LOGINมาถึงเมืองหางก็เป็นตอนเที่ยงแล้วทุกคนเดินทางไปที่โรงแรมเพื่อเช็กอินเพื่อความสะดวกและความปลอดภัย ทุกคนจึงพักอยู่ชั้นเดียวกัน ห้องของโม่ไป๋อยู่ติดกับห้องของเสิ่นชิงซูมื้อเที่ยงก็กินที่ห้องอาหารของโรงแรมเลยตอนที่กินข้าว โม่ไป๋ก็หายตัวไป“โม่ไป๋ไปไหนเหรอครับ?” ทนายฟางเอ่ยถาม“เขาไปกินที่ห้องค่ะ” เสิ่นชิงซูพูดขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้น ทนายฟางก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้“อ้อ ลืมไปเลย บนหน้าของเขามีแผล ไม่สะดวกจริง ๆ ด้วยสินะครับ”พวกเขายังไม่ทันกินข้าวเสร็จ โม่ไป๋ก็มาถึงคงเป็นเพราะเมื่อเช้าถูกเสิ่นชิงซูตำหนิ ตอนนี้ประสิทธิภาพของโม่ไป๋จึงสูงมากพอกินข้าวเสร็จ ที่เมืองหางฝนก็เริ่มตกผู้จัดการจางซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการเจรจาโครงการนี้จากฝั่งผู้จัดงาน ขับรถตู้มารับพวกเขาสถานที่ที่พวกเขาจะไปคือสถานสงเคราะห์เด็กแห่งหนึ่งในเมืองหาง ที่นั่นมีเด็กที่มีความบกพร่องแต่กำเนิดอยู่มากมาย หรือที่เรียกกันว่า ‘เด็กแห่งดวงดาว’เพราะเด็กเหล่านี้เป็นกลุ่มคนพิเศษ สถานสงเคราะห์เด็กแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า ‘สถานสงเคราะห์เด็กฟ่านซิง’สถานสงเคราะห์เด็กตั้งอยู่บนกลางหุบเขา หากขับรถออกจากโรงแรมต้อง
สิบโมงเช้า ฉือกั่วเอ๋อร์เคาะประตูห้องทำงานของประธาน แล้วพาคนที่มาสัมภาษณ์งานบอดี้การ์ดส่วนตัวเข้ามาในห้องทำงาน“ประธานเสิ่น นี่คือคุณโม่ที่มาสัมภาษณ์งานบอดี้การ์ดส่วนตัวค่ะ”เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นชิงซูจึงเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารผู้ชายคนนั้นสูงมาก ฉือกั่วเอ๋อร์ที่สูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรพอไปยืนอยู่ข้าง ๆ เขาเธอก็ดูตัวเล็กน่าทะนุถนอมไปเลยสวมชุดกีฬาสีดำทั้งตัว สวมหน้ากากอนามัยและหมวกแก๊ปนอกจากดวงตาคู่หนึ่งแล้ว ก็ปกปิดมิดชิดไปหมดฉือกั่วเอ๋อร์ยื่นเอกสารสัมภาษณ์ในมือไปตรงหน้าเสิ่นชิงซูเสิ่นชิงซูก้มหน้ามองเอกสารสัมภาษณ์ในมือโม่ไป๋ อายุสามสิบแปดปี เคยทำงานที่บริษัทรักษาความปลอดภัยนานาชาติเป็นเวลาสิบปี ต่อมาเกษียณเพราะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ฝีมือยอดเยี่ยม โสด สามารถสแตนด์บายได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่รูปถ่ายในเอกสารสัมภาษณ์เป็นรูปเมื่อสิบปีก่อนเสิ่นชิงซูเงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ใบหน้าของชายคนนั้น “รบกวนถอดหน้ากากอนามัยออกให้ฉันดูหน่อยค่ะ”ชายคนนั้นมองเธอ น้ำเสียงทุ้มต่ำและหนักแน่น “บนหน้าผมมีแผลไฟไหม้ กลัวว่าจะทำให้คุณตกใจครับ”แผลไฟไหม้?เสิ่นชิงซูขมวดคิ้ว “ใ
เสิ่นชิงซูตอบรับเบา ๆจิ้นเชวี่ยมองเธอ เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผมยังมีธุระ ขอตัวก่อนนะ คุณอยู่คนเดียวได้ไหม?”“ฉันอยู่ได้ค่ะ” เมื่อเสิ่นชิงซูเห็นว่าเขาไม่ดื้อรั้นอีก ท่าทีของเธอก็ไม่ได้เย็นชามากนัก “จิ้นเชวี่ย ครั้งนี้ขอบคุณคุณนะคะ”ไม่ว่าจะยังไง ความปรองดองภายนอกจะทำลายไม่ได้ไม่อย่างนั้นถ้าหากจิ้นเชวี่ยโกรธขึ้นมาแล้วทำอะไรที่เป็นอันตรายกับลูกทั้งสองของเธออีก“กับผมไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้หรอก” จิ้นเชวี่ยยิ้มอย่างจนใจ แล้วพูดต่อ “ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ผมขอตัวก่อนนะ”หลังจากจิ้นเชวี่ยออกไปไม่นาน เฉียวซิงเจียก็มาถึงเฉียวซิงเจียบอกว่าจิ้นเชวี่ยเป็นคนติดต่อเธอ บอกว่าเธอเป็นลมหมดสติแล้วกำลังให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาลเสิ่นชิงซูรู้สึกจนใจเล็กน้อย “เธอยังต้องดูแลเสี่ยวซิงเฉิน จะมาหาฉันถึงเมืองหางที่ไกลขนาดนี้ทำไม?”“ทำไม? เธอบอกสิว่าฉันมาทำไม? เธอเป็นลมอยู่ที่เมืองหางคนเดียว ข้างกายก็ไม่มีเพื่อนที่คอยดูแลเอาใจใส่ ฉันจะไม่ร้อนใจได้ยังไง?”ในใจของเสิ่นชิงซูซาบซึ้งมาก เธอตบมือของเฉียวซิงเจียเบา ๆ “ขอบคุณนะ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เป็นไร”“ยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีก! หน้าเธอซีดเหมือนผีแล้ว!
เสิ่นชิงซูพูดจบก็ลุกขึ้นยืนพลางพูดว่า “ดึกมากแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ”เธอเดินตรงออกไปนอกประตู โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าสายตาของผู้ชายที่อยู่ข้างหลังเปลี่ยนไปในทันทีวินาทีต่อมา เสิ่นชิงซูก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ท้ายทอย แล้วก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลยจิ้นเชวี่ยประคองร่างที่อ่อนปวกเปียกของเธอไว้ ความบ้าคลั่งที่เขาอดทนอดกลั้นไว้ในดวงตาปรากฏออกมาอย่างสมบูรณ์ในวินาทีนี้“อาซู คุณไม่เชื่อฟัง ผมก็ทำได้แค่ให้คุณลำบากไปก่อนแล้ว”......ระหว่างที่สติเลือนลาง เสิ่นชิงซูรู้สึกโคลงเคลงเล็กน้อยการรับรู้ทางกายยังไม่ฟื้นคืนมาเต็มที่ แต่สติของเธอก็มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นหลังจากพยายามอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ขมวดคิ้วลืมตาขึ้นภายในรถที่มืดสลัว แสงและเงาจากไฟถนนด้านนอกสาดผ่านเข้ามาเป็นระยะดูเหมือนเธอจะอยู่ในรถของใครบางคน?เสิ่นชิงซูพยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่สุดท้ายก็ต้านทานไม่ไหวและหมดสติไปอีกครั้ง......บนถนนยามดึก มีรถไม่มากนักในขณะนั้น มีรถสีดำคันหนึ่งขับตามหลังรถของจิ้นเชวี่ย โดยรักษาระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลยี่สิบนาทีต่อมา รถของจิ้นเชวี่ยขับเข้าไปในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของโรงพยาบาล
เมื่อก่อนนี้เธอเห็นจิ้นเชวี่ยเป็นผู้มีพระคุณด้วยความจริงใจมาตลอด ต่อมาเมื่อคุ้นเคยกันแล้ว เธอก็ทะนุถนอมจิ้นเชวี่ยในฐานะเพื่อนคนหนึ่งแต่เธอไม่เคยคิดเลยว่าจิ้นเชวี่ยที่ดูอ่อนโยนและเป็นสุภาพบุรุษคนนั้นจะเข้าหาเธอโดยมีจุดประสงค์แอบแฝงกระทั่งวิชาการแพทย์อันยอดเยี่ยมของเขาก็สามารถกลายเป็นอาวุธทำร้ายคนได้ทุกเมื่อเสิ่นชิงซูรู้สึกผิดหวัง แต่ยิ่งกว่านั้นคือความหวาดกลัวเธอไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วจิ้นเชวี่ยยังซ่อนอะไรไว้อีกมากเท่าไหร่จิ้นเชวี่ยที่หยั่งลึกเกินคาดเดาเช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากความรักและการดูแลที่เขาพูดออกมา เธอจะกล้าเชื่อได้ยังไง?จิ้นเชวี่ยหยิบแหวนเพชรหมั้นวงนั้นออกมาอีกครั้งภายใต้แสงไฟ แหวนวงนั้นส่องประกายเจิดจ้าจิ้นเชวี่ยยื่นแหวนไปตรงหน้าเสิ่นชิงซู “อาซู ตอบตกลงผมเถอะนะ ให้โอกาสผมได้ปกป้องคุณอย่างถูกต้องชอบธรรม”เสิ่นชิงซูทนไม่ไหวแล้วเธอหลับตาลง หายใจเข้าลึก ๆ แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอมองจิ้นเชวี่ยด้วยสีหน้าจนใจ“จิ้นเชวี่ย ฉันกับคุณเป็นได้มากที่สุดก็แค่เพื่อน ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะก้าวหน้าไปกว่านี้”“ทำไมล่ะ?” จิ้นเชวี่ยมองเธอ ในแววตาอ่อนโยนนั้นเต็มไ
เสิ่นชิงซูล้วงโทรศัพท์ออกมาจองตั๋วเครื่องบินหลังจองตั๋วเรียบร้อยแล้ว เธอก็โทรออกอีกสองสาย กำชับเรื่องงานนิดหน่อยขณะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็พบว่าราวกับคนขับรถจะขับมาผิดทาง“คนขับ เหมือนถนนเส้นนี้จะไม่ถูกต้องนะ?”คนขับไม่ตอบโต้ใด ๆเสิ่นชิงซูพลันตระหนักได้ว่าไม่ชอบมาพากล เธอเปิดโทรศัพท์แล้วเปิดแอปเรียกรถเห็นได้ชัดว่าตำแหน่งที่แสดงเป็นคนละทางกับทิศทางของสนามบินที่เธอต้องการจะไปเธอกำลังคิดจะโทรแจ้งตำรวจ จู่ ๆ ภายในรถก็มีกลิ่นแสบจมูกสายหนึ่งไม่นานเสิ่นชิงซูก็หมดสติไปคนขับมองผู้หญิงที่หมดสติไปแล้วในที่เบาะด้านหลัง ก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมาต่อสายไปยังเบอร์หนึ่ง “เธอหมดสติแล้ว ผมจะพาเธอไปส่งเดี๋ยวนี้”......“อาซู? อาซู!”เสิ่นชิงซูพลันลืมตาขึ้น เบื้องหน้าเป็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยสีหน้ากระวนกระวายของจิ้นเชวี่ยเธอลุกขึ้นนั่งพรวด แล้วหันหน้าไปมองรอบ ๆ ทีหนึ่ง“ที่นี่ที่ไหน?”“เราอยู่ที่โรงแรม” น้ำเสียงของจิ้นเชวี่ยอ่อนโยน “คุณเกือบถูกคนร้ายพาตัวไปแล้ว โชคดีที่ตอนนั้นผมไปถึงทันเวลา ไม่อย่างนั้นตอนนี้อาจจะไม่รู้แล้วว่าคุณถูกพาตัวไปที่ไหน”เสิ่นชิงซูมองเขา ในใจสงสัยคำพูดที่เข







