หลังจากวันที่ไปเที่ยวด้วยกันครั้งนั้นน่านน้ำก็เริ่มสนิทกับคินทร์มากขึ้น ระยะเวลาประมาณหกเดือนที่คินทร์พยายามทำลายกำแพงในใจน่านน้ำที่มีต่อตนเองสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย
แม้ว่าเด็กคนนี้จะยังพูดน้อย แต่ดูเหมือนจะสดใสขึ้นมาบ้าง ทั้งยังกล้าพูดกล้าคุยกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก
วันแรกของการเปิดเรียนเทอมสองน่านน้ำลุกขึ้นมาช่วยทำอาหารพร้อมแม่บ้านสาวอย่างเช่นทุกวัน ทว่าวันนี้เขาตั้งใจจะทำอาหารใส่กล่องไปให้เฮียคินทร์ก่อนไปโรงเรียน เพราะยังไงก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว เมื่อคืนนี้คนพี่นอนที่เพนท์เฮาส์ชั้นบนสุดของตึกบริษัท เช้านี้เลยไม่ได้อยู่ทานข้าวเช้าพร้อมทุกคน
“พี่ว่าคุณคินทร์ต้องดีใจมากแน่ ๆ ที่น่านตั้งใจทำอาหารเอาไปฝาก”
นิ่มเอ่ยพูดกับเด็กหนุ่มด้วยท่าทางสนิทสนม แม้ตนจะเป็นสาวใช้คนหนึ่งในบ้านหลังนี้ แต่น่านน้ำไม่เคยถือตัวเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมองว่าพวกเราสาวใช้ทุกคนเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ เมื่อก่อนอาจจะยังเกร็งใส่กันอยู่บ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปการได้รู้จักและเจอกันทุกวันก็ทำให้ลดความอึดอัด กลายเป็นสนิทกันไปโดยปริยาย
“เดี๋ยวน่านขอฝากเอาไว้ก่อนนะครับ หลังทานข้าวเสร็จจะมาเอา”
“ได้ค่ะ” หญิงสาวรับคำดูแลกล่องอาหารที่จะเอาไปให้คุณคินทร์เป็นอย่างดี
เปิดเทอมวันแรกน่านน้ำมาพร้อมเคนกับคีนโดยมีลุงแช่มขับรถมาส่ง ทว่าเขาขอแวะที่บริษัททรีเคไดมอนด์ก่อนไปโรงเรียน ซึ่งทั้งสามคนไม่มีใครว่าอะไร
เป็นครั้งแรกที่น่านน้ำมาเหยียบภายในบริษัท ปกติแค่นั่งรถผ่านเท่านั้น
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามาติดต่อเรื่องอะไรคะ?” พนักงานต้อนรับเอ่ยถาม เพราะหากไม่ใช่พนักงานบริษัทหรือลูกค้าคนสำคัญที่นัดไว้จะไม่มีสิทธิ์ผ่านล็อบบี้ด้านหน้าไปได้
“ผมมาหาคุณคินทร์ครับ”
“ได้นัดไว้หรือเปล่าคะ?”
“ไม่ได้นัดครับ”
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันคงไม่สามารถให้คุณขึ้นไปได้”
ได้ยินอย่างนั้นใบหน้าจิ้มลิ้มเซื่องซึมลงเล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มบาง ๆ ให้พนักงานสาว เขาเข้าใจว่าเป็นหน้าที่ของเธอ อีกอย่างไม่มีใครรู้จักเขา หากเป็นเคนหรือคีนคงไม่มีพนักงานคนไหนต้องถามแต่ปล่อยให้ขึ้นไปโดยง่าย ซึ่งนั้นก็ถูกต้องแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างนั้นผมแค่ฝากอันนี้ให้คุณคินทร์หน่อยนะครับ”
“ให้แจ้งว่าใครเป็นคนฝากคะ”
“น่านน้ำครับ”
“ได้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
เด็กมารยาทดียกมือไหว้ขอบคุณพนักงานสาวก่อนจะรีบกลับมาที่รถ เพื่อเดินทางไปโรงเรียน
เย็นนี้เขาตั้งใจว่าจะนั่งรถเมล์กลับด้วยตัวเอง ซึ่งจริง ๆ ก็อยากจะลองไปกลับด้วยตัวเองตลอดเทอมนี้ เป็นการทดลองว่าทำได้หรือเปล่า จะได้ไม่ต้องรบกวนเฮียคินทร์หรือลุงแช่มมากเกินไป
Rrrrr…
มาถึงโรงเรียนก่อนเรียกแถวประมาณสิบนาที ระหว่างเข้าโรงเรียนไปพร้อมกับคีนเสียงมือถือดังขึ้น น่านน้ำจึงต้องหยุดเดินเพื่อรับสาย
“ฮัลโหลครับเฮีย”
[ถึงโรงเรียนหรือยัง]
“ถึงแล้วครับ กำลังจะเดินไปใต้โดม”
[เฮียได้รับข้าวที่น่านฝากไว้แล้วนะ ขอบคุณนะครับ]
“ยินดีครับ” ปากบางยกยิ้มน้อย ๆ ราวกับคนที่อยู่ในสายยืนอยู่ตรงหน้า
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เบิกคิวขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อสังเกตเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของน่านน้ำ จริงอยู่ที่ช่วงนี้คนพี่ดูสดใสขึ้น แต่ไอ้อาการหน้าแดงยืนอมยิ้มคนเดียวแบบนี้เขาไม่ชินจริง ๆ
[ไปเข้าแถวเถอะ เฮียไม่กวนแล้ว เจอกันตอนเย็นครับ]
“ครับ”
น่านน้ำกดวางสายเก็บมือถือเข้ากระเป๋ากางเกงตามเดิม ก่อนจะหันมาเห็นใบหน้าขาวของคีนที่ยื่นเข้ามาหรี่ตามองเขาราวกับจับผิด
“คุยกับเฮียคินทร์เหรอ?”
“อา.. อืม ใช่” ยิ่งตอบกลับด้วยน้ำเสียกอึกอักยิ่งทำให้คีนสงสัยเพิ่มขึ้น
“แค่คุยกับเฮียพี่น่านต้องหน้าแดงด้วยเหรอ”
“!!!”
สองมือเล็กยกขึ้นประกบแก้มตัวเองสองข้าง กลอกตาไปมาอย่างเลิ่กลั่ก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเดินนำไปที่โดมโดยไม่รอให้คีนได้ถามอะไรต่อ
“ไปกันเถอะ ใกล้จะเข้าแถวแล้ว”
“เดี๋ยวสิพี่น่าน! รีบเดินไปไหน รอคีนด้วย”
เสียงดังไล่หลังมาติด ๆ ก่อนจะมาเดินอยู่ข้าง ๆ เมื่อไล่ตามทัน กระนั้นได้ยินเสียงขำเบา ๆ จากเด็กมอหนึ่ง น่านน้ำเม้มปากราวกับคนเก็บอาการไม่อยู่
ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรแต่เขากลับทำตัวมีพิรุธเหมือนคนปิดบังหรือทำอะไรผิดอยู่อย่างไรอย่างนั้น
.
.
ระหว่างเช็กเอกสารรองผู้บริหารเอาแต่มองนาฬิกาอยู่บ่อยครั้ง ตั้งใจจะไปรับน้องชายทั้งสามคน ทว่าคนกลางบอกจะไปเที่ยวกับเพื่อนต่อ ส่วนคนเล็กกับน่านน้ำจะนั่งรถเมล์กลับกันเอง
อย่างที่เคยรับปากกับน่านน้ำเอาไว้เมื่อเทอมที่แล้วว่าจะยอมปล่อยให้กลับบ้านเองตามที่ต้องการ แม้จะนึกเป็นห่วงแต่ไม่อยากขัดใจน้องสักเท่าไร ถึงอย่างนั้นมีคีนอยู่ด้วยก็พอจะเบาใจลงบ้าง
“คุณคินทร์มีธุระอะไรต่อหรือเปล่าค่ะ”
เลขาสาวเอ่ยถามเจ้านายตัวเองระหว่างรอเอกสาร ครั้นเห็นอีกฝ่ายเอาแต่มองนาฬิกาบ่อยจนเกินไป
“เปล่าครับ คุณปาริตามีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ตาแค่เห็นว่าคุณคินทร์เอาแต่มองนาฬิกา เลยคิดว่ามีธุระต้องไปทำต่อ”
“อ๋อ.. ไม่มีครับ” เมื่อถูกจับได้ก็รีบอ่านเอกสารเช็กความเรียบร้อย เซ็นเสร็จก็ยื่นให้เลขาที่ยืนรออยู่ “นี่ครับ”
“ขอบคุณค่ะคุณคินทร์”
พลันในห้องเหลือเพียงตนเองคนเดียวก็ยกยิ้มขึ้นมา นึกขำกับพฤติกรรมน่าแปลกของตัวเอง หากไม่ถูกเลขาถามเขาก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เวลาล่วงเลยมาถึงหกโมงเย็น เจ้าน้องชายตัวดีโทรมาบอกให้ไปรับ เพราะเดินเล่นจนเหนื่อย ขี้เกียจรอรอบรถ จะขึ้นแท็กซี่น่านน้ำก็กลัวเปลืองเงิน
คินทร์เองไม่มีงานอะไรต้องทำแล้วในวันนี้ จึงไม่ลำบากที่จะออกไปรับ ใช้เวลาเพียงไม่นานเจ้าตัวก็มาถึงที่ที่เด็กสองคนยืนรออยู่
น่านน้ำเลือกที่จะนั่งเบาะหลัง ส่วนคีนนั่งเบาะด้านหน้าข้างคนขับ
“เฮ้อ! เหนื่อยมาก” ทันทีที่ทิ้งหลังพิงเบาะคีนก็ถอนหายใจออกมาอย่างคนหมดแรง
“ทานอะไรกันมาหรือยัง”
“แค่ของทานกินครับ”
“แวะหาอะไรทานก่อนเข้าบ้านไหม”
“พี่น่านโอเคหรือเปล่า” คีนเลือกที่จะถามน่านน้ำแทนที่จะตัดสินใจเอง
“พี่แล้วแต่คีนกับเฮีย” แน่นอนว่าน่านน้ำไม่ตัดสินใจเองอยู่ดี
“เฮียเลี้ยงนะ”
“ปกติเฮียก็เลี้ยงอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
เด็กหนุ่มหัวเราะคิกคักกับคำพูดของพี่ชาย จริงทุกคำเถียงไม่ได้ พลันคนขับตวัดสายตามองกระจกหลังเอ่ยถามคนที่เอาแต่นั่งฟังเงียบ ๆ
“น่านมีอะไรที่อยากทานเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“น่านทานอะไรก็ได้ครับ แล้วแต่เฮียกับคีนเลย”
รู้อยู่แล้วว่ายังไงน่านน้ำก็ไม่เลือก ถึงอย่างนั้นเขาก็แค่อยากชวนคุยดีกว่าปล่อยให้นั่งอยู่คนเดียว
“คีนอยากกินชาบู”
“น่านโอเคไหม”
“โอเคครับ”
คินทร์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เลือกที่จะตามใจน้องชาย เพราะเขาเองทานอะไรก็ได้เหมือนกัน
น่านน้ำได้แต่นึกคิดอยู่คนเดียวว่านี่อาจเป็นโชคดีของตนที่ได้เจอครอบครัวของคุณรังสรรค์ โชคดีที่ได้เจอกับทุกคนในตระกูลนี้ อย่างน้อยช่วงเวลาที่เลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นกับเขา ก็ถูกเยี่ยวยาได้ด้วยช่วงเวลาดี ๆ ที่ทุกคนมอบให้
ในเมื่อเขาไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้ งั้นหลังจากนี้เขาจะพยายามรักษาช่วงเวลาดี ๆ และคนดี ๆ ให้อยู่ในชีวิตได้นานที่สุด
เท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้...
แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาแยงตาคนที่ยังคงสะลึมสะลืออยู่บนเตียง ร่างกายเล็กค่อย ๆ ขยับกายทว่ารู้สึกได้ถึงแรงกอดรัดบริเวณเอว ดวงตาบวมช้ำพยายามลืมขึ้นเพื่อมองช่วงล่าง ท่อนแขนแข็งแรงของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นอนซ้อนหลังกอดเขาเอาไว้ไม่ปล่อย น่านน้ำจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้ แต่ไม่คิดว่าคินทร์ยังคงอยู่ที่นี่ นึกว่ากลับไปแล้วเสียอีก ทั้งที่ปกติชายหนุ่มไม่ใช่คนขี้เซาแต่เช้านี้กลับยังไม่ตื่น อาจเป็นเพราะเพิ่งจะได้นอนเมื่อตอนตีห้า เพราะเมื่อคนนี้น่านน้ำนอนละเมอเกือบทั้งคืน กว่าจะหลับสนิทดีก็ตีสี่กว่าแล้ว น่านน้ำนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน คิดถึงสิ่งที่เพลงขิมบอกเมื่อคืนนี้ เรื่องทั้งหมดในวันนั้นเป็นเพียงการเข้าใจผิดที่ถูกจัดฉากขึ้นมาเพียงเพราะพ่อของเพลงขิมต้องการที่จะเกี่ยวดองเรื่องธุรกิจ ส่วนคินทร์ต้องก้มหน้ารับผิดเพราะจำไม่ได้จึงไม่แน่ใจว่าตัวเองทำลงไปจริง ๆ หรือเปล่า อีกทั้งความใจร้อนของเขาที่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นโดยไม่ได้ถามอะไรให้ได้ความชัดเจนก่อน กลายเป็นว่าเขาเองที่เชื่อใจคินทร์ไม่มากพอ เพราะความโง่เง่าของเขาเองที่ถูกปั่นหัวได้ง่าย ๆ แทนที่จะหนักแน่นให้มากกว่านี้ คนที่ทำผิดพลาดมากที
ตั้งแต่เช้าเมื่อวานจนถึงวันนี้คินทร์ยังคงวิ่งวุ่นเรื่องดำเนินคดีความเรื่องที่ตนไปแจ้งจับพ่อของเพลงขิม หลังจากสืบสวนแล้วถึงรู้ว่าสุรินทร์ก่อเหตุเอาไว้หลายกระทง แต่ถูกปกปิดทั้งหมด นั่นเพราะผู้กำกับคนเก่าซึ่งเป็นเส้นสายของตนเองช่วยเอาไว้ หลังจากรังสรรค์รู้เรื่องทุกอย่างจากลูกชาย ก็ช่วยอย่างเต็มที่เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเส้นมีสาย แอบตำหนิไปเล็กน้อยที่เพิ่งมาบอกกัน ที่ผ่านมารังสรรค์คิดว่าตัวเองจัดการทุกอย่างเรียบร้อยตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ทว่าความจริงคนผิดที่อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุการตายของพ่อแม่น่านน้ำตัวจริงคือสุรินทร์ ส่วนคนที่ถูกจับเป็นแค่แพะรับบาปที่รู้ทุกอย่าง เป็นคนที่ยอมสารภาพผิดเพราะคำขู่ของสุรินทร์ สาเหตุที่สุรินทร์ได้จ้างคนให้จัดการพ่อแม่น่านน้ำมาจากความแค้นส่วนตัวในอดีต รวมถึงธุรกิจที่กำลังจะไปได้ดีแซงหน้าตนความอิจฉาของสุรินทร์เพิ่มพูนขึ้นจนกลายเป็นบันดาลโทสะ รังสรรค์ไม่คิดเลยว่าจะพลาดท่าเชื่อคำสารภาพของชายคนนั้นเมื่อสิบปีก่อน ไม่คิดว่าตัวเองจะโง่ได้ถึงเพียงนี้ ทว่าความลับที่ถูกปกปิดเอาไว้ก็กระจ่าง แก้แค้นให้เพื่อนรักตอนนี้ก็ยังไม่สาย เพลงขิมเพิ่งรู้สิ่งที่พ่อของตนเอง
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นวันว่างของคินทร์และน่านน้ำ จึงตกลงกันว่าจะพาลูกออกไปเที่ยวด้วยกัน เพราะผ่านมานานมากแล้วที่เราไม่ได้ใช้เวลาครอบครัวร่วมกัน ในตอนแรกน่านน้ำก็คิดที่จะปฏิเสธปล่อยให้สองพ่อลูกได้ไปกันสองคน ส่วนตนจะขออยู่ที่ห้อง เก็บกวาดเช็ดถู เนื่องจากตลอดสัปดาห์ต้องไปทำงาน ไม่ได้มีเวลาหยิบจับอะไรให้เข้าที่เข้าทางสักเท่าไร ทว่าพอมานึกดูแล้ว เขาเองก็มีเวลาให้ลูกได้ไม่เต็มที่ตั้งแต่เข้าทำงานประจำที่บริษัท อีกทั้งลูกชายยังออดอ้อนให้มาด้วยกัน สุดท้ายก็ใจอ่อน คินทร์ลอบมองอดีตคนรักแทบจะทุกห้านาที สังเกตสีหน้าว่าอีกคนยินดียินร้ายอย่างไรที่มาด้วยกัน สิ่งหนึ่งที่คิดไม่อยากให้เกิดขึ้นระหว่างเราคือความอึดอัดใจ หลายครั้งที่คำพูดของป๊าผุดขึ้นมาในหัว “แต่ลูกรู้ใช่ไหมว่าถ้าวันหนึ่งต้องเลิกรากัน หากจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมมันเป็นไปได้ยาก” เพิ่งจะรู้ซึ่งก็ตอนนี้ว่ามันจริงอย่างที่ป๊าเตือนเอาไว้ ทั้งที่เราไม่ได้โกรธเกลียดอะไรกัน แต่ไม่สามารถกลับมาเป็นพี่น้องอย่างเดิมได้อีก สถานะของเขาและน่านน้ำ คืออดีตสามีภรรยา รวมถึงพ่อและแม่ของมีคุณ หรือต่อให้กลับมาเป็นพี่น้องกันได้อีกครั้ง คินทร์ก
“เฮียจะมาที่ร้านเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความสงสัย ครั้นพี่ชายบอกจะเข้ามาหาที่ร้าน เพราะโดยปกติแล้วรายนั้นเอาแต่ทำงาน เคยแวะมาที่ผับที่บาร์แบบนี้ซะที่ไหน ตั้งแต่เคนเปิดร้านมาสองปีย่างเข้าปีที่สามคินทร์ยังไม่เคยแวะเข้ามาดูด้วยซ้ำ [อืม เดี๋ยวเฮียไป] “ครับ” สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงให้กับเคน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะพันเป็นเลขแปด ก่อนจะส่งข้อความไปหาน้องชายคนเล็กให้ตามมาที่ร้านอีกคน “ปล่อยพลับได้ยัง!?” เสียงหวานเอ่ยถามพร้อมสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไรนัก หลังจากที่ถูกเรียกให้มาหาด้วยเหตุผลที่โคตรของโคตรไร้สาระ “ถ้าคืนนี้ฉันเห็นเธอไปยุ่งกับไอ้เสี่ยนั่นอีก ฉันจะไล่ออก” “ก็นั่นมันงานของพลับ คุณเคนเป็นเจ้านายก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรือไง” “คำไหนคำนั้น เธอน่าจะรู้นะว่าฉันทำจริง” เคนทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาพร้อมกับปล่อยข้อมือเล็กให้เป็นอิสระ เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่คนมองมองยังไงก็กวนประสาทกันอยู่ชัด ๆ รู้ทั้งรูว่างานที่เขาทำคือการบริการลูกค้า แล้วมาห้ามไม่ให้ไปยุ่งกับลูกค้า แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน “เอาสิ ถ้าคุณเคนไล่พลับ พลับจะไปทำงานที่ร้านคุณย้งก็ได้ ยังไงที่นั่นเขาก็ต
ใบหน้าหล่อเปื้อนน้ำตาซบแผ่นหลังเล็กไม่คิดจะผละออก โอบกอดเอวบางเอวไว้แน่น คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่กับน่านน้ำ เขาจึงยอมหน้าด้านขอใช้เวลาคืนนี้ด้วยกันก่อนที่อีกคนจะย้ายออกไปจากที่นี่ คินทร์พาลูกไปฝากไว้กับป๊าม๊า เพื่อที่จะได้อยู่กับน่านน้ำสองคน เขาอยากใช้ช่วงเวลานี้ตักตวงความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาเกือบครึ่งปีที่เราทั้งคู่แยกกันนอนคนละห้อง เขาไม่ได้กอดน่านน้ำเลยสักครั้ง เฝ้าแต่คิดถึงและบอกตัวเองให้อดทนอยู่ทุกเช้าค่ำ เพราะหากทำอะไรรุ่มร่ามไปคนน้องอาจจะอึดอัดใจได้ คินทร์ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ภายในห้องนอนสีเหลี่ยมถูกปิดไฟมืดสนิทไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดลอดใด ๆ เข้ามา ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศหนาวสะท้านเข้าถึงหัวใจ รู้สึกเจ็บจนชาไปทั่วทั้งอก เราทั้งสองคนต่างปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จะมีก็แต่เสียงพึมพำของคินทร์ที่ดังแผ่วเบาอยู่ตรงแผ่นหลัง คินทร์ไม่กล้าแม้แต่จะข่มตานอน กลัวว่าตื่นมาแล้วจะไม่ได้เจอน่านน้ำอีก แอบร้องไห้เงียบ ๆ ไม่ให้คนน้องรู้ พร่ำบอกรักเบา ๆ ซ้ำไปซ้ำมา “เฮียรักน่าน ..รักน่านแค่คนเดียว” แม้ว่าน่านน้ำจะนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนคล้
2 เดือนต่อมา ผ่านมาสองเดือนกว่ามีคุณได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมอนุบาลแห่งหนึ่ง เป็นการตัดสินใจร่วมกันของน่านน้ำและคินทร์ ทั้งสองคนยังอยู่บ้านหลังเดียวกันตามที่อีกฝ่ายได้ขอเขาไว้ด้วยเหตุผลที่คินทร์ให้ไว้ว่าเพื่อลูกของเรา แต่เห็นทีคราวนี้น่านน้ำคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เพลงขิมยังคงแวะเวียนมาที่บ้านหลังนี้ตลอด แม้ว่าคินทร์จะห้ามปรามจนมีปากเสียงกันทุกครั้ง เพลงขิมก็ยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน บังเอิญน่านน้ำได้ยินเรื่องที่ทั้งคู่คุยกันอยู่ครั้งหนึ่ง เท่าที่จับใจความได้เหมือนว่าคินทร์จะไม่ยอมรับผิดชอบอะไรสักอย่าง เพียงเท่านั้นน่านน้ำก็เดินออกไปเพราะไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว จนเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ น่านน้ำเริ่มหางานใหม่ทำหลังจากหยุดทำงานฟรีแลนซ์มาสักพัก สมัครไปหลายบริษัท ตั้งตารอว่าจะมีที่ไหนเรียกตัวบ้างหรือเปล่า หลังจากส่งลูกชายที่โรงเรียนเสร็จน่านน้ำก็แวะมานั่งเล่นที่ร้านขนมที่พลับจีนทำงานอยู่ เขาไม่เคยคิดเลยว่าร้านขนมเล็ก ๆ ข้างมหา’ ลัยจะพัฒนามาเป็นร้านใหญ่โตในวันนี้ ซึ่งพลับจีนก็ยังคงทำงานที่นี่อยู่ จากเด็กเสิร์ฟในวันนั้น วันนี้ได้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการ