ศศิรินทร์ลืมตาตื่นในตอนสาย ๆ เมื่อคืนเธอฝันว่าตัวเองดึงผู้ชายแปลกหน้าที่เจอกันที่บาร์ลอยฟ้าเข้ามาจูบจากนั้นก็...
บ้าที่สุด เธอกลายเป็นคนฝันลามกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย
“อืม ตื่นแล้วเหรอ” น้ำเสียงงัวเงียกระซิบที่ข้างหูทำเอาคนเพิ่งตื่นขนลุกชันได้สติขึ้นมาฉับพลัน
ทะ...ที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ฝันนี่น่า
“วันนี้วันหยุด นอนต่ออีกหน่อยก็ได้” เสียงนั้นไม่เพียงแค่พูดแต่ยังรวบร่างเปลือยเปล่าของเธอเข้าไปกอดไว้ซะแน่นอีกด้วย ความอบอุ่นจากกายเปลือยเปล่าของเขาไม่ได้ทำให้เธอหายตกใจแม้แต่น้อย
ให้ตายเถอะ รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ขึ้นมาเลย
นี่เธออยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายตัวเป็น ๆ แล้วยังไม่มีอะไรเสื้อผ้าขวางกั้นทั้งคู่ซะอีก
แก้มนุ่มนิ่มร้อนฉ่าและแดงก่ำ ยิ่งคิดถึงอะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขาคนนี้หน้าก็ยิ่งร้อนลามไปถึงหู เธอแหกแข้งแหกขาต่อหน้าผู้ชายคนนี้จนไม่มีอะไรที่เป็นความลับอีกแล้ว ทั้งยังร้องครางอยู่ใต้ร่างเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ทำไงดีละ
“คะ คือ...อาบน้ำกันมั้ย” เสียงที่แหบกว่าปกติจนน่าตกใจเอ่ยถามก่อนจะต้องหน้าร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิม...นี่เธอถามอะไรออกไปเนี่ย!!!
“อาบด้วยกัน?”
“มะ ไม่ใช่ หมายถึง เอ่อ คือ...”
“หึ” เขาหัวเราะในลำคออย่างชอบใจก่อนจะยอมปล่อยคนที่ชวนให้อาบน้ำ จริง ๆ ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าเธอคงจะเขินและไม่รู้จะทักทายกันยังไงก่อน...แต่คำทักทายแบบนี้ก็อันตรายนะ
มันอันตรายนะ ไม่รู้อะไรซะบ้างเลย
“คือ...คือฉันมีงานต้องไปทำ”
“วันนี้วันอาทิตย์นะ”
“งานของฉันไม่มีเวลาชัดเจนหรอก ทุกวันคือวันทำงาน” เธอบอกเล่าแต่น้ำเสียงกลับคล้ายคนหาข้ออ้าง
แต่ที่พูดเธอไม่ได้โกหกสักนิด งานของเธอมันไม่มีเวลาชัดเจนเหมือนงานประจำที่มีเวลาเข้าออก...ก็เพราะงานที่ว่าคืองานอีเว้นท์ และงานเลี้ยงที่ได้รับเชิญไปอะไรประมาณนั่นไงล่ะ
“แล้วต้องเข้างานเวลาไหน”
“รวมเวลาแต่งหน้าทำผม ก็...ต้องไปถึงก่อนบ่ายสาม”
เขามองคนตรงหน้าที่จนถึงตอนนี้ก็ไม่ได้พูดคุยกันถึงเรื่องระหว่างกันเลยก่อนจะลอบยิ้ม “ต้องทำเวลาสินะ งั้น...”
“งั้น...?”
“อาบน้ำด้วยกันก็ประหยัดเวลาดีนะ” มุมปากของเขากระตุกยิ้ม ดูไม่น่าไว้ใจยามที่พูดออกมา หญิงสาวได้แต่อุทานด้วยความตกใจแต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกช้อนอุ้มลงจากเตียงซะแล้ว “ไปอาบน้ำกันดีกว่า ปะ”
“กรี๊ด ไม่เอานะ ไม่” รังสิมันตุ์ไม่นำพากับเสียงร้องห้ามของหญิงสาว เขาอุ้มเธอเดินไปยังห้องน้ำในทันทีด้วยรอยยิ้มดูหื่นกาม ศศิรินทร์ทั้งดิ้นและร้องโวยวายกว่าจะหยุดเพราะเหนื่อยก็อิตอนถูกพามาถึงอ่างจากุชชี่ขนาดกว้างที่เธอเป็นคนสั่งพนักงานเองว่าต้องใหญ่ ๆ ตอนที่ตบแต่งห้องนี้
บ้าบอที่สุด มันกว้างชนิดที่ว่าลงไปแช่กันได้ทั้งสองคนเลยล่ะ
“แช่น้ำกันมั้ย?”
“ไม่ กรี๊ด!!!” ตอบกลับไม่ทันขาดคำคนที่อุ้มเธอมาก็ก้าวลงไปในอ่างซะแล้วซ้ำยังไม่ได้ปล่อยเธอลงอีกด้วย
ไม่นะ ขืนแช่น้ำด้วยกันแล้วเธอหน้ามืดขึ้นมา ต้องจบความสัมพันธ์ครั้งนี้ไม่ได้แน่
หลายชั่วโมงต่อมา
สาย...
สุดท้ายเธอก็สาย สายชนิดที่ว่าเข้างานไปตอนนี้ออกจะน่าเกลียดไปหน่อย และเพราะมาจนงานเกือบจะเลิกแล้วเธอจึงตัดใจไม่เข้าไปในงาน ทำเพียงขับรถมาวนหาที่จอดและจอดรอภาสกรหรือแพตตี้ เพื่อนชายใจหญิงที่เป็นผู้ช่วยที่เข้างานไปตั้งแต่ก่อนงานเริ่มแทน อีกฝ่ายคงจะหาข้ออ้างดี ๆ ให้ไม่กระทบกระเทือนกับชื่อเสียงบริษัทได้อย่างมืออาชีพดั่งเช่นเคย
เพราะมีภาสกรอยู่ศศิรินทร์จึงโล่งใจได้จึงไม่ได้ร้อนรนใจมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นพอคิดถึงสาเหตุที่ทำให้มางานไม่ทันขึ้นมาก็นึกโมโหไม่หาย...เธอเสียเวลาในการอาบน้ำไปตั้งสามชั่วโมง
และยังไม่ได้เสียแต่เวลาแต่ยังเสียเหงื่อด้วย...บ้าบอที่สุด ผู้ชายคนนั้นเป็นตัวอะไรกันแน่ถึงทำให้เธอเสียการควบคุมขนาดนี้ ปวดหลังปวดเอวไปหมด
คิดถึงความทรงจำสิบแปดบวกที่เพิ่งผ่านมาไม่นานก็หน้าร้อนฉ่าไปหมด เธอเหมือนตกลงไปไหนหลุมไร้ก้นที่ไม่สามารถโผล่ขึ้นมาได้เวลาอยู่ในอ้อมกอดนั้น ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ลามกครั้งแล้วครั้งเล่าตามการชักนำของเขา
โอ๊ย ศศิรินทร์ ตั้งสติหน่อย!
งานเลี้ยงรุ่นจัดขึ้นที่ร้านอาหารของหนึ่งในเพื่อนร่วมรุ่นในอีกสามวันต่อมา ไม่มีอะไรที่ทำให้ศศิรินทร์หนักใจได้เท่ากับธีมของงานปีที่ค่อนข้างจะแตกต่างออกไปจากทุกปีธีมชุดนักเรียนเนี่ยนะ?“ซอโซ่ แต่งตัวเสร็จหรือยัง เราเข้าไปนะ” เสียงของรังสิมันตุ์ที่อยู่ด้านนอกเรียกให้คนกำลังแต่งตัวได้สติอีกครั้ง หญิงสาวรีบร้องห้ามทันทีแต่ก็ไม่ทันจึงทำได้เพียงยกมือปิดหน้าด้วยความอับอาย“หยุดนะ อย่า...”“น่ารักออก”“แต่มัน...” ไม่มั่นใจเลยสักนิด เธออายุเลขสามแล้วนะ มาใส่ชุดเหมือนเด็กสิบเจ็ดสิบแปดแบบนี้นี่มัน...เขินชะมัดเลย“ไม่ต้องเขินหรอก เราก็ใส่ เห็นมั้ย”“เธอใส่แล้วดูดี แต่เราใส่แล้วมัน...”“สวย...สวยจนทำให้นึกถึงครั
เพราะทุกอย่างราบรื่นเกินไปศศิรินทร์จึงรู้สึกแปลก ๆ ทว่ามันก็เป็นเรื่องที่แปลกจริง ๆ จะไม่มีเรื่องมันเป็นไปไม่ได้หรอกและศศิรินทร์ก็รู้ทันทีว่าไม่ง่ายก็ตอนที่พลอยขวัญเดินเข้ามาหาในตอนที่เธออยู่เพียงลำพัง เด็กสาวยังคงมีท่าทีเชิด ๆ อยากกับนางร้ายในละครก่อนจะเอ่ยออกมา “คิดว่าทุกอย่างราบรื่นแล้วเหรอ”“คิดผิดแล้ว เพราะจริง ๆ แล้วน่ะพี่ไม่ได้หัวใจพี่ซันหรอก”“หมายความว่ายังไง”“จะบอกให้เอาบุญก็แล้วกัน พี่ซันน่ะมีคนที่รักปักใจมาตั้งแต่มัธยมแล้ว พี่อะแค่ตัวแทนเท่านั้นล่ะ” พลอยขวัญพูดแล้วก็ยกยิ้มอย่างเป็นต่อ “ไม่เชื่อก็ลองเปิดดูในลิ้นชักโต๊ะพี่ซันซิ ในนั้นน่ะมีความในใจพี่ซันส่งถึงรักปักใจของเขาอยู่ เข้าใจไว้ซะว่าพี่ก็แค่ตัวแทน ไม่ใช่คนในใจ”พูดแค่นั้นพลอยขวัญก็จากไป ศศิรินทร์พยายามไม่คิดอะไรแต่สุดท้ายก็เก็บเ
บ้านของรังสิมันตุ์อยู่กับอย่างเรียบง่าย พ่อของเขายังไม่เกษียณจึงยังไปทำงานพร้อมกับน้องสาวฝาแฝดของเขาอยู่ ส่วนแม่นอกจากจะไปงานต่าง ๆ ตามที่ถูกเชิญแล้วก็ยังเป็นชาวนาสวนผสม ก่อนจะไปตลาดเพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหารแม่แสงดาวก็พาเธอแวะไปดูข้าวในนาของท่านที่กำลังอยู่ในช่วงตั้งท้อง“แต่กี้แม่โตกับแม่แล่นเล่นกันอยู่แถวนี่ล่ะ ยามหน้านากะดำนานำกัน ยามเกี่ยวข้าวกะเกี่ยวซ้อยกัน(เมื่อก่อนแม่เรากับแม่วิ่งเล่นกันอยู่แถวนี้แหละ ถึงฤดูทำนาก็ดำนาด้วยกัน ถึงเวลาเกี่ยวก็เกี่ยวช่วยกัน)” การพูดคุยกับแม่ของคนรักหญิงสาวคิดว่าคงจะไม่พ้นเรื่องวัยเด็กของเขา ทว่าเรื่องเล่าครั้งแรกของคุณนายแสงดาวไม่ใช่เรื่องของรังสิมันตุ์เหมือนที่ศศิรินทร์คิดแต่เป็นเรื่องของแม่ ๆ ที่ท่านดูจะคิดถึงเป็นอย่างมาก“ตอนน้อย ๆ แม่โตติดแม่คัก ไปไสกะไปนำกัน บางมื้อกะพากันไปป่วนผู้ใหญ่จนถืกไล่ตีนำกัน(ตอนเล็ก ๆ แม่เราติดแม่มาก ไปไหนก็ไปด้วยกัน บางวันก็พากันไปป่วนผู้ใหญ่จนถูกไล
“ฉันว่าแล้วว่าสุดท้ายแกก็ต้องใจอ่อน” เสียงเจือยแจ้วของภาสกรที่ดังอยู่ไม่ได้มีท่าทีอ่อนอกอ่อนใจ หรือขัดใจกับการตัดสินใจของคนเป็นเพื่อน กลับกันภาสกรกลับยิ้มภูมิใจกับความเป็นศศิรินทร์ที่ใจดีกับคนที่ควรใจดี ถ้าศศิรินทร์ให้อภัยและช่วยเหลือคนอย่างคณิตา อันนั้นเขาคงเคือง แต่กับสุนิสา หลังจากได้ฟังถึงเหตุและผลที่ทำให้เธอคนนั้นทำเรื่องต่าง ๆ ไปแล้วก็เห็นใจอยู่เหมือนกัน คนที่ผิดโดยไม่ได้ตั้งใจก็ควรได้โอกาส ถูกมั้ยล่ะแต่คนที่หลอกใช้และยุยงนั่นสิที่ไม่สมควรให้อภัย“แต่กับนังตัวยุแยง แกห้ามใจอ่อนเชียวนะโซ่ ฟ้องมันให้หนักเลย” ไม่วายโยงไปถึงคณิตาที่มีส่วนยุแยงสุนิสา กับสุนิสาเพื่อนจะให้อภัยเขาไม่ว่า แต่กับนทีที่คิดจะเลื่อนขาเก้าอี้รวมไปถึงคนอย่างคณิตา...ปล่อยไว้ไม่ได้“คราวนี้ฉันไม่อยู่เฉย ๆ แน่นอน ฉันจะฟ้องนทีให้ถึงที่สุด ส่วนคณิตา...ในเมื่อสาวเจ้ายุแยง เป่าหูคนอยู่ลับหลัง ฉันก็จะค่อย ๆ ตัดท่อน้
ตาคู่คมจดจ้องมองเรือนกายเล็กที่หลับไหลไร้สติมีสายระระโยงระยางรอบกายอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวดพลางกุมมือเล็กเอาไว้ด้วยดวงตาแดงก่ำ“ตื่นขึ้นมาได้มั้ยโซ่ เราคิดถึงเธอเหลือเกิน”“อึก” เสียงสะอื้นจากกฤติกาและพิชญาดาไม่ได้เข้าหูของรังสิมันตุ์แม้แต่น้อย เขาแนบหน้าลงกับนิ้วเรียวสวยที่ไร้ความเคลื่อนไหวปากก็พึมพำเรียกชื่อหญิงสาวไม่ยอมหยุดจนคนที่ลอบสังเกตการอยู่อดสงสารไม่ได้ ก็น่าสงสารอยู่หรอกนะที่หญิงคนรักมีสภาพเจ้าหญิงนิทราแบบนี้ แต่ก็สมควรแล้ว...ตาย ๆไปซะเลยก็ดีท่ามกลางความโศกเศร้ากระแสข่าวใหญ่ บิ๊กบอสแห่งเดอะชายน์ เอนเตอเทนเมนต์ประสบอุบัติเหตุใหญ่จนอยู่ในอาการโคม่าก็แพร่ว่อนโลกโซเชียล ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั้งทางดีและไม่ดี มีทั้งข่าวว่าอาการไม่ได้หนักอย่างที่เป็นข่าวและข่าวว่าบิ๊กบอสของชายน์ได้จากไปแล้วข่าวที่ออกมาทำให้ทั้งบริษัทปั่นป
ความสัมพันธ์ที่เหมือนจะเร็วเกินไปเหมือนจะค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นหลังจากที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันจริงจัง พอนึกย้อนกลับและถามตัวเองว่าคิดผิดหรือเปล่าที่เลือกรังสิมันตุ์มาเป็นคู่ชีวิตที่จะจับมือกันไปตลอด ในตอนนี้ไม่มีความลังเลอีกแล้วและคำตอบของเธอก็คือ...เธอคิดไม่ผิดเลยที่เลือกเขาเผลอแป๊บเดียวก็เดินด้วยกันมาได้กว่าสองเดือนแล้ว แต่การเดินทางด้วยกันตลอดระยะเวลาสองเดือนกลับไม่เคยมีการทะเลาะหรือความคิดเห็นไม่ตรงกันร้ายแรงเกิดขึ้น รังสิมันตุ์ในเวลาทำงานเขานิ่งสุขุม และค่อนข้างจะดุสมกับที่เป็นพี่รองของทีมซึ่งมีภาวะผู้นำรองลงมาจากคนเป็นพี่ใหญ่ ส่วนเวลาอยู่ด้วยกันเขากลับทำตัวเป็นเหมือนเด็กชายที่อยู่ในโอวาทบ้าง เกเรบ้าง แต่ก็ไม่เคยขัดใจจริงจังเวลามีเรื่องอะไรเขามักจะให้เธอเป็นคนตัดสินใจและออกความเห็นบ้าง แต่ก็ไม่เคยขัดใจหรือมีท่าทีต่อต้านเลยแม้แต่น้อย ออกจะยอมให้เธอหลายส่วนทำเอาเพื่อนร่วมงานเขาแทบจะหาว่าพี่รองกลัวเมียไ