“แล้วยังไงต่อ...” ผู้เป็นพ่อกัดฟันถาม
“เรื่องลงทุนทำธุรกิจที่ผมเคยคุยกับคุณพ่อเมื่อสามวันก่อนนั่นแหละครับ... เพื่อนๆ ที่แมนเชสเตอร์รับประกันว่าธุรกิจตัวนี้มีแต่กำไรเท่านั้น... ขอแค่คุณพ่อให้ผมยืมเงินทุนซักห้าแสนปอนด์... ไม่สิ แค่สามแสนปอนด์ก็พอ... ผมรับรองว่าจะคืนเงินก้อนนี้ให้คุณพ่อภายในสองสามปีอย่างแน่นอน...” อัลเบิร์ตพยายามโน้มน้าว ในขณะที่ดวงตามีรอยขุ่นขาวของเคนเน็ธยังจ้องเขม็ง รอคอยว่าบุตรชายของเขาจะพูดอย่างไรต่อ “คุณพ่ออยากให้ผมรู้จักทำงานและรับผิดชอบตัวเองไม่ใช่เหรอครับ ผมเองก็อยากให้เจค็อบภาคภูมิใจในตัวพ่อของเขาเหมือนกัน แต่การที่จะทำอย่างนั้นได้ ผมก็ต้องการความช่วยเหลือจากคุณพ่อนะครับ...” ถึงจะอธิบายอย่างลื่นไหลคล้ายกับผ่านการท่องบทเหล่านี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่กล้าสบตากับผู้เป็นพ่อ ด้วยกลัวจะถูกอ่านไปถึงความคิดในใจ
“เฮอะ!!” มหาเศรษฐีเฒ่าแค่นหัวเราะ “ลงทุนทำธุรกิจอย่างนั้นน่ะเหรอ ธุรกิจอะไรล่ะ ไพ่ ยา หรือว่าเหล้า!... นี่แกคิดว่าฉันจะเชื่อนิทานหลอกเด็กของแกจริงๆ เหรอ!... แกเห็นฉันโง่มากขนาดนั้นเลยเหรอ อัลเบิร์ต!”
“คะ...คุณพ่อ... แต่นี่มันเป็นโอกาสที่ผมจะได้พิสูจน์ตัวเองให้คุณพ่อเห็นนะครับ ครั้งนี้ผมสัญญาว่าจะ...” อัลเบิร์ตละล่ำละลัก แต่ยังไม่ทันพูดจบเคนเน็ธก็ขัดขึ้น
“สัญญาอย่างนั้นเหรอ! แกสัญญากับฉันมาตั้งแต่ตอนที่บัญชีธนาคารของแกถูกปิด แกสัญญากับฉันตั้งแต่ตอนที่บ้านของแกถูกจำนอง แกสัญญาว่าจะเลิกสำมะเลเทเมา เลิกเข้าบ่อนไม่ใช่เหรอ แล้วตอนนี้เป็นยังไงล่ะ!”
“แต่ผม... ผมเลิกเล่นการพนันแล้วจริงๆ นะครับ”
“ไอ้โกหก!!” เคนเน็ธตวาดลั่น “แกคิดว่าฉันไม่รู้จริงๆ เหรอว่าแกกับเมียนักร้องเอาเงินที่ฉันโอนให้ทุกอาทิตย์ไปถลุงยังไงบ้าง”
“มะ...ไม่จริงนะครับคุณพ่อ...” ชายหนุ่มพูดไม่ออก ไม่คิดว่าผู้เป็นพ่อจะถึงกับลงทุนจ้างนักสืบเอกชนให้คอยสอดส่องพฤติกรรมที่ผ่านมาของเขากับภรรยา
“หยุดพูดเถอะ!” เคนเน็ธตัดบท “ฉันไม่อยากฟังอะไรจากปากแกอีกแล้ว! ถ้าแกอยากจะได้เงินจากฉัน แกก็ต้องพิสูจน์ให้ฉันเห็นเสียก่อนว่าแกมีสติปัญญามากพอจะบริหารและรับผิดชอบชีวิตของแกเองได้”
“ผมก็กำลังพยายามอยู่นี่ยังไงล่ะครับ!” อัลเบิร์ตกระชากเสียงด้วยความหัวเสีย
“ถ้าแกกับเมียของแกรู้จักใช้จ่ายเงินที่ฉันให้ทุกๆ อาทิตย์เหมือนกับคนอื่น แกคงไม่ต้องกลับมาปั้นเรื่องหลอกฉันอย่างนี้ทุกเดือนหรอก อัลเบิร์ต... แค่นี้ก็พิสูจน์ให้ฉันเห็นชัดเจนแล้วว่าแกไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย... และตราบใดที่แกกับเมียยังจมไม่ลงอยู่อย่างนี้ ฉันก็ไม่มีอะไรจะให้แกเอาไปผลาญอีกแล้ว... แกกลับไปเสียเถอะ แล้วไม่ต้องคิดจะคุยเรื่องนี้กับฉันอีก”
แม้มันไม่ใช่การปฏิเสธครั้งแรก แต่อัลเบิร์ตก็ไม่คิดว่าจะได้ฟังถ้อยคำไร้เยื่อใยถึงขนาดนี้จากปากของบิดา ความกลัดกลุ้มและหวั่นวิตกก่อขึ้นมาในหัวใจแทบจะทันที เขาจำเป็นอย่างมากที่จะต้องหาเงินก้อนใหญ่เพื่อนำไปจ่ายหนี้พนัน มันเป็นหนี้ที่ชายหนุ่มและภรรยาพยายามผัดผ่อนมานานจนไม่สามารถจะยื้อเวลาต่อไปได้อีกแล้ว และที่ยิ่งไปกว่านั้น เขากลัวว่าโรสจะทิ้งเขาไปตามคำขู่
สิบปีที่ผ่านมา อัลเบิร์ตใช้ชีวิตตัดขาดจากผู้เป็นพ่อ คนอ่อนแออย่างเขาจึงมีภรรยาสาวชาวจีนเป็นครอบครัวและเป็นที่พึ่งพิงทางใจเพียงคนเดียว จึงไม่ต้องสงสัยว่าในเวลานี้ ระหว่างเคนเน็ธกับโรส ใครจะมีความสำคัญสำหรับเขามากกว่ากัน
ยิ่งได้คิดถึงสิ่งที่มหาเศรษฐีเฒ่าทำกับเขาซึ่งเป็นบุตรชายแท้ๆ ชายหนุ่มก็ต้องขบกรามแน่น ความเคียดแค้นปะทุขึ้นในดวงตา ความจำเป็นทุกอย่างบีบคั้นให้อัลเบิร์ตบันดาลโทสะ ระเบิดน้ำเสียงใส่หน้าชายสูงวัยอย่างไม่สามารถควบคุมได้อีก
“ไอ้คนเห็นแก่ตัว! ฉันเป็นลูกของแกแท้ๆ แต่แกกลับนอนนับเงินสบายใจเฉิบอยู่คนเดียว ปล่อยให้ฉันกับเมียต้องอยู่อย่างอดๆ อยากๆ! แกมันเห็นแก่ตัวสิ้นดี ไอ้แก่ขี้เหนียว!”
“กะ...แก ไอ้อัลเบิร์ต!...” เคนเน็ธตกตะลึง แทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าจะได้ยินคนตรงหน้าตะคอกใส่ด้วยถ้อยคำหยาบคาย เขาโกรธจนสั่นไปทั้งตัว ยกมือชี้หน้าชายหนุ่ม “แกต่างหากที่เห็นแก่ตัว! เคยถามตัวเองบ้างไหมว่าฉันต้องหมดเงินไปกับไอ้คนขี้เกียจสันหลังยาวไม่รู้จักทำมาหากินอย่างแกกี่ล้านแล้ว! คนอย่างแกวันๆ ก็ดีแต่เข้าบ่อน กินเหล้าเมายาไม่เคยเปลี่ยน! จำเอาไว้ให้ดี ไอ้อัลเบิร์ต! ต่อไปนี้แกอย่าหวังเลยว่าจะได้เงินจากฉันแม้แต่เพนนีเดียว!”
อัลเบิร์ตที่ขาดสติถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ความลืมตัวทำให้ทุกอย่างดูจะเลวร้ายลงไปอีก ทางที่เหลือจึงมีแต่ดำเนินแผนการของโรสต่อไปอย่างทื่อๆ ไม่ต้องมีการหว่านล้อมหรือชักแม่น้ำใดๆ อีก
“ก็ได้! ในเมื่อแกอยากจะให้ฉันมีความรับผิดชอบ ฉันก็จะเริ่มด้วยการรับผิดชอบลูกชายของฉันเองโดยไม่ต้องพึ่งพาแก ฉันจะเอาเจค็อบกลับไปด้วย!!”
“ถุย! นี่สินะวิธีที่แกจะเอามาต่อรองขอเงินจากฉัน ไอ้บัดซบ!” ชายสูงวัยถ่มน้ำลายลงบนพื้นพรมด้วยความรังเกียจ เขาไม่เคยรู้สึกขยะแขยงและสมเพชใครมากเท่านี้มาก่อน ยิ่งไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเป็นกับบุตรชายแท้ๆ ของตัวเอง “ฉันไม่มีทางยอมปล่อยให้หลานของฉันกลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวทรามร่วมกับพวกแกผัวเมียหรอกนะ! เจค็อบต้องอยู่กับฉันที่นี่!”
“ถ้าคุณพ่ออยากจะได้ตัวมันไว้ที่นี่ คุณพ่อก็ควรมีอะไรมาแลกเปลี่ยนกับผมบ้างสิ” เขาลดน้ำเสียงและพยายามสงบสติอารมณ์ ปฏิกิริยาของบิดาแสดงออกชัดเจนว่าสมมุติฐานของโรสถูกต้อง เคนเน็ธไม่มีทางคืนเจโคบีให้เขาอย่างแน่นอน และมันย่อมหมายความถึงเงินก้อนใหญ่ที่เขาจะสามารถเรียกร้องจากมหาเศรษฐีเฒ่า
“ฉันบอกแกแล้วไงว่าแกจะไม่มีวันได้เงินจากฉันอีก ไอ้คนหน้าด้าน!”
“ถ้าอย่างนั้นเจค็อบก็ต้องกลับลอนดอนกับผมคืนนี้”
“แกก็ลองแตะต้องตัวหลานของฉันดูสิ! ที่นี่เป็นบ้านของฉัน แกไม่มีสิทธิ์จะพาคนในบ้านฉันออกไปไปที่ไหนทั้งนั้น!”
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ในเมื่อผมเป็นพ่อของมัน!”
“ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้!! ก่อนที่ฉันจะเรียกตำรวจมาจับแกข้อหาบุกรุก!”
“คุณพ่อไม่กล้าหรอก...”
เพล้ง!!
อัลเบิร์ตพูดไม่ทันขาดคำ ขวดวิสกี้ที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ตัวเคนเน็ธก็มีอันลอยคว้างไปยังใบหน้าของชายหนุ่ม เสียงขวดแก้วกระทบกับขอบตู้หนังสือแตกกระจาย ของเหลวสีอำพันหกนองบนพื้นพรมขนแคชเมียร์จนชุ่มโชกปะปนไปกับเศษแก้ว โชคยังดีที่เป้าหมายของชายสูงวัยยังผวาหลบไปได้ทัน ไม่อย่างนั้นศีรษะของเขาก็คงแตกไปพร้อมๆ กับขวดวิสกี้
“คุณพ่อ...” ใบหน้าของอัลเบิร์ตซีดเผือดกะทันหัน เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นบิดาโกรธจนถึงขั้นลงมือลงไม้อย่างนี้ แต่ถึงจะขี้ขลาดและรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนอกจากขู่กลับไปด้วยเสียงสั่นๆ “ถ้า... ถ้าคุณพ่อไม่คืนลูกชายให้ผม... ผมต่างหาก... ที่จะต้องเป็นฝ่ายดำเนินคดีกับคุณพ่อ...”
“งั้นก็เอาสิวะ ไอ้อัลเบิร์ต! ถ้าแกมีปัญญาจ้างทนายมาสู้กับฉัน ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าศาลจะตัดสินให้เด็กอยู่กับใคร ระหว่างฉันที่ดูแลเด็กมาตลอดสี่ปี กับไอ้พ่ออุบาทว์ที่คิดแต่จะเอาลูกมาขาย! ไอ้ลูกระยำ!! เอาเลยสิ ฉันท้าให้แกไปแจ้งความวันนี้เดี๋ยวนี้เลย!”
“ผะ...ผมว่าเรื่องนี้... เราคงรีบร้อนกันเกินไป... ผมผิดเองครับ คุณพ่อ ผมไม่ได้หมายความอย่างที่พูด... เรา... เราค่อยๆ ปรึกษากันอีกซักทีดีไหมครับ...”
“ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับแกอีกแล้ว! แกกลับไปซะ! ไปให้พ้นหน้าฉัน! แล้วถ้าแกยังคิดจะเอาลูกไม้น่าสมเพชอย่างนี้มาใช้กับฉัน แม้แต่เงินห้าพันปอนด์ที่แกได้อยู่ทุกๆ อาทิตย์ ฉันก็จะไม่ให้แกอีกเลย เข้าใจไหม!”
“คะ...ครับ ผม ขะ...เข้าใจแล้ว” พูดจบก็รีบจ้ำเท้า ก้าวออกไปจากห้องทำงานของผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าท่าทางไม่ต่างจากสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ สิ่งเดียวที่ช่วยให้อัลเบิร์ตระบายความคับแค้นได้บ้างในเวลานี้ก็คงมีเพียงการปิดประตูกระแทกจนสุดแรงเท่านั้น
ร่างสูงและผอมเพรียวทิ้งแผ่นหลังพิงกับบานประตูไม้ ดวงตาสีเขียวจ้องเขม็งไปข้างหน้าอย่างไม่มีจุดหมาย ชายหนุ่มกำมือแน่น กัดฟันกรอด
โรสไม่ได้บอกเอาไว้สักนิดว่าเหตุการณ์จะออกมาในรูปแบบนี้... ตามที่คาดการณ์กันเอาไว้ เขาควรได้เงินจากไอ้แก่ขี้เหนียวกลับไปสักแสนสองแสนปอนด์ไม่ใช่หรือ...
แต่เอาเถอะ อย่างน้อยภรรยาของเขาพูดถูกเรื่องเจโคบี เห็นทีเขาคงต้องบากหน้ากลับไปขอคำปรึกษาจากภรรยาชาวจีนอีกสักครั้ง... ถ้าเธอยังไม่โกรธจนหนีออกจากบ้านไปเสียก่อน เขาเชื่อว่าโรสจะต้องมีแผนการดีๆ ที่จะจัดการกับมหาเศรษฐีเฒ่าแน่ๆ...
“คอยดูเถอะไอ้แก่เคนเน็ธ... แล้วแกจะได้เห็นว่าหมาเวลาจนตรอกน่ะ มันทำอะไรได้บ้าง!”
ทันทีที่ประตูห้องชั้นบนสุดของตึกหน้าเปิดออก อัลเฟรโดก็ดึงแขนนรินทร์นารถซึ่งมีท่าทีไม่เต็มใจ ให้เดินตามเข้าไปจนถึงชุดโซฟาสำหรับนั่งพักผ่อนด้านใน ก่อนที่เขาจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งเป็นการบังคับกลายๆ ให้เธอนั่งตามตั้งแต่เขาพาตัวเธอและเจโคบีกลับมาถึงคฤหาสน์ทะเลทราย ชายหนุ่มก็เอาแต่นิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว ทำให้ในใจของนรินทร์นารถเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวว่าหลังนี้เขาจะควบคุมตัวเธอเอาไว้แต่ในตึกหลังโดยไม่อนุญาตให้เจอกับเจโคบีเพื่อป้องกันไม่ให้เธอมีโอกาสพาเด็กชายหนีไปอีก“คุณอัลเฟรโดคะ...” หลังจากทิ้งตัวลงบนโซฟายาวที่อยู่เยื้องกัน ถึงจะยังหวั่นๆ กับความผิดของตัวเอง แต่หญิงสาวก็ตัดสินใจเอ่ยปาก ดีกว่าต้องทนอยู่ในบรรยากาศที่น่าอึดอัดอย่างนี้ต่อไป “ฉันรู้ว่าทำให้คุณโกรธ... แต่ว่าฉัน...” เธอเคยบอกเขาหลายครั้งแล้วว่าเธอจำเป็นต้องพาเจโคบีกลับไปคืนให้เคนเน็ธ“ฉันไม่ได้โกรธเธอ...” ชายหนุ่มพูดขัดคอด้วยน้ำเสียงที่คาดเดาไม่ถูก“แล้วคุณ... พาฉันมาที่นี่ทำไมคะ...”นรินทร์นารถไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร แต่ไม่คิดว่าอัลเฟรโดจะพาเธอขึ้นมาถึงที่นี่เพื่อลงโทษด้วยการร่วมรักอย่างโหดเหี้ยมอำมห
“นะ...นี่ตกลงว่าจะเอายังไงกันแน่!” เขาตะคอกอย่างลืมตัว“ฉันทิ้งลูกชายเอาไว้ที่ตลาด... ให้ฉันไปรับตัวเขามาที่นี่ก่อน ไม่อย่างนั้นฉันก็ยังให้ของคุณไม่ได้หรอกค่ะ...”ดวงตาสีฟ้าจ้องเขม็งมายังใบหน้าของหญิงสาวชาวเอเชีย ตอนแรกเขาคิดว่าถ้าเธอเกิดเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันเพราะเสียดายตุ้มหูเพชรคู่นั้นขึ้นมา เขาก็ยังพอตัดใจได้ แต่เมื่อได้เห็นสร้อยเพชรที่น่าจะหนักมากกว่าสามสิบกะรัต สตินึกคิดและความยับยั้งชั่งใจก็ขาดผึง“อย่าต่อรองกับฉันดีกว่าน่า! หรืออยากจะให้ฉันเรียกตำรวจมาก่อน หา!”กัปตันเรือสินค้าวัยกลางคนปักใจเชื่อว่านรินทร์นารถจะต้องเป็นทาสหรือไม่ก็นางบำเรอของเศรษฐีคนใดคนหนึ่งที่พยายามหลบหนีไปจากที่นี่พร้อมๆ กับของมีค่าที่เธอขโมยมา แล้วเรือของเขาก็เป็นทางเดียวที่จะช่วยเธอได้... เพราะฉะนั้น อย่างน้อยๆ เขาก็น่าจะรีดเอาเครื่องเพชรของเธอมาได้มากกว่าแค่ตุ้มหูคู่นั้น จึงเจตนาข่มขู่ให้เธอหมดทางเลือก...“ฉัน... ฉันไม่ไปกับคุณแล้ว... ฉันจะกลับไปหาเจค็อบ...” หญิงสาวละล่ำละลัก สภาพการณ์ที่เห็นทำให้เธอเกิดไม่ไว้เขาขึ้นมาหลังจากผ่านเหตุการณ์มากมาย ถูกสองกุ๊ยชาวจีนลักพาตัวมาขังบนเรือประมง ถูกคนหัวล้านท่าทาง
ขณะที่ยืนลังเลตัดสินใจอะไรไม่ถูกอยู่นั้น จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรที่ท่าเรือด้านใน จึงรีบหันไปมองด้วยความตกใจ หญิงสาวพบว่าเจ้าของเสียงเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ เขากำลังยืนชี้นิ้วตวาดคนงานที่ขนลังสินค้าอะไรสักอย่างขึ้นไปบนเรือขนาดใหญ่ลำหนึ่งชายคนนั้นมีศีรษะล้านเลี่ยน หนวดเครารุงรัง ดูจากการแต่งตัวลำลองแบบชาวตะวันตกและท่าทางวางอำนาจกับเหล่าคนงานพื้นเมืองแล้ว ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเขาจะต้องเป็นกัปตันของเรือขนส่งสินค้าลำนั้นอย่างแน่นอน...ถึงแม้ว่าใบหน้าที่เธอมองเห็นจะบอกถึงความดุร้ายเจ้าอารมณ์ แต่สิ่งที่ทำให้ดวงตานรินทร์นารถต้องเบิกกว้าง หัวใจเต้นระทึก ก็คือรูปร่างหน้าตาของเขา... มันเป็นลักษณะของชาวตะวันตกอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะดวงตาสีฟ้าอมเทา ผมสีทอง หรือผิวที่กลายเป็นสีแดงจัดเพราะถูกแดดเผา...“เอ่อ... ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณพอจะพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า...” ด้วยเวลาแห่งความปลอดภัยที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นอกจากเสี่ยงดวงเดินเข้าไปทักเขาตรงๆ“มีอะไร” เขาถามเธอกลับแทนคำตอบ “เห็นหรือเปล่าว่าฉันกำลังยุ่งอยู่ เธอมีธุระอะไรกับฉันก็รีบว่ามาเร็วๆ” น้ำเสียง
“เฮ้ย! อย่ามานอนแถวนี้ ลุกออกไปเร็วๆ เข้า ลุกๆ!” เสียงโหวกเหวกโวยวายของชายแปลกหน้าชาวโมร็อกโกปลุกร่างสองร่างที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้ากระสอบผืนใหญ่ให้ตื่นขึ้นด้วยความตกใจ ขณะที่เขาไม่สนใจปฏิกิริยาของคนทั้งคู่ เดินเข้ามายกลังไม้เปล่าๆ สองสามใบที่ตั้งอยู่ข้างๆ เธอกลับออกไปถึงแม้จะไม่เข้าใจภาษาอาหรับที่เขาใช้ แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของเขาเมื่อสักครู่ เธอก็รู้ว่าเขาไม่ต้องการให้เธอและเจโคบีอยู่ที่นั่นต่อนรินทร์นารถรีบประคองเด็กชายยืนขึ้น เขายังมีสีหน้างัวเงีย แต่ก็ยอมลุกเดินตามเธอออกจากซอกอาคารแคบๆ แห่งนั้นโดยดีหญิงสาวเหลือบมองชายวัยกลางคนคนเดิมวางลังไม้ลงบนพื้นแล้วปูด้วยเสื่อเก่าๆ ผืนหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปยกเอาลังกระดาษใบใหญ่จากด้านในตัวอาคารมาวางตั้ง ก่อนที่จะหยิบอินทผลัมสุกหลายทะลายในลังออกมาวางเรียงรายบนนั้น“ยังจะมองอะไรอยู่อีก! ไปๆๆ! อย่ามายืนขวางหน้าร้าน” เขาเงยหน้าขึ้นพูดด้วยถ้อยคำที่เธอยังคงฟังไม่รู้เรื่องพลางโบกไม้โบกมือไล่ “แต่งเนื้อแต่งตัวก็ดี หอบหิ้วลูกออกมาเร่ร่อนเป็นขอทานซะได้... ไม่ไหวจริงๆ ผู้หญิงสมัยนี้...” พ่อค้าผลไม้คนเดิมบ่นไล่หลังชายคนนั้นไม่ได้แปลกใจที่เห็นเธอและเจโคบี
เช้าตรู่วันนั้น ภายในตึกเล็กของคฤหาสน์ทะเลทรายก็เกิดความวุ่นวายโกลาหล เมื่อบุตรชายของอัลเฟรโดพบว่าน้องชายคนใหม่ของเขาเกิดหายตัวไปจากห้องอย่างลึกลับ ตอนแรกอิสซามเข้าใจว่าเด็กชายคงจะตื่นและลงไปเดินเล่นที่สวนหน้าตึก แต่เมื่อถามจากปากยามซึ่งมีหน้าที่ดูแลประตู เขาจึงรู้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืน“ใครบอกแกว่าเมื่อคืนนี้อัลวาโรไม่สบาย อามีน” อิสซามตะคอกใส่ยามวัยกลางคนที่กำลังยืนก้มหน้างุด ข้างๆ ยังมียามหนุ่มอีกคนซึ่งมีสีหน้าหวาดหวั่นไม่ต่างกันถึงแม้จะมีวัยแค่สิบขวบ แต่เด็กชายผิวคล้ำหน้าตาคมเข้มก็เป็นทายาทเพียงคนเดียวของพ่อค้าอาวุธสงครามผู้ทรงอิทธิพล โดยเฉพาะสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดและบุคลิกเปี่ยมด้วยอำนาจที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้เป็นพ่อ ทำให้ไม่มีใครในคฤหาสน์ของอัลเฟรโดมองเขาเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง“สะ...สาวใช้ที่ราเนียส่งมาดูแลครับ คุณอิสซาม...” อามีนตอบตะกุกตะกัก“ไอ้โง่! บอกแค่นั้นแกก็ยอมให้เข้ามาในตึกแล้วหรือไง ถ้าทำงานได้แค่นี้ฉันบอกให้พ่อเลี้ยงหมายังจะดีซะกว่า”“ไอ้หนู เอ่อ คุณอัลวาโร... หายไปอย่างนั้นเหรอครับ” อีกฝ่ายถามกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ“ก็ใช่น่ะสิ รอให้พ่อ
“หนาวไหมจ๊ะ” นรินทร์นารถกระซิบถามเจ้าของร่างน้อยๆ ที่เดินอยู่เคียงข้างเด็กชายส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่การที่เขาคอยเป่าลมหายใจใส่อุ้งมือทั้งสองข้างตลอดเวลามันก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเจโคบีไม่ต้องการให้เธอเป็นห่วงจริงอยู่ที่ทาร์ฟายาเป็นเมืองท่าติดทะเล ได้รับอิทธิพลจากลมทะเลในตอนกลางวัน ทำให้มีอุณหภูมิเย็นสบายตลอดทั้งปี แต่สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่ยังคงรายล้อมไปด้วยทะเลทราย เมื่อถึงเวลากลางคืนอากาศจึงเย็นจัดเนื่องจากพื้นที่ที่เป็นทรายจะไม่สามารถกักเก็บความร้อนเอาไว้ได้เหมือนพื้นดินหญิงสาวเปลื้องผ้าคลุมบนศีรษะ ย่อตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าเขาก่อนจะห่มผ้าผืนนั้นให้“ผมไม่หนาวหรอกฮะ... นีนาเอาเก็บไว้ห่มเองเถอะ...” ปากบอกอย่างนั้นแต่ฟันกระทบกันเสียงดังกึกกักพี่เลี้ยงสาวไม่ฟังคำพูดของเขา กระชับผืนผ้าให้แน่นแล้วยัดชายทั้งสองข้างใส่ไว้ในมือน้อยๆ“ห่มเอาไว้ จะได้ไม่เป็นหวัด...” ยกมือขึ้นหยิกแก้มของเขาเบาๆ “เจค็อบเหนื่อยหรือยัง... อดทนอีกหน่อยนะจ๊ะ อีกไม่นานก็จะถึงในเมืองแล้ว...”“ทำไมเราไม่ไปตามถนนล่ะฮะ... ตอนที่มากับพวกโจรสลัดเราไม่เห็นต้องเดินบนทรายอย่างนี้เลย...”เจโคบีหันไปมองรอบๆ ตัวที่มีแต่ผืนทรายก