รถคันหรูแล่นไปตามถนนแสงไฟจากตึกสูงระฟ้าส่องสว่างไปทั่ว มินตรามองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเหม่อลอยไปกับภาพทิวทัศน์ที่กำลังเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในใจของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและความกังวล หญิงสาวไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะนำพาชีวิตของเธอไปในทิศทางใด แต่ที่แน่ๆ คือมันจะไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป
เมื่อรถแล่นพ้นจากเขตเมือง เข้าสู่ถนนชนบทที่มืดมิด มินตราก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยที่ทำให้ใจสงบลงเล็กน้อย แต่ความกังวลก็ยังคงเกาะกุมอยู่ในใจ เธอจะอธิบายเรื่องนี้กับป้าจันทร์และลุงชิดอย่างไรดี จะโกหกได้แนบเนียนแค่ไหน และท่านทั้งสองจะเชื่อเธอหรือไม่
ไม่นานนัก รถก็มาจอดเทียบหน้าบ้านไม้หลังเล็กที่คุ้นเคย แสงไฟจากหน้าต่างบ้านส่องออกมา ทำให้รู้ว่าป้าจันทร์กับลุงชิดยังรอเธออยู่แม้จะผ่านมาหลายชั่วโมงก็ตาม
เมื่อเห็นท่านทั้งสองเป็นห่วงเธอมากขนาดนี้เธอก็คิดว่าเรื่องที่ตัดสินใจทำนั้นถูกแล้วเธอทำเพื่อผู้มีพระคุณทั้งสองคน แต่ในใจก็ยังรู้สึกผิดเพราะมินตราไม่เคยต้องโกหกลุงชิดกับป้าจันทร์มาก่อนเลยในชีวิต
“ป้าจันทร์ ลุงชิดมินกลับมาแล้วค่ะ” มินตราเรียกชื่อท่านทั้งสองด้วยน้ำเสียงสั่น
ป้าจันทร์และลุงชิดรีบเปิดประตูออกมายืนต้อนรับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
"มิน เป็นยังไงบ้างพวกเขาทำอะไรหนูหรือเปล่า หนูหายไปนานป้าเป็นห่วงแทบแย่” ป้าจันทร์เดินลงมาหาและโอบกอดมินตราแน่น น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความโล่งอก
"ป้าจันทร์คะ มินขอโทษค่ะ" มินตรากอดตอบป้าจันทร์แน่น พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา
“แล้วนี่ใครกันจ๊ะลูก” ลุงชิดเอ่ยถามอย่างสุภาพ พลางมองชายชุดสูทที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า ผมเป็นคนของคุณสันติครับ พอดีมีเรื่องสำคัญที่จะต้องเรียนให้ทราบ” ชายชุดสูทกล่าวแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
ป้าจันทร์และลุงชิดหันไปมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“มีเรื่องอะไรหรือจ๊ะ” ป้าจันทร์ถามด้วยน้ำเสียงกังวล
มินตราตัดสินใจที่จะพูดความจริงเท่าที่เธอจะบอกได้ โดยไม่ให้รายละเอียดทั้งหมดที่อาจจะทำให้ท่านทั้งสองตกใจ
“ป้าจันทร์คะ ลุงชิดคะ มินจะต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯ ค่ะ”มินตราเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้มั่นคงที่สุด
“ไปทำงานอะไรกันจ๊ะลูก อยู่ๆ ทำไมถึงต้องไป” ลุงชิดถามด้วยความแปลกใจ
“คือมินมีน้องสาวฝาแฝดใช่ไหมคะ” มินตราถามกลับ เพื่อปูทางไปสู่เรื่องราวที่จะบอก
“ใช่จ้ะ ทำไมหรือลูก”
“พอดีว่าน้องสาวของมินเธอไม่ค่อยสบายค่ะ แล้วมีเรื่องงานสำคัญที่ต้องทำ มินเลยต้องไปทำหน้าที่แทนเธอไปก่อน” มินตราก้มหน้าหลบสายตาของท่านทั้งสอง เธอรู้สึกผิดที่ต้องโกหกแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
ป้าจันทร์และลุงชิดมองหน้ากันด้วยความตกใจระคนสงสัย แต่เมื่อเห็นแววตาจริงจังของมินตราก็เริ่มเชื่อในสิ่งที่เธอพูด
“จริงหรือลูก แล้วน้องสาวของหนูเป็นอะไรมากหรือเปล่าจ๊ะ”ป้าจันทร์ถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง
“ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะป้าจันทร์ แค่ต้องการพักผ่อนเยอะๆ ค่ะ มินต้องไปช่วยงานแทนเธอไปก่อนค่ะ อาจจะต้องไปอยู่กรุงเทพฯ สักพักใหญ่ๆ”
“แล้วเรื่องโรงเรียนล่ะจ๊ะลูก” ลุงชิดถามด้วยความเป็นห่วงงานของมินตรา
“ทางนี้เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องให้ครับคุณลุงคุณป้า ไม่ต้องเป็นห่วงครับ”
ชายชุดสูทรีบเอ่ยเสริม ทำให้ป้าจันทร์และลุงชิดคลายความกังวลลงได้บ้าง
“แล้วหนูจะไปเมื่อไหร่ล่ะจ๊ะ” ป้าจันทร์ถามน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจที่จะต้องห่างจากลูกสาว
“พรุ่งนี้มินขอไปบอกนักเรียนที่โรงเรียนก่อนค่ะ แล้วก็เก็บของที่จำเป็น วันมะรืนนี้เขาจะมารับมินไปกรุงเทพฯค่ะ” มินตราตอบ
ป้าจันทร์และลุงชิดมองหน้ากันอีกครั้ง แม้จะยังคงมีคำถามมากมายอยู่ในใจแต่เมื่อเห็นแววตาที่มุ่งมั่นของมินตรา และเห็นว่าเธอไม่ได้ถูกบังคับให้ไป ก็ยอมรับในการตัดสินใจของเธอ
เมื่อชายชุดสูทกลับไปแล้ว มินตราก็เล่ารายละเอียดเท่าที่เธอจะสามารถบอกได้ให้กับป้าจันทร์และลุงชิดฟังอีกครั้ง เธอเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องไปทำงานแทนน้องสาวที่ป่วย และเธอหวังว่าท่านทั้งสองจะเชื่อในสิ่งที่เธอพูด
เช้าวันรุ่งขึ้นมินตราตื่นแต่เช้า เธอช่วยป้าจันทร์ทำอาหารเช้าตามปกติแต่วันนี้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับเงียบเหงากว่าทุกวัน
“ป้าจันทร์คะ ลุงชิดคะ มินไปโรงเรียนก่อนนะคะ” มินตราบอกลาท่านทั้งสองด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุด
“ขับรถดีๆ นะลูก แล้วดูแลตัวเองดีๆ นะจ๊ะ” ป้าจันทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใยเหมือนทุกครั้งที่เธอขับรถออกจากบ้าน
เมื่อมาถึงโรงเรียน เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆ ที่กำลังเล่นกันอยู่ในสนามก็ดังขึ้น มินตรารู้สึกใจหายเมื่อคิดว่านี่อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่เธอจะได้ใช้ชีวิตแบบนี้ เธอเดินไปที่ห้องเรียน เด็กๆ วิ่งเข้ามาทักทายเธอด้วยรอยยิ้มสดใส
มินตราส่งยิ้มกว้างทักทายพร้อมลูบศีรษะเด็กๆ อย่างอ่อนโยน เธอใช้เวลาตลอดทั้งวันในการสอนเด็กๆ อย่างเต็มที่ และพยายามจดจำภาพรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพวกเขาไว้ในใจ เพราะเธอไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกเมื่อไหร่
ในช่วงท้ายชั่วโมงเรียน มินตราตัดสินใจที่จะบอกเด็กๆ เรื่องที่เธอจะต้องไปจากพวกเขาชั่วคราว
“เด็กๆ จ๊ะ วันนี้ครูมีเรื่องจะบอก” มินตรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ทำให้เด็กๆ หันมามองเธอด้วยความสงสัย
“ครูจะต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯ สักพักหนึ่งนะจ๊ะ แต่ครูจะกลับมาแน่นอน” มินตราพยายามที่จะอธิบายให้เด็กๆ เข้าใจง่ายที่สุด
เด็กๆ บางคนเริ่มทำหน้าเศร้า บางคนก็เริ่มถามคำถาม
“ครูจะไปนานแค่ไหนครับ” เด็กคนหนึ่งถามขึ้น
“ครูไม่แน่ใจจ้ะ แต่ครูจะคิดถึงพวกเธอทุกคนนะจ๊ะ” มินตรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ เธอรู้สึกผูกพันกับเด็กๆ เหล่านี้มาก
เมื่อเลิกเรียน มินตราใช้เวลาพูดคุยกับเพื่อนครู เพื่อฝากฝังงานและบอกกว่าตนเองจะต้องไปจากโรงเรียนชั่วคราว เพื่อนครูต่างก็แปลกใจและสอบถามรายละเอียด แต่เธอก็บอกเพียงว่าเธอมีเหตุจำเป็นต้องไปทำงานที่กรุงเทพฯและจะกลับมาถ้าทุกอย่างเรียบร้อย
เมื่อกลับถึงบ้าน เธอช่วยป้าจันทร์ทำอาหารและนั่งคุยกับลุงชิดถึงเรื่องราวต่างๆ เหมือนเช่นทุกวัน
แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ปนเปกันระหว่างความเศร้าและความหวัง เธอรู้ดีว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอไปตลอดกาล แต่เธอก็เชื่อว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพื่อคนที่เธอรัก และเพื่อปลดเปลื้องภาระอันหนักอึ้งที่คอยบีบคั้นชีวิตของท่านทั้งสอง
ในคืนนั้นมินตรานอนไม่หลับ เธอพลิกตัวไปมาบนเตียง พยายามหลับตาลง แต่ภาพของคฤหาสน์หลังใหญ่ ใบหน้าของคุณสันติและคำพูดของเขาที่ว่าเธอจะต้องสวมรอยเป็นมันตรายังคงวนเวียนอยู่ในความคิด เธอไม่รู้ว่าชีวิตในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่เธอก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
แม้จะเหนื่อยแค่ไหนแต่หน้าที่ก็ต้องมาก่อน เช้านี้มินตราก็ตื่นนอนแต่เช้ามาช่วยป้ากัลยาทำอาหารระหว่างที่กวินภพวิ่งออกกำลังกายรอบๆ บ้านเมื่อเตรียมอาหารเสร็จเธอก็ขึ้นไปอาบน้ำ ขณะนั่งแต่งหน้ากวินภพก็อาบน้ำแต่วตัวเสร็จพอดี เขาเดินถือเนกไทมาให้มินตราผูกเหมือนกับทุกวัน มินตราชอบหน้าที่นี่มากเพราะหญิงสาวเคยดูละครตอนตัวเองยังเป็นเด็กแล้วเห็นฉากที่นางเอกผูกเนกไทให้พระเอกก่อนไปทำงาน พอเข้ามหาวิทยาลัยเธอเลยให้เพื่อนผู้ชายช่วยสอนและจำวิธีผูกมาจนถึงทุกวันนี้“เป็นอะไรหรือเปล่าครับมิน” กวินภพถามเมื่อเห็นว่าจู่ๆ ภรรยาก็นิ่งไปขณะกำลังผูกเนกไทให้“มินกำลังนึกถึงตัวเองตอนเด็กค่ะ”“มีอะไรเหรอครับ”“ก็มินเคยดูละครแล้วเห็นนางเอกในละครผูกเนกไทให้พระเอกก่อนที่พระเอกจะไปทำงาน มินก็เลยฝันว่าโตขึ้นมินอยากจะเป็นแบบนั้นบ้าง”“ตอนนี้มินก็เป็นแบบนั้นแล้วนะ หน้าที่ผูกเทกไทที่พี่ยกให้มินทำให้คนเดียวเลยนะครับ แล้วมินไปฝึกทำมาจากไหน”“มินให้เพื่อนผู้ชายที่มหาวิทยาลัยสอนจากนั้นก็จำวิธีการผูกมาเรื่อยๆ ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้ทำเหมือนในละครจริงๆ เหมือนเป็นการเติมเต็มความฝันค่ะ ถึงจะเป็นความฝันเล็กๆ แต่มันก็ทำให้มินมีความส
มินตรากรีดเสียงร้องลั่นห้องร่างกายหญิงสาวสั่นสะท้าน เมื่อกวินภพส่งเธอแตะขอบสวรรค์ น้ำหวานจากกุหลาบดอกสวนล้นทะลักจนชุ่มไปทั่วปลายลิ้น ชายหนุ่มกวินภพไม่พลาดที่จะดูดกิน รสชาติหอมหวานจากภรรยาสาว มันทำให้เขาหลงใหลเธอมากขึ้น กินเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ กินแล้วก็อยากจะกินอยู่แบบนั้นเมื่อส่งคนรักไปพบกับความสุขแล้ว เขาก็ดึงให้เธอมาอยู่ริมขอบโต๊ะ กดจูบลงไปอย่างเร่าร้อนเติมเชื้อไฟให้โหมกระหน่ำ ริมฝีปากลากมายังอกอิ่มดูดกินเม็ดเชอร์รี่เข้าปากร้อน มือใหญ่ท่อนเอ็นกดนวดบนเกสรสวาทเป็นจังหวะเบาๆ“อื้อ...พี่ภพขา รักมินนะคะ อย่าทรมานกันเลยนะคะ”หญิงสาวเสียวซ่านและต้องการแท่งร้อนของเขาเข้ามาเติมเต็มจนต้องร้องขออย่างน่าอาย“ใจเย็นนะเมียจ๋า”กวินภพลากไล้ปลายแท่งร้อนขึ้นลงกลางกลีบกุหลาบจนมันชุ่มไปด้วยน้ำหวานที่เธอยังคงผลิตออกมาอย่างไม่ขาดสาย ก่อนจะสอดท่อนเอ็นร้อนเข้าไปในช่องทางรักที่คับแน่นทีละนิดเข้าไปเพียงนิดร่องสวาทก็ตอดรัดแรงกวินภพไม่อาจจะรอช้าได้เขาดันแท่งร้อนเข้าไปทีเดียวจนลึกสุด มินตราสะดุ้งสุดตัว“อ๊ะ!.....”สองมือจิกบนท่อนแขนของสามีไว้แน่น ชายหนุ่มนิ่งค้างเพราะอยากเธอได้ผ่อนคลาย แต่ดูเหมือนเขาจะคิด
“ทนอะไรคะ” มินตราถามสามีแต่แล้วใบหน้าเธอก็แดงซ่านขึ้นมาทันทีเมื่อรู้สึกถึงความแข็งร้อนที่บดเบียดอยู่บริเวณท้องน้อย“คืนนี้พี่อยากเปลี่ยนบรรยากาศได้ไหมที่รัก” เขากระซิบข้างหูด้วยเสียงแหบพร่า เธอรู้ว่าเวลานี้กวินภพอยู่ในอารมณ์ไหน เสียงแบบนี้ลมหายใจไม่สม่ำเสมอกันแบบนี้หญิงสาวนึกออกเพียงอย่างเดียวว่าสิ่งที่เขาต้องการมันคืออะไร“แต่นี่ห้องทำงาน คงไม่เหมาะนะคะถ้าใครรู้พี่ภพจะเสียชื่อเสียงเอานะคะ” มินตรารีบห้ามเมื่อรู้สึกว่าอารมณ์ของกวินภพน่าจะห้ามได้ยาก แต่เธอก็ต้องเตือนสติ“ถ้ากลับตอนนี้พี่อาจจะทนไม่ไหวแล้วมีอะไรกับมินในรถและตรงที่รถของเราจอดอยู่มีกล้องด้วยนะ พี่ให้มินเลือกว่าเราจะมีความสุขกันตรงนี้หรือที่รถดีล่ะ” กวินภพทั้งอ้อนทั้งขู่ด้วยเสียงแหบพร่าความต้องการมันทำให้เขาไม่สนใจว่าตอนนี้จะอยู่ที่ไหน“อย่าใจร้อนสิคะพี่ภพ”“ทำไมล่ะครับ หรือมินไม่ต้องการพี่” กวินภพพูดออกไปแบบนั้นและก็หวังว่าเธอจะไม่ปฏิเสธ“มินกลัวคนอื่นมาเจอ”“จะมีใครกันล่ะครับที่รัก นะมินนะ”“พี่ภพล็อกประตูแล้วใช่ไหมคะ” มินตราเสียงถามเบาหวิวเพราะความเขินอาย“ล็อกแล้วครับมิน ให้พี่นะครับ”เขากระซิบแหบพร่าที่ใบห
หลังจากที่การเซ็นสัญญาร่วมทุนโครงการโรงแรมฉบับใหม่เสร็จสิ้นลงด้วยดีและปัญหาเรื่องคุณสันติกับมันตราคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น กวินภพก็รู้ดีว่าถึงเวลาแล้วที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับมินตราจะต้องบอกกับผู้ใหญ่ของเธอให้รับรู้“มินครับ” กวินภพเรียกมินตราที่กำลังอ่านทำอาหารเย็นอยู่ในครัวเพราะป้ากัลยาไม่สบายและไปนอนโรงพยาบาลโดยมีเหมียวเด็กรับใช้ไปเฝ้า“กลับมาแล้วเหรอคะพี่ภพ” เธอยิ้มให้อย่างอ่อนโยน“พี่มีเรื่องดีๆ จะบอกมินด้วยนะ” กวินภพเดินเข้าไปหาเธอ โอบกอดเอวบางไว้จากด้านหลัง“เรื่องอะไรคะ” มินตราหันมาถามพร้อมกับยิ้มหวาน“พรุ่งนี้พ่อกับแม่จะไปขอมินกับป้าจันทร์และลุงชิด”“จริงเหรอคะ” มินตราทั้งตกใจและดีใจเพราะคิดว่ากวินภพลืมเรื่องนี้ไปแล้วเพราะช่วงนี้ชายหนุ่มยุ่งกับงานมากๆ“แล้วพี่ภพจะอธิบายกับป้ากับลุงยังไงคะ” มินตราถามด้วยความกังวลเธอไม่อยากให้ญาติผู้ใหญ่ต้องเป็นห่วงหรือคิดมาก“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น พี่เตรียมคำพูดไว้แล้ว เราจะบอกว่ามินมาทำงานแทนมันตราและได้เจอกับพี่จากนั้นเราก็ได้ทำความรู้จักและรักกันในที่สุด”มินตราพยักหน้า เธอรู้ว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ทำให้ป้ากับลุงต้องกังวลใจ
หลังจากจัดการเรื่องการซื้อที่ดินจากคุณสันติได้สำเร็จ กวินภพก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ยังมีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่เขาต้องจัดการนั่นคือการเผชิญหน้าระหว่างมินตราและมันตราสองพี่น้องฝาแฝดที่พลัดพรากกันไปนานแสนนานที่ชายหนุ่มต้องนัดให้สองพี่น้องมาเจอกันเพราะอยากให้มินตราอยู่ด้วยความสบายใจว่าจากนี้ชีวิตที่สวมรอยเป็นมันตราของเธอนั้นได้จบลงแล้วจริงๆวันนี้กวินภพนัดหมายให้มันตรามาพบที่คาเฟ่แห่งหนึ่งในย่านใจกลางเมือง เป็นคาเฟ่เล็กๆ ที่มีบรรยากาศอบอุ่นและเงียบสงบ เหมาะสำหรับการพูดคุยเรื่องสำคัญ เขาโทรศัพท์ไปบอกมินตราให้เตรียมตัวมาด้วย โดยไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมากนัก เพียงแค่บอกว่าอยากให้เธอมาเจอใครบางคนเมื่อถึงเวลากวินภพกับมินตราก็เดินทางมาถึงคาเฟ่ มินตราสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง หันหลังให้พวกเขา รูปร่างคล้ายกับเธอจนน่าตกใจ หญิงสาวพอจะรู้แล้วว่าคนที่กวินภพพาเธอออกมาเจอคือใครกวินภพเดินนำเข้าไปและเมื่อผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามา มินตราก็ถึงกับยืนนิ่งราวกับถูกสาป ภาพตรงหน้าคือผู้หญิงที่เหมือนเธอราวกับแกะ ทุกรายละเอียดบนใบหน้าเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว เว้นแต่แววตาที่ดูเฉี่ยวค
หลังจากกลับจากปราณบุรีได้ไม่กี่วัน กวินภพก็เรียกประชุมผู้ร่วมทุนโครงการโรงแรมทุกคน รวมถึงคุณสันติด้วย การประชุมจัดขึ้นที่ห้องประชุมใหญ่ของบริษัท บรรยากาศในห้องค่อนข้างตึงเครียด เพราะครั้งนี้นอกจากจะมีเจ้าสัวประเสริฐคนที่จะร่วมทุนด้วยแล้วยังมีผู้สนใจในโครงการนี้อีกสองคนจากยุโรปคือ มิสเตอร์จอห์นและมิสเตอร์เดวิด นั่งอยู่ร่วมกับคุณธีระกวินภพและผู้ร่วมทุนรายย่อยอื่นๆ ส่วนคุณสันตินั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสีหน้าเคร่งขรึมกวินภพเริ่มต้นการประชุมด้วยการกล่าวถึงภาพรวมของโครงการก่อนจะส่งไม้ต่อให้กับมิสเตอร์จอห์น“เรียนท่านผู้บริหารทุกท่านครับ หลังจากที่ผมและมิสเตอร์เดวิดได้ศึกษาข้อมูลโครงการอย่างละเอียด รวมถึงประวัติของหุ้นส่วนทุกท่าน เรามีความกังวลบางประการเกี่ยวกับข้อเสนอของคุณสันติที่ต้องการใช้ที่ดินมาร่วมทุนโดยไม่จ่ายเงินสดครับ” มิสเตอร์จอห์นกล่าวด้วยสำเนียงอังกฤษที่ชัดเจนคุณสันติขมวดคิ้วเขาเริ่มรู้สึกไม่พอใจตั้งแต่คำพูดแรกของมิสเตอร์จอห์น“เรามองว่าการนำที่ดินมาร่วมทุนโดยไม่มีการตีมูลค่าที่ชัดเจน หรือแปลงเป็นเงินสดเข้ามา จะสร้างปัญหาในระยะยาว หากเกิดความขัดแย้งในอนาคต เราจึงขอเสนอให้คุณสันติขายท