LOGINประเทศเอ็น สนามบินเซิ่งตูเครื่องบินส่วนตัวลงจอดประตูห้องโดยสารเปิดออกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินพยุงเสิ่นชิงซูเดินออกมาดวงตาของเสิ่นชิงซูมองไม่เห็น สัมผัสได้เพียงลมที่พัดปะทะใบหน้าซึ่งมีความร้อนอบอ้าวประเทศในเขตร้อนแห่งนี้ อุณหภูมิตอนกลางวันมักจะสูงเสมอกวนเยว่เป็นตัวแทนของจิ้นเชวี่ยมาเพื่อรับเสิ่นชิงซูพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินพยุงเธอขึ้นรถ แล้วปิดประตูกวนเยว่ขับรถในรถเงียบมาก เสิ่นชิงซูก็สงบนิ่งเช่นกันกวนเยว่มองเสิ่นชิงซูผ่านกระจกมองหลังหลายครั้ง เห็นเพียงเธอนั่งเงียบ ๆ ไม่ได้มีท่าทีว่าถูกบีบบังคับเลยแม้แต่น้อยแต่จิ้นเชวี่ยทำอะไรกับเสิ่นชิงซู กวนเยว่ในฐานะลูกน้องที่จิ้นเชวี่ยไว้ใจที่สุดย่อมรู้ดีอยู่แล้วการที่เสิ่นชิงซูสามารถสงบนิ่งได้ขนาดนี้ กวนเยว่รู้สึกประหลาดใจจากสนามบินถึงคฤหาสน์ส่วนตัวเซิ่งตูใช้เวลาเดินทางเกือบสี่สิบนาทีสภาพจิตใจของเสิ่นชิงซูไม่ค่อยดีนัก ช่วงครึ่งหลังเธอพิงพนักพิงแล้วง่วงซึมรถขับเข้ามาในคฤหาสน์รถหยุดลงประตูรถถูกเปิดออกเสียงของกวนเยว่ดังขึ้น “คุณเสิ่น พวกเราถึงแล้วครับ”เสิ่นชิงซูตื่นขึ้นมา ยกมือขึ้นนวดขมับจากนั้น เธอก็วางมือท
อาลี่หัวเราะเบา ๆ “คุณเสิ่นรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าโม่ไป๋คือคุณฟู่?”“ไม่นานมานี้ค่ะ” ในใจของเสิ่นชิงซูค่อนข้างร้อนรน “อาลี่ ฟู่ซือเหยียนไปหาจิ้นเชวี่ยแล้วใช่ไหมคะ?”“เขาตั้งใจจะไปครับ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ไป เขายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน จัดการเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะไป”อาลี่พูดอย่างตรงไปตรงมาเสิ่นชิงซูก็เข้าใจแล้ว“คุณหวังว่าฉันจะห้ามเขาได้ใช่ไหมคะ?”อาลี่มองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ในใจก็ชื่นชมเช่นกัน“คุณเสิ่นสมแล้วที่เป็นคนที่ท่านเจ็ดของเรามองด้วยความชื่นชม คุณฉลาดมาก และก็ใจเย็นมากด้วย”“อาลี่ ถ้าเลือกได้ ฉันหวังว่าฉันจะไม่เคยเจอพวกเขาเลย”ขอบตาของเสิ่นชิงซูแดงก่ำเล็กน้อย “คืนนั้น ฉันออกมาจากสถานีตำรวจ เพราะบังเอิญช่วยจิ้นเชวี่ยไว้ หลังจากนั้น ระหว่างทางกลับบ้านเพราะมัวแต่คิดอะไรเพลิน ๆ ก็เลยข้ามถนนตอนไฟแดง ถูกรถของฟู่ซือเหยียนเฉี่ยวจนบาดเจ็บ ฟู่ซือเหยียนส่งฉันไปโรงพยาบาล ตอนนั้นเขาให้นามบัตรฉันเพื่อคุยเรื่องค่าเสียหาย ฉันเพราะเห็นว่าเขาเป็นทนาย ก็เลยเกิดความคิดที่จะร่วมมือทำข้อตกลงกับเขา...”อาลี่ถอนหายใจ “บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตา”“พี่น้องต่างแม่คู่นี้ ฉ
มาถึงเมืองหลวงก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้วตลอดทางถือว่าราบรื่นดีท่านเจ็ดส่งอาลี่ไปรับพวกเขาที่ท่าเรืออาลี่เห็นเสิ่นชิงซูที่ผอมแห้งและซูบซีดในอ้อมแขนของโม่ไป๋ คนที่เคยเห็นเหตุการณ์มานักต่อนักอย่างเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตกใจออกมาเล็กน้อย“คุณเสิ่นนี่เป็นอาการพิษเข้าตับและไตนี่นา”เสิ่นชิงซูง่วงงุน เหมือนจะตื่นแต่ก็ตื่นไม่เต็มที่ระหว่างที่สติเลือนลาง เธอเหมือนจะได้ยินอาลี่กับโม่ไป๋กำลังคุยเรื่องเธออยู่เธออยากจะฟังให้ชัดขึ้นอีกหน่อย แต่ก็ทนความง่วงไม่ไหว สุดท้ายก็หลับสนิทไปอีกครั้งอาลี่พาพวกเขาไปยังบ้านพักส่วนตัวหลังหนึ่งในชื่อของท่านเจ็ด หลันย่วนหลันย่วนมีทีมรักษาความปลอดภัยส่วนตัว ปลอดภัยมากโม่ไป๋วางเสิ่นชิงซูลงบนเตียงในห้องนอนใหญ่ชั้นสองอาลี่เดินเข้ามา นั่งลงข้างเตียงเขาช่วยจับชีพจรให้เสิ่นชิงซูชีพจรของเสิ่นชิงซูเป็นไปตามที่เขาคาดเดาสีหน้าของอาลี่เคร่งขรึม “พิษเข้าสู่ตับแล้ว”หัวใจของผู้ชายคนนั้นกระตุกอย่างรุนแรง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงอย่างยากลำบาก “มีวิธีแก้ไหม?”อาลี่ส่ายหน้า “คนที่วางยาเชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยา ใช้หลักการที่ยาต้านกัน ค่อย ๆ ให้ยาทุกวัน ส
เสี่ยวเนี่ยนอัน “แม่ครับ แม่ไปทำงานต่างเมืองเหนื่อยไหมครับ?”อาหยวน “โฮ่งๆ!!”เสิ่นชิงซูฟังอยู่ ปลายจมูกแสบร้อนอย่างรุนแรง ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาเอ่อคลอในทันทีน้ำตาไหลริน เธอเม้มปากสูดจมูก พยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังดูผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย“แม่ก็คิดถึงพวกหนูเหมือนกัน แม่ไปทำงานต่างจังหวัดไม่เหนื่อยหรอก แค่งานยังไม่เสร็จเร็วขนาดนั้น แม่ยังต้องรออีกสักพักถึงจะกลับไปได้”เสี่ยวอันหนิงมุ้ยปาก น้ำเสียงเล็ก ๆ ของเธอเจือไปด้วยความผิดหวังในทันที “แล้วแม่อีกนานแค่ไหนถึงจะกลับมาได้คะ?”เสิ่นชิงซูพูดว่า “เรื่องนี้ยังไม่รู้เลยจ้ะ แต่แม่จะรีบให้เร็วที่สุดนะ”เสี่ยวเนี่ยนอัน “แม่อยู่ข้างนอกต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ ทำงานอย่าหักโหมเกินไป”เสิ่นชิงซูซาบซึ้งใจอย่างมาก “ได้จ้ะ แม่จะดูแลตัวเองดี ๆ เนี่ยนอันไม่ต้องเป็นห่วงนะ”ดูเหมือนอาหยวนจะไม่ยอมถูกเมิน จึงเห่าใส่โทรศัพท์หลายครั้งเสิ่นชิงซูยิ้ม “อาหยวน แกเป็นพี่ชายนะ ตอนที่แม่ไม่อยู่ แกต้องดูแลน้องชายกับน้องสาวแทนแม่นะ ได้ไหม?”อาหยวน “โฮ่งๆ!!”เสิ่นชิงซูมีเรื่องมากมายอยากจะพูดกับลูก ๆแต่เธอก็กลัวว่าลูก ๆ จะสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอดัง
หลังจากวันนั้น เสิ่นชิงซูก็เงียบขรึมมากขึ้นก่อนหน้านี้ตอนที่ชิวเม่ยดูแลเธอ เธอยังคุยเล่นกับชิวเม่ยบ้าง แต่ตอนนี้เธอกลับเงียบขรึมลงเรื่อย ๆบางครั้งเธอก็ตื่นอยู่ แต่ก็นอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียง บางครั้งก็นั่ง ‘มอง’ ออกไปนอกหน้าต่าง ฟังเสียงคลื่นแล้วเหม่อลอยทั้งชิวเม่ยและโม่ไป๋ต่างสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอชิวเม่ยพยายามหาเรื่องคุยกับเธออย่างกระตือรือร้น แต่เสิ่นชิงซูมักจะใจลอย บางครั้งคำตอบก็ไม่ตรงกับคำถามโม่ไป๋รู้ดีว่าเป็นเพราะการปิดบังของเขาที่ทำให้ความไว้วางใจและความรู้สึกปลอดภัยในใจของเสิ่นชิงซูพังทลายลงโดยสิ้นเชิงเขาพยายามจะสื่อสารกับเสิ่นชิงซูแต่เสิ่นชิงซูก็ไม่สนใจเธอเริ่มปิดกั้นตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆตอนแรกก็แค่ไม่ยอมสื่อสาร ต่อมาเธอก็เริ่มเข้าสู่สภาวะหลับใหลไม่แยกกลางวันกลางคืนโม่ไป๋ตระหนักว่าอาการของเธอไม่สู้ดีนักหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้เช้าวันนั้น เสิ่นชิงซูตื่นขึ้นมา โม่ไป๋ก็ถืออาหารเช้าเข้ามา“ตื่นแล้วเหรอครับ กินอาหารเช้าพอดีเลย”เสิ่นชิงซูไม่พูดอะไรโม่ไป๋นั่งลงข้างเตียง หยิบช้อนตักโจ๊กถั่วแดงจากในชามขึ้นมาหนึ่งช้อน ยื่นไปที่ปากของเส
โม่ไป๋มีเรื่องปิดบังเธอชิวเม่ยเห็นเสิ่นชิงซูไม่พูด ก็เลยถามว่า “คุณเสิ่น เป็นอะไรไปคะ?”“ฉันไม่เป็นไร” น้ำเสียงของเสิ่นชิงซูเรียบเฉย “แถวนี้มีคนนอกเข้ามาบนเกาะบ่อยไหม?”“น้อยมากค่ะ” เสี่ยวชิวพูด “เกาะของเราค่อนข้างห่างไกลน่ะค่ะ ไม่ค่อยมีคนมา”เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นชิงซูก็ไม่ถามอะไรต่อ “ฉันเหนื่อยหน่อยแล้ว พาฉันกลับไปเถอะ”“ได้ค่ะ”ชิวเม่ยพาเสิ่นชิงซูกลับไปที่ห้องเสิ่นชิงซูล้มตัวลงนอนบนเตียง แล้วหลับตาลงชิวเม่ยเห็นว่าเธอเหนื่อยจริง ๆ ก็ช่วยห่มผ้าให้เธอ แล้วหันหลังเดินออกจากห้องไปเสียงปิดประตูดังขึ้นเสิ่นชิงซูค่อย ๆ ลืมตาขึ้นดวงตาทั้งสองข้างบอดสนิท โลกที่มืดมิด เธอทำอะไรไม่ถูกแม้แต่การเดินออกจากห้องนี้คนเดียวก็ยังเป็นปัญหาเธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงลูกทั้งสองคนไม่รู้ว่าพวกเขาจะคิดถึงแม่ไหม จะร้องไห้งอแงหาแม่เพราะติดต่อเธอไม่ได้หรือเปล่า...เสิ่นชิงซูทั้งสับสนและสิ้นหวังไม่ว่าจะเป็นฟู่ซือเหยียนในอดีต หรือจิ้นเชวี่ยในปัจจุบัน ก็สามารถทำให้ชีวิตของเธอวุ่นวายได้อย่างง่ายดายเธอเหนื่อยมากจริง ๆ.........โม่ไป๋กลับมาถึงเกาะจินอวี๋ในเช้าวันรุ่งขึ้นตอนนั้น เสิ่นชิงซู







