นรินทร์นารถ ปิยบุตร ชาร์ลสตัน นึกถึงเมื่อแปดปีก่อน ในวันแรกที่เธอได้พบกับบิดาบุญธรรม ผู้ที่เธอไม่กล้าอาจเอื้อมแม้แต่จะเรียกเขาว่าพ่อ
เธอเป็นแค่เด็กสาวที่ติดตามนงนุช มารดาม่ายชาวไทยมาทำงานเป็นแม่บ้านทำความสะอาดในบริษัท ชาร์ลสตัน เทรดอิน คอร์ปอเรชั่น ของตระกูลชาร์ลสตัน... แม้จะเป็นแค่ลูกจ้างระดับล่างที่พูดภาษาอังกฤษแทบจะไม่ได้ แต่ความที่มารดาของเธอเป็นคนขยันขันแข็งและยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ เคนเน็ธจึงสะดุดตาและรู้สึกเมตตาเป็นพิเศษ...
หลังจากทำงานอยู่ได้เพียงไม่กี่ปี มารดาของเธอก็โชคร้ายล้มป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมและเสียชีวิตไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเคนเน็ธผู้อยู่ในฐานะเจ้านายใหญ่ได้รับข่าวจึงได้เดินทางไปร่วมพิธีฝังศพด้วย... เขาพอจะรู้มาจากปากพนักงานคนอื่นๆ ว่าแม่บ้านชาวไทยยังมีบุตรสาววัยสิบห้าปีที่กำลังไร้ที่พึ่งพิงอยู่อีกหนึ่งคน และเพียงแค่พบนรินทร์นารถครั้งแรก เคนเน็ธก็เกิดความรักใคร่เอ็นดูเธออย่างบอกไม่ถูก...
เนื่องจากในเวลานั้นเขาก็กำลังผิดหวังกับความประพฤติของบุตรชายอยู่ เขาจึงเสนอความอุปการะด้านการศึกษาให้แก่เธอ หากเคนเน็ธก็ต้องประหลาดใจเมื่อเด็กสาวกลับปฏิเสธเขาอย่างสุภาพ และเลือกที่จะขอโอกาสในการทำงานแลกเปลี่ยนกับค่าจ้างแทน
เคนเน็ธชื่นชมกับทัศนคติของนรินทร์นารถจึงพาเธอกลับมายังคฤหาสน์ชาร์ลสตัน มอบหมายให้เธอช่วยดูแลความเรียบร้อยของคฤหาสน์แลกกับการอุปการะด้านการศึกษารวมทั้งอาหารและที่พักอาศัย ความขยันขันแข็งและใฝ่เรียนรู้ของเธอนี่เองที่สร้างความประทับใจให้แก่ชายสูงวัย จนภายหลังเมื่อเธอสำเร็จการศึกษาชั้นไฮสคูล เขาจึงจดทะเบียนรับนรินทร์นารถเป็นบุตรบุญธรรมโดยไม่สนใจคำทักท้วงของเธอแม้แต่น้อย
มหาเศรษฐีเฒ่าตั้งใจจะส่งเสียหญิงสาวให้ได้ศึกษาต่อถึงระดับปริญญาเสียด้วยซ้ำ โดยหวังในใจว่าเธออาจจะกลายเป็นกำลังช่วยเขาดูแลและบริหารกิจการต่อไปในอนาคตแทนบุตรชายผู้เหลวไหล แต่ขณะนั้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่เคนเน็ธตัดสินใจนำตัวเจโคบีวัยสามขวบกลับมาเลี้ยงดู นรินทร์นารถจึงปฏิเสธเรื่องการเรียนต่อ และหันมารับหน้าที่พี่เลี้ยงของเด็กชายอย่างเต็มใจเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณเขานั่นเอง
***
ฝ่ามือเต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยค่อยๆ ลูบเรือนผมยาวสลวยนุ่มละมุนของหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเมตตา... ใครจะคิดว่าคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทางสายเลือด ยังมีความรักความห่วงใยในตัวเขาและเจโคบีมากกว่าอัลเบิร์ตซึ่งเป็นบุตรชายและบิดาแท้ๆ เสียอีก...
“คนเอเชียเหมือนกันแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้ผิดกันราวฟ้ากับเหว...” เคนเน็ธบ่นพึมพำ “เสียดายจริงๆ ที่ไอ้อัลเบิร์ตมันชิงแต่งงานกับเมียจีนนั่นไปเสียก่อน นี่ถ้าได้แต่งงานกับคนอย่างเธอ ไม่แน่มันอาจจะไม่เสียคนถึงขนาดนี้... แล้วเธอก็จะได้ยอมเรียกฉันว่าพ่อเสียที...” ประโยคสุดท้ายกลั้วหัวเราะ ทำเอาใบหน้าของนรินทร์นารถร้อนวูบ
“ท่านอย่าแหย่ดิฉันเล่นเลยค่ะ... คนอย่างดิฉันจะไปเหมาะสมอะไรกับ... เอ่อ คุณอัลเบิร์ต...”
“มันต่างหากล่ะที่ไม่คู่ควรกับเธอ นีนา...” ขายสูงวัยหลับตา ถอนหายใจเบาๆ ราวกับปลงตก “ขึ้นไปช่วยแอนนาดูเจค็อบเถอะ ฉันไม่อยากให้เขาบังเอิญลงมาเจอพ่อที่ไร้ความรับผิดชอบ ส่วนทางนี้ฉันจะจัดการเอง...”
“ค่ะ... ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” เคนเน็ธพยักหน้า เฝ้ามองหญิงสาวเดินกลับเข้าไปในตัวคฤหาสน์ ลมเย็นที่โชยมาจากทิศหน้าผากระตุ้นให้เขากระชับเสื้อโค้ตเข้าหาตัว ในใจที่ว้าวุ่นพยายามบอกตัวเองให้เด็ดเดี่ยว แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องคอยปฏิเสธคำขอร้องของบุตรชายคนเดียว กระนั้นมือก็ผลักบานประตูที่เปิดค้างอยู่แล้วก้าวตามเข้าไป
***
อัลเบิร์ตทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ด้านหลังโต๊ะทำงานของบิดา มือยกแก้ววิสกี้เทใส่ปากก่อนจะเอนหลังลงบนพนักพิง พร้อมกับตวัดขาทั้งสองข้างขึ้นมาวางไขว้กันบนโต๊ะเบื้องหน้าอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาสีเขียวกวาดมองไปทั่วห้อง หากก็ยังไม่กล้าสบสายตาคนที่กำลังเดินตามเข้ามาแม้แต่แวบเดียว
“มันจะไม่สบายไปหน่อยเหรอ อัลเบิร์ต” น้ำเสียงนายชาร์ลสตันผู้เป็นพ่อแสดงความไม่พอใจกิริยาไร้มารยาทของนายชาร์ลสตันผู้เป็นลูกอย่างชัดเจน
“คุณพ่อก็อย่าเจ้าระเบียบนักเลยครับ ทำอย่างกับผมไม่เคยเข้ามานั่งในห้องนี้...” ถ้าเป็นวันอื่นชายหนุ่มอาจจะแกล้งสำรวมและทำตัวเรียบร้อยมากกว่านี้ แต่วันนี้แผนการที่ภรรยาเพิ่งวางไว้ให้ทำให้เขารู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องเป็นพิเศษ... อย่างไรก็ตาม ในที่สุดอัลเบิร์ตก็ยอมยกขาลงจากโต๊ะ มือวางแก้ววิสกี้ แล้วลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับร่างสูงใหญ่ของบิดาด้วยท่าทีลังเลอยู่บ้าง...
เคนเน็ธไม่ได้สนใจคำพูดของบุตรชาย ไพล่สองแขนไว้ด้านหลังแล้วเอ่ยถาม “วันนี้แกมีธุระอะไรกับฉันอีก ถ้าเป็นเรื่องเดียวกับเมื่อวันก่อน ฉันแนะนำให้แกออกไปสตาร์ตรถแล้วรีบขับกลับลอนดอนไปซะเถอะ เพราะอยู่ไปก็เสียเวลาเปล่าๆ...” ถ้อยคำเสียดสีสร้างความขุ่นเคืองให้อีกฝ่ายไม่น้อย
“ผมไม่เข้าใจจริงๆ... ทีกับลูกชายแท้ๆ เจอกันทีไรคุณพ่อก็เอาแต่พูดจาขับไล่ไสส่ง... กับเมียของผมคุณพ่อก็เอาแต่ตั้งแง่รังเกียจตั้งแต่ก่อนแต่งงานกันแล้ว... แต่ทีกับนังเด็กกำพร้านั่น คุณพ่อกลับประคบประหงมมัน พามันเข้ามาอยู่ในบ้านด้วย อย่าบอกว่าคุณพ่อคิดจะรับมันเป็นเมีย...”
“แกไม่มีสิทธิ์มาวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของฉัน ที่นี่เป็นบ้านฉัน จะให้ใครอยู่หรือไปมันก็เป็นสิทธิ์ของฉัน” มหาเศรษฐีเฒ่าตวาดกลับโดยไม่รอให้บุตรชายพูดจบ
“เอาเถอะครับ วันนี้ผมไม่ได้มาเพื่อจะชวนคุณพ่อทะเลาะ ผมแค่คิดถึงลูกชายของผม...”
เคนเน็ธได้ยินน้ำคำของอัลเบิร์ตผู้เป็นลูกถึงกับต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงน “นี่แกหัดคิดถึงลูกเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กันอัลเบิร์ต”
“เจค็อบเป็นลูกชายของผม ผมก็ต้องคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลานั่นแหละครับ ที่ผมไม่เคยถามถึงลูก ไม่เคยขอพบลูก ก็แค่ไม่อยากให้เจค็อบต้องเห็นพ่อของเขาในสภาพคนสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างนี้...”
แม้ถ้อยคำเหล่านั้นจะฟังดูผิดวิสัยของคนพูด แต่ด้วยหัวอกคนเป็นพ่อ มหาเศรษฐีเฒ่าก็อดที่จะเกิดความรู้สึกเวทนาบุตรชายของตัวเองไม่ได้
“ฉันไม่เคยให้เจค็อบรับรู้ถึงความเหลวไหลของแกหรอก ถ้าแกอยากจะเจอเขา ฉันก็จะเรียกให้เขาลงมาหาแก... ขึ้นชื่อว่าพ่อลูก ยังไงก็ควรได้ทำความสนิทสนมกันบ้าง ฉันไม่อยากให้เจค็อบโตขึ้นมาโดยไม่เคยรู้จักพ่อของเขาหรอกนะ...” น้ำเสียงของชายผู้สูงวัยอ่อนลง ทำท่าจะหันไปตะโกนเรียกสาวใช้สักคนเพื่อให้ขึ้นไปตามเจโคบี แต่ชายหนุ่มชิงร้องห้ามเสียก่อน
“เอ่อ... อย่าดีกว่าครับคุณพ่อ... ผมไม่ยังไม่พร้อม...” เขาอึกอัก
“ก็ไหนว่าแกมาที่นี่เพราะคิดถึงลูก” เคนเน็ธมองบุตรชายด้วยความเคลือบแคลง
“คือ... ผมแค่แวะมาถามข่าวคราวเท่านั้น ได้ยินว่าเจค็อบยังสบายดีก็พอแล้ว... อีกอย่าง ผมยังมีธุระอยากจะคุยกับคุณพ่ออีกซักเรื่องสองเรื่องน่ะครับ”
“...” มหาเศรษฐีเฒ่านิ่งไปชั่วอึดใจ เขาพอจะคาดเดาได้ทันทีว่าธุระของอัลเบิร์ตคือเรื่องอะไร “แกมีอะไรจะคุยกับฉัน” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง
“ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับคุณพ่อ... หลังจากกลับไปทบทวนถึงเรื่องต่างๆ ที่คุณพ่อเคยตำหนิ ตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วว่าตัวเองสร้างความผิดหวังให้คุณพ่อมากแค่ไหน... ยิ่งคิดถึงลูกที่กำลังโตขึ้นทุกวัน ผมก็อยากจะปรับปรุงตัวเองเสียใหม่ เพื่อจะได้เป็นพ่อที่ดีของเจค็อบ...” ชายหนุ่มหยุดคำพูดไว้ครู่หนึ่งเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แต่เคนเน็ธไม่ได้พูดอะไรกลับไป นอกจากจ้องมองบุตรชายด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ หากในใจนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่ปะทุขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน
เคนเน็ธ ชาร์ลสตัน เป็นนักธุรกิจที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองในชั่วอายุเดียว แล้วคนอย่างเขาน่ะหรือจะอ่านเกมของเด็กเมื่อวานซืนไม่ออก
นี่มันเวรกรรมอะไรกันหนอ ทำไมเขาถึงได้มีลูกที่อับจนความคิดขนาดนี้...
ถึงขนาดกล้าเอาลูกมาเป็นข้ออ้างต่อหน้าเขา
ทันทีที่ประตูห้องชั้นบนสุดของตึกหน้าเปิดออก อัลเฟรโดก็ดึงแขนนรินทร์นารถซึ่งมีท่าทีไม่เต็มใจ ให้เดินตามเข้าไปจนถึงชุดโซฟาสำหรับนั่งพักผ่อนด้านใน ก่อนที่เขาจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งเป็นการบังคับกลายๆ ให้เธอนั่งตามตั้งแต่เขาพาตัวเธอและเจโคบีกลับมาถึงคฤหาสน์ทะเลทราย ชายหนุ่มก็เอาแต่นิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว ทำให้ในใจของนรินทร์นารถเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวว่าหลังนี้เขาจะควบคุมตัวเธอเอาไว้แต่ในตึกหลังโดยไม่อนุญาตให้เจอกับเจโคบีเพื่อป้องกันไม่ให้เธอมีโอกาสพาเด็กชายหนีไปอีก“คุณอัลเฟรโดคะ...” หลังจากทิ้งตัวลงบนโซฟายาวที่อยู่เยื้องกัน ถึงจะยังหวั่นๆ กับความผิดของตัวเอง แต่หญิงสาวก็ตัดสินใจเอ่ยปาก ดีกว่าต้องทนอยู่ในบรรยากาศที่น่าอึดอัดอย่างนี้ต่อไป “ฉันรู้ว่าทำให้คุณโกรธ... แต่ว่าฉัน...” เธอเคยบอกเขาหลายครั้งแล้วว่าเธอจำเป็นต้องพาเจโคบีกลับไปคืนให้เคนเน็ธ“ฉันไม่ได้โกรธเธอ...” ชายหนุ่มพูดขัดคอด้วยน้ำเสียงที่คาดเดาไม่ถูก“แล้วคุณ... พาฉันมาที่นี่ทำไมคะ...”นรินทร์นารถไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร แต่ไม่คิดว่าอัลเฟรโดจะพาเธอขึ้นมาถึงที่นี่เพื่อลงโทษด้วยการร่วมรักอย่างโหดเหี้ยมอำมห
“นะ...นี่ตกลงว่าจะเอายังไงกันแน่!” เขาตะคอกอย่างลืมตัว“ฉันทิ้งลูกชายเอาไว้ที่ตลาด... ให้ฉันไปรับตัวเขามาที่นี่ก่อน ไม่อย่างนั้นฉันก็ยังให้ของคุณไม่ได้หรอกค่ะ...”ดวงตาสีฟ้าจ้องเขม็งมายังใบหน้าของหญิงสาวชาวเอเชีย ตอนแรกเขาคิดว่าถ้าเธอเกิดเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันเพราะเสียดายตุ้มหูเพชรคู่นั้นขึ้นมา เขาก็ยังพอตัดใจได้ แต่เมื่อได้เห็นสร้อยเพชรที่น่าจะหนักมากกว่าสามสิบกะรัต สตินึกคิดและความยับยั้งชั่งใจก็ขาดผึง“อย่าต่อรองกับฉันดีกว่าน่า! หรืออยากจะให้ฉันเรียกตำรวจมาก่อน หา!”กัปตันเรือสินค้าวัยกลางคนปักใจเชื่อว่านรินทร์นารถจะต้องเป็นทาสหรือไม่ก็นางบำเรอของเศรษฐีคนใดคนหนึ่งที่พยายามหลบหนีไปจากที่นี่พร้อมๆ กับของมีค่าที่เธอขโมยมา แล้วเรือของเขาก็เป็นทางเดียวที่จะช่วยเธอได้... เพราะฉะนั้น อย่างน้อยๆ เขาก็น่าจะรีดเอาเครื่องเพชรของเธอมาได้มากกว่าแค่ตุ้มหูคู่นั้น จึงเจตนาข่มขู่ให้เธอหมดทางเลือก...“ฉัน... ฉันไม่ไปกับคุณแล้ว... ฉันจะกลับไปหาเจค็อบ...” หญิงสาวละล่ำละลัก สภาพการณ์ที่เห็นทำให้เธอเกิดไม่ไว้เขาขึ้นมาหลังจากผ่านเหตุการณ์มากมาย ถูกสองกุ๊ยชาวจีนลักพาตัวมาขังบนเรือประมง ถูกคนหัวล้านท่าทาง
ขณะที่ยืนลังเลตัดสินใจอะไรไม่ถูกอยู่นั้น จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรที่ท่าเรือด้านใน จึงรีบหันไปมองด้วยความตกใจ หญิงสาวพบว่าเจ้าของเสียงเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ เขากำลังยืนชี้นิ้วตวาดคนงานที่ขนลังสินค้าอะไรสักอย่างขึ้นไปบนเรือขนาดใหญ่ลำหนึ่งชายคนนั้นมีศีรษะล้านเลี่ยน หนวดเครารุงรัง ดูจากการแต่งตัวลำลองแบบชาวตะวันตกและท่าทางวางอำนาจกับเหล่าคนงานพื้นเมืองแล้ว ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเขาจะต้องเป็นกัปตันของเรือขนส่งสินค้าลำนั้นอย่างแน่นอน...ถึงแม้ว่าใบหน้าที่เธอมองเห็นจะบอกถึงความดุร้ายเจ้าอารมณ์ แต่สิ่งที่ทำให้ดวงตานรินทร์นารถต้องเบิกกว้าง หัวใจเต้นระทึก ก็คือรูปร่างหน้าตาของเขา... มันเป็นลักษณะของชาวตะวันตกอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะดวงตาสีฟ้าอมเทา ผมสีทอง หรือผิวที่กลายเป็นสีแดงจัดเพราะถูกแดดเผา...“เอ่อ... ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณพอจะพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า...” ด้วยเวลาแห่งความปลอดภัยที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นอกจากเสี่ยงดวงเดินเข้าไปทักเขาตรงๆ“มีอะไร” เขาถามเธอกลับแทนคำตอบ “เห็นหรือเปล่าว่าฉันกำลังยุ่งอยู่ เธอมีธุระอะไรกับฉันก็รีบว่ามาเร็วๆ” น้ำเสียง
“เฮ้ย! อย่ามานอนแถวนี้ ลุกออกไปเร็วๆ เข้า ลุกๆ!” เสียงโหวกเหวกโวยวายของชายแปลกหน้าชาวโมร็อกโกปลุกร่างสองร่างที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้ากระสอบผืนใหญ่ให้ตื่นขึ้นด้วยความตกใจ ขณะที่เขาไม่สนใจปฏิกิริยาของคนทั้งคู่ เดินเข้ามายกลังไม้เปล่าๆ สองสามใบที่ตั้งอยู่ข้างๆ เธอกลับออกไปถึงแม้จะไม่เข้าใจภาษาอาหรับที่เขาใช้ แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของเขาเมื่อสักครู่ เธอก็รู้ว่าเขาไม่ต้องการให้เธอและเจโคบีอยู่ที่นั่นต่อนรินทร์นารถรีบประคองเด็กชายยืนขึ้น เขายังมีสีหน้างัวเงีย แต่ก็ยอมลุกเดินตามเธอออกจากซอกอาคารแคบๆ แห่งนั้นโดยดีหญิงสาวเหลือบมองชายวัยกลางคนคนเดิมวางลังไม้ลงบนพื้นแล้วปูด้วยเสื่อเก่าๆ ผืนหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปยกเอาลังกระดาษใบใหญ่จากด้านในตัวอาคารมาวางตั้ง ก่อนที่จะหยิบอินทผลัมสุกหลายทะลายในลังออกมาวางเรียงรายบนนั้น“ยังจะมองอะไรอยู่อีก! ไปๆๆ! อย่ามายืนขวางหน้าร้าน” เขาเงยหน้าขึ้นพูดด้วยถ้อยคำที่เธอยังคงฟังไม่รู้เรื่องพลางโบกไม้โบกมือไล่ “แต่งเนื้อแต่งตัวก็ดี หอบหิ้วลูกออกมาเร่ร่อนเป็นขอทานซะได้... ไม่ไหวจริงๆ ผู้หญิงสมัยนี้...” พ่อค้าผลไม้คนเดิมบ่นไล่หลังชายคนนั้นไม่ได้แปลกใจที่เห็นเธอและเจโคบี
เช้าตรู่วันนั้น ภายในตึกเล็กของคฤหาสน์ทะเลทรายก็เกิดความวุ่นวายโกลาหล เมื่อบุตรชายของอัลเฟรโดพบว่าน้องชายคนใหม่ของเขาเกิดหายตัวไปจากห้องอย่างลึกลับ ตอนแรกอิสซามเข้าใจว่าเด็กชายคงจะตื่นและลงไปเดินเล่นที่สวนหน้าตึก แต่เมื่อถามจากปากยามซึ่งมีหน้าที่ดูแลประตู เขาจึงรู้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืน“ใครบอกแกว่าเมื่อคืนนี้อัลวาโรไม่สบาย อามีน” อิสซามตะคอกใส่ยามวัยกลางคนที่กำลังยืนก้มหน้างุด ข้างๆ ยังมียามหนุ่มอีกคนซึ่งมีสีหน้าหวาดหวั่นไม่ต่างกันถึงแม้จะมีวัยแค่สิบขวบ แต่เด็กชายผิวคล้ำหน้าตาคมเข้มก็เป็นทายาทเพียงคนเดียวของพ่อค้าอาวุธสงครามผู้ทรงอิทธิพล โดยเฉพาะสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดและบุคลิกเปี่ยมด้วยอำนาจที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้เป็นพ่อ ทำให้ไม่มีใครในคฤหาสน์ของอัลเฟรโดมองเขาเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง“สะ...สาวใช้ที่ราเนียส่งมาดูแลครับ คุณอิสซาม...” อามีนตอบตะกุกตะกัก“ไอ้โง่! บอกแค่นั้นแกก็ยอมให้เข้ามาในตึกแล้วหรือไง ถ้าทำงานได้แค่นี้ฉันบอกให้พ่อเลี้ยงหมายังจะดีซะกว่า”“ไอ้หนู เอ่อ คุณอัลวาโร... หายไปอย่างนั้นเหรอครับ” อีกฝ่ายถามกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ“ก็ใช่น่ะสิ รอให้พ่อ
“หนาวไหมจ๊ะ” นรินทร์นารถกระซิบถามเจ้าของร่างน้อยๆ ที่เดินอยู่เคียงข้างเด็กชายส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่การที่เขาคอยเป่าลมหายใจใส่อุ้งมือทั้งสองข้างตลอดเวลามันก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเจโคบีไม่ต้องการให้เธอเป็นห่วงจริงอยู่ที่ทาร์ฟายาเป็นเมืองท่าติดทะเล ได้รับอิทธิพลจากลมทะเลในตอนกลางวัน ทำให้มีอุณหภูมิเย็นสบายตลอดทั้งปี แต่สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่ยังคงรายล้อมไปด้วยทะเลทราย เมื่อถึงเวลากลางคืนอากาศจึงเย็นจัดเนื่องจากพื้นที่ที่เป็นทรายจะไม่สามารถกักเก็บความร้อนเอาไว้ได้เหมือนพื้นดินหญิงสาวเปลื้องผ้าคลุมบนศีรษะ ย่อตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าเขาก่อนจะห่มผ้าผืนนั้นให้“ผมไม่หนาวหรอกฮะ... นีนาเอาเก็บไว้ห่มเองเถอะ...” ปากบอกอย่างนั้นแต่ฟันกระทบกันเสียงดังกึกกักพี่เลี้ยงสาวไม่ฟังคำพูดของเขา กระชับผืนผ้าให้แน่นแล้วยัดชายทั้งสองข้างใส่ไว้ในมือน้อยๆ“ห่มเอาไว้ จะได้ไม่เป็นหวัด...” ยกมือขึ้นหยิกแก้มของเขาเบาๆ “เจค็อบเหนื่อยหรือยัง... อดทนอีกหน่อยนะจ๊ะ อีกไม่นานก็จะถึงในเมืองแล้ว...”“ทำไมเราไม่ไปตามถนนล่ะฮะ... ตอนที่มากับพวกโจรสลัดเราไม่เห็นต้องเดินบนทรายอย่างนี้เลย...”เจโคบีหันไปมองรอบๆ ตัวที่มีแต่ผืนทรายก