไม่”“แต่หม่อมฉันอยากทำบะหมี่ให้พระองค์เสวย ที่นี่เป็นเรือนหอของเรามิใช่หรือเว่ยหราน หม่อมฉันอยากทำหน้าที่ภรรยาที่ดีบ้าง”“อืม…เช่นนั้นข้าจะไปช่วยเจ้า เราช่วยกันทำดีหรือไม่”“พระองค์ทำเป็นหรือเพคะ”“ก็…ช่วยเจ้านวดแป้งก็พอได้ ข้าแรงเยอะนะ แม้ว่าจะถูกเจ้าดูดพลังไปมากก็ยังพอมีเหลืออยู่”“เช่นนั้นก็ได้เพคะ”ห้องครัวหยุนเฟยพึ่งค้นพบความสุขที่เรียบง่ายที่สุดที่นางเคยเฝ้ารอมาทั้งชีวิต การทำบะหมี่ให้คนที่รักกินและได้ทำครัวร่วมกัน สอนท่านอ๋องนวดแป้งเพื่อทำบะหมี่สำหรับพวกเขาสองคน“แรงกว่านี้หน่อยสิ ไหนท่านบอกว่าแรงยังเหลืออยู่อย่างไรเพคะ”“ก็เจ้าไม่ได้บอกนี่ว่าต้องนวดท่าเดียวนี่นานขนาดนี้ วันนั้นฮูหยินกับพวกท่านป้าทำอย่างไรกันนะ มีความอดทนกันเกินไปแล้ว งานเช่นนี้ไม่เหมาะกับข้าจริง ๆ”“เว่ยหราน ท่านรับปากแล้วว่าจะทำ”“ข้าก็ไม่ไ่ด้บอกว่าจะไม่ทำเสียหน่อย มานี่หน่อยสิมีอะไรติดหน้าเจ้าแน่ะ”หยุนเฟยเดินเข้าไปหาเขาและโดนท่านอ๋องขโมยจูบไปอีกครั้ง หยุนเฟยยอมให้เขาจูบเพราะกลัวว