คำถามของวารีทำให้เกิดความเงียบงันชั่วขณะ มุกดายืนนิ่ง มือที่ยื่นถุงผ้าให้อีกฝ่ายยังคงค้างไว้แบบนั้น วารีไม่คิดจะรับมันไว้ กลับมองเธอด้วยสายตาที่ซ่อนความเจ็บปวดไว้มากมาย
“ตอบมาสิว่าจำได้รึเปล่า เรื่องเก่า ๆ ของเราน่ะ หรือว่าไปอยู่กรุงเทพนานจนสมองกลับ ความจำเสื่อมหมดแล้ว หื้ม”
มุกดาถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยแบบนั้น เธอกวาดสายตามองรอบตัวเห็นโต๊ะวางของตัวหนึ่งวางอยู่ใกล้ ๆ จึงเดินไปยังมุมนั้นแล้ววางถุงผ้าลงบนโต๊ะ
“ถ้าพี่คิดว่ามุกสมองกลับหรือความจำเสื่อม พี่ก็ไม่ต้องมาถามหาเรื่องเก่า ๆ หรือขุดคุ้ยอะไรอีก อย่าลืมกินข้าวนะคะเดี๋ยวจะปวดท้องเอา มุกกลับแล้วค่ะ”
มุกดาวางถุงผ้าลงบนโต๊ะตัวนั้นแล้วเตรียมจะหันหลังกลับ แต่ไม่ทันจะได้เดินออกไปไกล วารีก็ก้าวมาประชิดตัวแล้วคว้าข้อมือเธอไว้
“เอาถุงผ้านี่กลับไปด้วย พี่ไม่กินอาหารฝีมือเธอ”
มุกดาหันกลับมามองต้นเสียงเมื่อได้ยินแบบนั้น เป็นเรื่องยากมากกับการพยายามทำใจเย็นกับคนอย่างวารี แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องทำ เพราะหากเธอเป็นน้ำมันไปด้วย และอีกคนที่มีกองเพลิงเดือดดาลในใจอยู่แล้ว การระเบิดอารมณ์ใส่กันคงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
“โอเคค่ะ ถ้าพี่ไม่กินงั้นมุกเอากลับ เดี๋ยวเอาไปให้คนงานในฟาร์มก็ได้ ไหน ๆ ก็ตั้งใจทำมาแล้ว”
“เหอะ คนอย่างมุกน่ะเหรอจะตั้งใจทำอะไร โดยเฉพาะกับเรื่องของพี่ ไม่มีทางหรอก มุกเกลียดพี่จะตาย”
“เลิกได้เลิกนะ นิสัยชอบประชดเนี่ย จะกินไม่กิน พูดมา มุกไม่มีเวลามาเถียงด้วยนะ เดี๋ยวจะกลับไปช่วยแม่แววที่ร้านอาหารอีก”
วารีเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาของเธอวูบไหวพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงผิดปกติ
ทั้งที่เคยคิดว่าเรื่องราวระหว่างกันมันปิดฉากลงไปแล้ว แต่ทำไมเมื่อมุกดามายืนอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกทั้งหมดมันเหมือนจะหวนกลับมาอีก
เธอไม่ได้ต้องการแบบนี้ ไม่ได้ต้องการรื้อฟื้นหรือสานต่ออะไรแม้แต่น้อย
วารียกข้อมือซ้ายดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงครึ่งแล้ว ช่วงบ่ายร้านอาหารมักจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน และมักจะลากยาวไปจนหกโมงเย็นถึงช่วงค่ำ
“แล้วกินข้าวรึยัง”
“ถามใครคะ ถามมุกเหรอ” มุกดาหันนิ้วชี้เข้าหาตัวเอง ตาโตราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ตรงนี้มีแค่เราสองคน พี่คงถามหมาแถวนี้มั้ง”
“พี่วา!”
“ว่าไง กินข้าวรึยัง”
“ยังค่ะ เดี๋ยวกลับไปกินที่ร้าน”
“งั้นก็กินด้วยกัน กลับไปก็ไม่ได้กินหรอก ที่ร้านน่ะลูกค้าเยอะตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงค่ำโน่นแหละ”
“แน่ใจเหรอคะที่จะกินข้าวด้วยกัน มุกไม่อยากทำให้พี่กินข้าวแบบไม่มีความสุขหรอกนะ”
“อย่าพูดมาก นั่งลงกินข้าวด้วยกัน พี่เองก็มีงานต้องไปทำเหมือนกัน”
วารีเปิดถุงผ้าออกดูและหยิบกล่องพลาสติกสองใบออกมา กล่องหนึ่งเป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีสองช่องด้านในที่ใส่ข้าวสวยโปะด้วยไข่เจียว และอีกช่องเป็นเนื้อแตงโมสีสวยพร้อมทาน ส่วนอีกกล่องเป็นกล่องกลมใบเล็กใส่แกงไตปลา
สายตาของวารีที่มองกล่องข้าวที่มุกดาเตรียมมาให้เต็มไปด้วยความดีใจ แม้ว่าคำพูดของเธอจะบ่งบอกว่าไม่อยากรับมื้อเที่ยงจากอีกฝ่าย ทว่าสายตาที่มองดูอาหารตรงหน้ากลับเต็มไปด้วยความดีใจเหลือเกิน
เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่า วารีชอบหรือไม่ชอบอะไร นอกจากแม่แล้ว คนเดียวที่เคยรู้ใจเธอที่สุดก็คือมุกดา
มื้ออาหารมื้อแรกของทั้งคู่หลังจากไม่เจอกันนานนับสิบปี เริ่มต้นขึ้นที่โรงเรือนในฟาร์มแห่งนี้
มุกดานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กินข้าวเงียบ ๆ ทว่าคนตรงหน้ากลับสังเกตท่าทีของเธอตลอดเวลา
“ลาออกทำไม”
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถาม ขณะเดียวกันวารีก็ตักชิ้นเนื้อปลาในแกงไตปลาใส่ลงในจานข้าวของมุกดา
การกระทำนั้นทำเอาอีกฝ่ายแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักท้วง เพียงแต่พยักหน้าเบา ๆ แทนคำขอบคุณ
“แม่ลีไม่สบาย ป่วยเป็นมะเร็ง ที่ผ่านมาลูกจันทร์เป็นคนดูแล แต่มุกไม่อยากรบกวนน้องแล้ว น้องกำลังจะไปเรียนต่อมหาลัย มุกเลยตัดสินใจลาออกแล้วกลับมาดูแลแม่แทน”
น้ำเสียงของมุกดาขาดห้วงไปชั่วครู่ ความเศร้าในแววตาเธอฉายแววชัดจนวารีสังเกตมันได้ หน้าตาเหมือนแมวหยิ่งที่วารีเคยนิยามผู้หญิงคนนี้ไว้ดูจะเปลี่ยนไปแล้ว ความเงียบงันเกิดขึ้นชั่วขณะแล้วมุกดาก็เอ่ยขึ้นต่อ
“การไปอยู่กรุงเทพ ได้เป็นนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแบบที่ฝัน มันไม่ได้ทำให้มุกมีความสุขเหมือนที่คิดไว้ มุกก็ยังหาคำตอบเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกัน แต่ที่รู้แน่ ๆ คือ เวลามันไม่เคยย้อนกลับ มุกเลยอยากมาอยู่กับแม่”
“แม่ลีป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ ลูกจันทร์ไม่เห็นบอกพี่ แม่พี่ก็ไปหาอยู่บ่อย ๆ ยังบอกอยู่เลยว่าแม่ลีสบายดี แค่ดูเหงา ๆ อาจเพราะมุกไม่อยู่”
วารีเกิดความแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้รับรู้เรื่องนี้ ที่ผ่านมาถึงแม้เธอและมุกดาจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกัน แต่วารีก็โตพอที่จะแยกแยะเรื่องอื่นได้ กับคนในครอบครัวคนอื่นของมุกดาเธอก็ยังให้ความเคารพและช่วยเหลือเสมอเท่าที่จะช่วยได้
อีกอย่างบ้านมุกดามีลูกจันทร์คอยดูแล ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่แม่ลีเคยให้ความช่วยเหลือ และรับมาเลี้ยงตั้งแต่อายุสองขวบ ตอนนี้ลูกจันทร์โตเป็นสาวเต็มตัว แถมยังน่ารักสดใสสมวัย ทั้งคู่ค่อนข้างสนิทกัน แต่ลูกจันทร์ก็ไม่เคยบอกเธอเรื่องที่แม่ลีป่วย
“ปีที่แล้วค่ะที่แม่ป่วย และมุกเป็นคนสั่งลูกจันทร์เองว่าห้ามบอกใคร มุกไม่อยากให้ใครมาสงสารหรือช่วยเหลืออะไร เราสามคนยังดูแลกันได้ แต่เอาจริง ๆ ถ้าไม่มีลูกจันทร์บ้านเราก็อาจจะแย่”
วารีพยักหน้าเล็กน้อย เธอไม่ได้ตอบอะไร ทว่าในหัวกลับคิดอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด
“แล้วนี่น้องจะไปเรียนต่อเมื่อไหร่ล่ะ ไม่น่าเชื่อนะ แป๊บเดียวลูกจันทร์จะเข้ามหาลัยแล้ว”
“ค่ะ ลูกจันทร์โตเป็นสาวแล้ว น่ารักสมวัย น้องจะไปกรุงเทพเดือนหน้าค่ะ”
วารีพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้ถามอะไรกลับไปอีก มื้ออาหารของทั้งคู่ดำเนินไปเรื่อย ๆ เมนูอาหารของเที่ยงวันนี้แสนเรียบง่าย ทว่าบทสนทนาที่ได้พูดคุยกันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหนักหน่วงจนวารีทานข้าวได้ไม่มาก ทั้งที่เป็นเมนูโปรดของเธอ
“ทำไมกินข้าวไม่หมดคะพี่วา นี่ขนาดกินสองคนแล้วนะ”
มุกดาเอ่ยถามเมื่อเห็นวารีรวบช้อนส้อมไว้ข้างจานแล้วยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่ม
“ก็ไม่อร่อย กินไม่ลง”
“ถามจริง? แต่แม่แววบอกว่าอร่อยนะ แม่บอกฝีมือมุกยังเหมือนเดิมเลย”
“เหรอ งั้นก็คงไม่เหมือนเดิมสำหรับพี่คนเดียว แต่เอาเถอะ ยังไงก็ขอบคุณที่เอามาให้ แต่วันหลังไม่ต้อง พี่จัดการตัวเองได้”
มุกดาเห็นสายตาเฉยชาของอีกฝ่ายก็รีบเก็บกล่องข้าวใส่ถุงผ้าทันที
“เก่งจริง ๆ เก่งเหลือเกิน ทำอะไรได้เอง อยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากใคร ใครยื่นอะไรให้ก็ไม่เอาไม่อยากรับไว้ พี่นี่ไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ”
สิ่งที่มุกดาเอ่ยมาถูกต้องทุกอย่าง มันคือนิสัยที่แท้จริงของวารี และน้อยคนที่จะเข้าใจในสิ่งที่เธอเป็น เข้าใจความเข้มแข็งซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอกที่เธอฉาบมันเอาไว้
แต่ความรู้สึกลึก ๆ ภายในที่แท้จริง ใครเลยจะรู้ว่าวารีคนนี้กำลังรู้สึกอะไรบ้าง
“พี่ก็เป็นของพี่แบบนี้มาตั้งนานแล้ว”
“ค่ะ มุกรู้ว่าพี่เป็นแบบนี้มานานแล้ว งั้นพี่ก็ช่วยรู้เอาไว้ด้วยว่าหลังจากนี้ชีวิตพี่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
วารีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้น ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยนัก
“หมายความว่าไง”
“แม่แววคงไม่ได้บอกพี่ใช่มั้ยคะว่าหน้าที่ของมุกไม่ได้มีแค่ช่วยงานที่ร้านอาหาร แต่แม่ให้มุกมาเป็นผู้จัดการให้พี่ด้วย”
“ห้ะ!”
“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นค่ะ เรื่องจริงไม่จ้อจี้”
“บ้า ผู้จัดการอะไร พี่ไม่ใช่ดารา ไม่เอา!”
ชีวิตของวารีไม่เหมือนเดิมอย่างที่บอกจริง ๆ เพราะตั้งแต่มุกดาเข้ามาช่วยงานแม่แวว และมาที่ฟาร์มแทบทุกวัน เรื่องราวในแต่ละวันก็กลับมีสีสันมากขึ้น แต่ดูเหมือนวารีจะไม่ชอบสีสันที่ว่าเท่าไหร่นัก อย่างเช่นตอนนี้ที่มุกดากำลังรบเร้าเธอเพื่อขอติดตามไปดูกระชังหอยมุกกลางทะเลด้วย “มุกอย่าดื้อ พี่บอกแล้วไงว่ามันต้องลงแพไป ออกไปกลางทะเลโน่น ร้อนก็ร้อน กว่าจะกลับเข้ามาก็เที่ยง มุกทนไม่ไหวหรอก ไปอยู่ที่ร้านกับแม่ดีแล้ว” วารีพยายามอธิบายเหตุผลที่เธอไม่อยากให้อีกฝ่ายติดตามไป แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเปล่าประโยชน์ “มุกไม่กลัวแดด ไม่กลัวร้อน ไม่กลัวเหนื่อย ไม่กลัวหิว อีกอย่างแม่แววก็อนุญาตแล้วด้วย เพราะงั้นพี่วาต้องให้มุกไป” “มุก งานพี่มันเยอะ อย่าไปทำให้เหนื่อยกว่าเดิมได้มั้ย ขอร้องล่ะ”เมื่อวารีเอ่ยแบบนั้น มุกดาจึงหยิบแท็บเล็ตประจำตัวของเธอออกมาจากกระเป๋าผ้าที่เธอสะพายติดตัวไว้ตลอด แล้วเปิดหน้าที่เขียนโน้ตเอาไว้“งานพี่วาวันนี้ ลงแพตรวจหอยมุก คุยกับทีมชาวประมงเรื่องสภาพน้ำและฟ้าฝน จดบันทึกข้อมูลไว้ทุกเช้าในแอป โอเคค่ะมุกรับทราบ งั้นมุกจะช่วยแบ่งเบางานที่ว่าเยอะนี้เอ
“อืม นี่ห้องทำงาน” วารีพยักหน้าเข้าไปด้านใน หลังจากเปิดประตูห้องทำงานของเธอออกกว้าง หลังจากทานมื้อเที่ยงด้วยกันเรียบร้อยแล้วเธอก็ตัดสินใจพามุกดามาที่นี่ ไม่รู้อะไรทำให้เธอตัดสินใจแบบนี้ ทั้งที่ห้องทำงานเป็นพื้นที่ที่เธอหวงแหนพอ ๆ กับห้องนอน เพราะที่นี่มีข้อมูลสำคัญหลายอย่าง รวมถึงข้อมูลทางธุรกิจ แต่สุดท้ายเธอก็ยอมที่จะเปิดพื้นที่ตรงนี้ให้มุกดาได้เข้าไป “ทำไมพี่ต้องมีห้องทำงานแยกด้วย ไม่ทำห้องทำงานไว้ที่บ้านล่ะคะ หื้ม” มุกดาเอ่ยถามระหว่างที่เดินสำรวจภายในห้อง ซึ่งห้องทำงานของวารีนั้นตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรือนอนุบาลหอยมุก มันเป็นตู้คอนเทนเนอร์แบบน็อกดาวน์ที่สั่งสำเร็จมาตั้งไว้ที่นี่ ด้านในเป็นพื้นที่โล่ง ๆ มีเพียงโซฟายาวหนึ่งตัว โต๊ะทำงาน และชั้นเอกสารที่วางอยู่ด้านหลังโต๊ะ “บางทีเบื่อ ๆ ก็มาอยู่ที่นี่ จะว่าที่เก็บตัวก็ได้ บางช่วงที่แม่บ่นเยอะพี่ก็หนีมาอยู่ที่นี่” “อ้อ หลุมหลบภัยนี่เอง” มุกดาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินไปหยุดหน้าชั้นเอกสารที่เรียงรายด้วยแฟ้มสีดำมากมาย เธอสุ่มหยิบมาหนึ่งแฟ้มแล้วเปิดดูเอกสารด้านใน “
“ว่าไงนะคะ พูดอีกที มุกคงหูฝาดไปแน่ ๆ” มุกดาถามย้ำทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำจากอีกฝ่าย “จะสองทุ่มแล้วพี่ไปส่ง ทางมันเปลี่ยว ส่วนรถจอดไว้นี่แหละ พรุ่งนี้ให้ลูกจันทร์มาส่งสิ” “เอางั้นเหรอคะ มุกไม่ได้รบกวนพี่ใช่ไหม เดี๋ยวก็มีคนแถวนี้บ่นอีกว่ามุกจุ้นจ้าน ยุ่งยาก น่ารำคาญ บลา ๆ” “หึ จริง ๆ มันก็เป็นแบบนั้นแหละ อีกอย่างถ้าแม่รู้ว่ามืดขนาดนี้แล้วพี่ปล่อยให้มุกกลับคนเดียว แม่ได้มาว่าพี่อีก ขึ้นแท่นลูกรักไปแล้วพี่จะทำอะไรได้ล่ะ” วารีเดินนำไปยังรถของเธอที่จอดอยู่ตรงโรงรถซึ่งมีหลายคันให้เลือกใช้ ทั้งรถเก๋งและรถกระบะ เธอเดินไปหยุดหน้ารถกระบะสี่ประตูสีดำแล้วเปิดประตูฝั่งคนขับเข้าไปนั่งทันที มุกดาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับเข้ามานั่งในรถอย่างรวดเร็ว ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นวารีก็เคลื่อนรถออกไปจากฟาร์มกลิ่นสเปรย์ปรับอากาศในรถบวกกับแอร์เย็นฉ่ำ และเสียงเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ ทำให้มุกดารู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าในวันนี้ได้นิดหน่อย ทั้งคู่นั่งเงียบกันมานาน จนกระทั่งวารีขับรถผ่านร้านอาหารร้านหนึ่ง “เห้ย นั่นร้านลุงเจตหนิ” มุกดาตะโกนลั่น ชี้นิ้วผ่านกระจกใสไปย
มื้อค่ำวันนี้วารีอาสาเป็นเจ้ามือ ด้วยเหตุผลที่ว่าอีกฝ่ายอยู่ทำงานให้เธอจนดึก ซึ่งเป็นเหตุผลที่มุกดาค่อนข้างแปลกใจ เพราะเธอหลับไปต่างหาก ถึงได้กลับบ้านซะค่ำขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกลับไป คิดว่าดีซะอีกที่มื้อนี้อิ่มจังตังอยู่ครบ บ้านของมุกดาอยู่ห่างจากฟาร์มประมาณสามกิโลเมตร อันที่จริงการที่เธอจะกลับบ้านดึกขนาดไหนก็ดูจะไม่เป็นปัญหา แม้ระหว่างทางจะค่อนข้างเปลี่ยวเพราะไม่มีบ้านคน แต่ระยะทางก็ไม่ได้ไกลมาก ขับรถแป๊บเดียวก็ถึง แต่ก็นั่นแหละ วารีก็ยังอาสามาส่งถึงบ้านจนได้ บ้านของมุกดาเป็นบ้านไม้สองชั้นอยู่ท่ามกลางสวนผลไม้หลากชนิดไม่ว่าจะเป็นเงาะ มังคุด ทุเรียน ซึ่งเป็นผลผลิตจากพ่อของเธอที่ปลูกไว้ และถึงแม้พ่อของมุกดาจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ต้นไม้พวกนี้ก็ยังผลิดอก ออกผลอยู่ตลอด มีคนงานช่วยดูแลหนึ่งคนชื่อลุงชื่น ทำหน้าที่ใส่ปุ๋ยรดน้ำและเก็บเกี่ยวผลผลิต ขายบ้างแจกบ้างกินเองบ้าง พอเป็นรายได้ส่วนหนึ่งให้ครอบครัว ทันทีที่แสงไฟสว่างวาบจากหน้ารถของวารีส่องกระทบไปยังบ้านไม้ที่อยู่ในสวน คนที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ในบ้านก็รีบวิ่งออกมาหน้าบ้านทันที
ก่อนกลับไปฟาร์ม วารีไม่ลืมเข้าบ้านไปทักทายผู้หญิงอีกคนที่รักและเคารพไม่แพ้แม่ตัวเอง เมื่อเดินเข้าไปในบ้านก็เจอกับผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเธอกำลังนั่งดูละครหลังข่าวอยู่ตรงโซฟาหน้าทีวี แม่มาลี หรือแม่ลีที่เธอรู้จัก วันนี้ดูอิดโรยกว่าทุกวัน ทว่าสายตาที่มองวารียังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและอบอุ่นเสมอ “วา แม่นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก มุกบอกแค่ว่าหนูมาส่งแล้วก็รีบขึ้นไปอาบน้ำ แม่เลยไม่ได้ถามอะไรต่อ” วารียกมือไหว้คนอาวุโสแล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ ความรู้สึกหลังจากได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังเผชิญโรคร้ายทำให้วารียิ่งรู้สึกสงสารคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก ทั้งที่เธออยู่ใกล้แค่นี้ แต่กลับไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติอะไรเลย “วานั่งคุยกับจันทร์อยู่ตรงข้างบ้านค่ะแม่ ก็เลยไม่ได้เดินเข้าบ้านมากับน้อง แล้วนี่แม่ดูอะไรอยู่คะ กินข้าวรึยัง นมบำรุงกระดูกที่วาซื้อมาให้ครั้งก่อนหมดรึยังเนี่ย แม่อยากได้อะไรอีกมั้ย พรุ่งนี้วาจะซื้อมาให้” วารีเอื้อมมือไปจับมือของแม่ลีแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือลูบเบา ๆ บนหลังมืออีกฝ่าย เธอตั้งใจส่งผ่านกำลังใจดี ๆ ไปพร้อมกับสายตาที่แส
ในเวลาช่วงเช้าของวารีฟาร์ม ก่อนแปดโมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาเข้างาน มักจะมีภาพของชาวบ้านในท้องถิ่นซึ่งทำงานที่นี่ ล้อมวงกันนั่งกินกาแฟและพูดคุยข่าวสารบ้านเมืองกันด้วยเสียงเฮฮา วันนี้มุกดามาถึงฟาร์มเร็วกว่าทุกวันจึงได้เห็นภาพดังกล่าว บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ เสียงหัวเราะ ความเป็นกันเองของคนพื้นถิ่น กลิ่นกาแฟโบราณและขนมที่กินกับกาแฟตอนเช้าคือเอกลักษณ์ของที่นี่ “เอ้า มุก หลบบ้านมาเมื่อใด ลุงไม่เห็นนาน สวยน่าหวางนี้” (อ้าวมุก กลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ลุงไม่เจอนาน เดี๋ยวนี้สวยนะ) น้ำเสียงที่เอ่ยทักทายเป็นภาษาใต้ทำให้มุกดารีบหันไปมองต้นเสียงก็เจอเข้ากับลุงมุ้ย ที่ตอนนี้น่าจะเป็นตามุ้ยไปแล้ว ยังคงมองเธอด้วยสายตาอบอุ่น “หวัดดีค่ะลุง นุ้ยเพิ่งหลบมาไม่นานค่ะ ลาออกจากงานแล้ว หลบมาแลแม่ แกไม่ค่อยบาย” (สวัสดีค่ะลุง หนูเพิ่งกลับมาไม่นานค่ะ ลาออกจากงานแล้ว กลับมาดูแลแม่ ท่านไม่ค่อยสบาย) มุกดาตอบกลับไปด้วยสำเนียงท้องถิ่นเช่นกัน ทำเอาคนที่เพิ่งเดินเข้ามายังวงสนทนายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะไม่คิดว่ามุกดาจะยังพูดใต้ได้ วารีเดินมาหยุดอยู่ข้างกายมุกดาใ
“ซื้อของเสร็จรึยังมุก” วารีเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าบึ้งตึง“อ้าวพี่วา มาเร็วจัง” มุกดายกข้อมือดูนาฬิกาก็เห็นว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน“อืม พี่ซื้อของเสร็จแล้ว” วารีขยับมายืนข้าง ๆ ในแบบที่ใกล้กว่าเดิม แล้วเอามือแตะ ๆ ข้างเอวของมุกดาอย่างเบามือ เลยทำให้อีกฝ่ายแทบไม่รู้สึกว่ากำลังถูกแสดงความเป็นเจ้าของทว่าพนักงานขายผู้ชายที่เห็นการกระทำของวารีบวกกับสีหน้าบึ้งตึงของเธอก็พอจะเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นเขารีบปรับสีหน้ามาเป็นปกติ สายตาที่มองมุกดาหวานฉ่ำหายไปในทันที“แล้วนี่มาซื้ออะไร แท็บเล็ตเครื่องใหม่เหรอ เครื่องเก่าไปไหนแล้วล่ะ” วารียังคงมีสีหน้าหงุดหงิดที่แสดงออกชัดเจน“พี่ไปกินรังแตนที่ไหนมาเนี่ย หน้าบึ้งเป็นบ้าเลย”“ช่างเหอะ จะซื้ออะไรก็รีบซื้อ จะได้รีบกลับ งานที่ฟาร์มมีอีกเยอะ”“โอเค ๆ รู้แล้วค่า” มุกดาลากเสียงยาวแล้วหันไปคุยกับพนักงานขาย“งั้นเอาเครื่องนี้ค่ะพี่ เดี๋ยวรูดบัตรได้เลยนะคะ” มุกดาเตรียมจะหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองออกมา แต่วารีเร็วกว่าเพราะเธอเตรียมบัตรเครดิตไว้ในมือตั้งแต่ที่เดินเข้ามาแล้ว“รูดกับบัตรใบนี้ค่ะ” เธอยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานและส่งส
เมื่อนาฬิกาบอกเวลาตีสอง เสียงเครื่องยนต์จากรถกระบะสีดำที่ขับเข้ามาในฟาร์มปลุกมุกดาที่หลับฟุบกับโต๊ะกินข้าวในห้องครัวให้ตื่นขึ้น วารีขับรถเข้ามาจอดในโรงรถด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่ารถเก๋งของมุกดายังจอดอยู่ที่เดิม แต่เพราะอาการมึนเมาเล็กน้อยเธอเลยไม่ได้สนใจนักอีกใจก็แอบคิดว่าตัวเองตาฝาด ไม่อยากเข้าข้างตัวเองให้มากว่าอีกฝ่ายจะอยู่รอเป่าเค้กเป็นไปไม่ได้หรอก เธอไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น วารีเดินเข้ามาในบ้าน รู้สึกคอแห้งจึงก้าวยาว ๆ ตรงไปยังห้องครัว ไม่ได้นึกแปลกใจที่ไฟในห้องครัวยังเปิดอยู่ และเมื่อเดินเข้าไป เสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ก็ดังขึ้น มุกดาถือเค้กก้อนเล็กไว้ในมือ มูลค่าของเค้กไม่กี่สิบบาท พร้อมกับเทียนเล็ก ๆ หนึ่งเล่ม แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้วารีสร่างเมาในทันที เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเพลงวันเกิดร้องจบไปตั้งแต่ตอนไหน เพราะสายตาเอาแต่มองภาพตรงหน้า แล้วก็รู้สึกเหมือนหูดับไปซะอย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อจากมุกดาซ้ำ ๆ นั่นแหละถึงได้มีสติหลุดจากภวังค์ “เป่าเทียนได้แล้วค่ะพี่วา อย่าลืมอธิษฐานก่อนนะ” วารีพยักหน้า หลับตาล
หลังจากแต่งงานกันมาได้สองปี ตอนนี้ทั้งวารีและมุกดาก็มีความสุขดีตามประสาคู่ชีวิตทั่วไปที่ช่วยกันทำงานและดูแลกิจการ ส่วนเรื่องของการมีลูกนั้น ทั้งคู่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะวารีเองก็อายุ39ปีแล้ว ส่วนมุกดาปีนี้ก็33 หากจะใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีลูกก็อาจจะเสี่ยงในหลาย ๆ อย่าง ทั้งคู่เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ ฟ้าจะส่งเด็กน้อยสองคนมาให้ วันนี้วารีและมุกดาพากันมาบริจาคของเล่นและสิ่งของต่าง ๆ ให้กับสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้า ซึ่งทั้งคู่แวะมาที่นี่กันบ่อย บางครั้งก็แวะมาเล่านิทาน ร้องเพลง ทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ และทุกครั้งที่จะกลับ มักจะมีสายตาละห้อยของเด็ก ๆ มองพวกเธอเสมอทำให้มุกดาอดคิดถึงลูกจันทร์น้องสาวของเธอไม่ได้ หากวันนั้นแม่ของเธอไม่รับลูกจันทร์มาเลี้ยง ไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของน้องสาวตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง หากมีโอกาส มุกดาก็อยากจะช่วยเหลือเด็กที่นี่ได้มากกว่านี้“ทำหน้าเศร้าอีกแล้วนะคะ”วารีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างกันหม่นหมองลงทันทีในตอนที่กำลังจะกลับ“น้องสงสารเด็ก ๆ ที่นี่ค่ะ ใจนึงก็อยากช่วย อีกใจก็รู้ว่าเราคงไม่มีกำล
สนามบินต่างประเทศในเช้าตรู่เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจากนักท่องเที่ยว แต่วารีกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด มือที่กุมมือมุกดาไว้แน่น ๆ คือคำยืนยันว่าการเดินทางไปดูงานต่างประเทศครั้งนี้ เธอไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียวอีกต่อไป การเดินทางมาโตเกียวครั้งนี้ คนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าคือมุกดา และเป็นฝ่ายจัดกระเป๋าเตรียมทุกอย่างให้วารีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะแต่งงานกันมานานแล้ว แต่เรื่องของความรักและการเอาใจใส่กันยังคงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่เติมเต็มให้กันเสมอ“พี่วาคะ น้องได้ยินมาว่า ร้านเครื่องประดับในโตเกียวนี่ขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ที่เอามุกมาประยุกต์แบบโมเดิร์นเลยนะคะ” มุกดาหันมาพูดอย่างตื่นเต้น ขณะที่ทั้งคู่รอแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมวารีพยักหน้า ดวงตาหวานฉ่ำมองคนข้างกาย “เดี๋ยวก็ได้เห็นค่ะ พี่เองก็อยากดูว่าเขาเอาแนวคิดธรรมชาติมาใส่ในเครื่องประดับยังไงบ้าง จะได้กลับไปพัฒนาไลน์ของเราเพิ่ม”ทริปนี้วารีตั้งใจพามุกดามาด้วย เพราะอยากให้เห็นกระบวนการด้านศิลป์และการตลาดจากทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องอนุรักษ์หรือการผลิตเพียงอย่างเดียว มุกดาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มาดูนิทรรศการเครื่องประดับหอ
เสียงคลื่นซัดเบา ๆ อยู่ไม่ห่างจากเวทีไม้ไผ่ที่จัดวางกลางลานหญ้าของฟาร์มวารี เส้นไฟดวงเล็กวิบวับถูกขึงข้ามเหนือหัวผู้คน บรรยากาศค่ำคืนโรแมนติกอบอวลด้วยกลิ่นอาหารทะเลสด ๆ และเสียงหัวเราะของผู้ที่มาร่วมงานโต๊ะยาวที่จัดเรียงหน้าฟาร์มเต็มไปด้วยอาหารพื้นบ้านอย่างหอยทอด ข้าวเหนียวปิ้ง ปลาย่าง และของหวานแบบไทย ๆ ที่แม่ ๆ ป้า ๆ แถวนั้นตั้งใจทำมาจากบ้านตัวเอง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วันสำคัญของสองสาวเจ้าของฟาร์ม’“บรรยากาศดีจนฉันอยากแต่งงานอีกรอบเลย” คิรินเอ่ยพลางยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ หันไปมองวิวาห์ที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วส่งยิ้มหวานวิวาห์หันไปทางเวทีกลาง พูดเสียงเบาเหมือนกำลังคิดตาม “วารีดูอ่อนโยนขึ้นเยอะเลยเนอะตอนอยู่กับมุก ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง”“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่ชื่อมุกดา คนที่เคยทำให้เพื่อนเราร้องไห้จนแทบจะขาดใจตาย ทำให้คนที่เคยเหมือนหินก้อนเบ้อเริ่ม กลายเป็นขนมโมจิได้ เห็นหน้าวารีเมื่อกี้มั้ย เหมือนลูกแมวเลย” คิรินหัวเราะเบา ๆบนเวทีไม้ไผ่ มุกดาในชุดไทยผสมลูกไม้ประยุกต์สีครีมอ่อน ยืนจับมือกับวารีที่อยู่ข้างกัน ทั้งสองคนยิ้มเขินนิด ๆ ขณะท
งานแต่งงานของวารีกับมุกดาในวันนี้ จะเรียกงานแต่งก็อาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะบรรยากาศมันเหมือนการรวมพลเลี้ยงคนในหมู่บ้านมากกว่า วารีไม่คิดเลยว่าแม่ของเธอจะเชิญคนทั้งหมู่บ้านขนาดนี้ บรรยากาศในวันนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงเฮฮาและรอยยิ้ม ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองคนมีรอยยิ้มสดใส หน้าตาเปล่งปลั่ง มีออร่าตลอดเวลาที่คอยต้อนรับแขกในงาน และความตั้งใจของทั้งวารีและมุกดา ที่อยากให้งานเป็นไปด้วยความเรียบง่าย พิธีวันนี้จึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก มีเพียงการผูกข้อไม้ข้อมือ สวมแหวน และงานเลี้ยงขอบคุณแขกที่มาร่วมงานก็เท่านั้น และสิ่งที่เซอร์ไพรซ์ในงานแต่งวันนี้คือการที่ลูกจันทร์พาใครบางคนมาร่วมงานแต่งของพี่สาวเธอด้วย นั่นก็คือคุณพาขวัญ บุคคลที่ย่างกรายเข้ามาในงานแล้วโดนจับจ้องด้วยสายตาทุกคู่ พาขวัญ อัครเมธากุล เจ้าของมูลนิธิพาขวัญ ผู้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย อีกทั้งยังก่อตั้งมูลนิธิเพื่อให้เงินทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้และเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ลูกสาวนักการเมืองตำแหน่งใหญ่ นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ว่ากันว่า เธอไม่ชอบงานสังคม เธอหาตัวจับยาก ไม่ค่อยมีใครได้เห็นเธอไปไหนมา
วารีฟาร์มแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นเสมอมา นับตั้งแต่มุกดาเข้ามาที่นี่เจ้าของฟาร์มที่เคยเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยทักทายลูกน้อง ใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาก็ดูจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันแต่งงานเข้ามาใกล้มากขึ้น ใกล้จนมันกำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว เสียงคลื่นซัดเบา ๆ เข้าฝั่งในยามค่ำคืน ท้องฟ้าริมทะเลมีเพียงแสงดาวกระพริบระยิบ ระเบียงบ้านไม้ที่ยื่นไปในทะเลของวารีเงียบสงบ ลมโชยอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางในห้องนอน ราวกับจะกระซิบเตือนให้หัวใจของคนทั้งสองจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้แม่นมุกดานั่งอยู่บนเตียงไม้สีอ่อน ห่มผ้าบาง ๆ รอบตัว ขาเปลือยเปล่าห้อยแกว่งเบา ๆ กับอากาศ ขณะที่แสงไฟจากโคมข้างเตียงให้แสงอบอุ่นพอดีเสียงประตูไม้เปิดออก วารีในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาช้า ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาฉายแววอ่อนโยนกว่าทุกคืน“ยังไม่นอนเหรอคะ” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยถามแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน“พรุ่งนี้ก็จะแต่งงานแล้ว ใครจะหลับลงกันล่ะ” มุกดาหันมายิ้มตาหยีวารีคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เตรียมเอาของที่สองมือซ่อนไว้ด้านหลังออกมา“พี่มีอะไรจะให้ค่ะ”“หืม?” ม
นับตั้งแต่คุยเรื่องแต่งงาน และได้ข้อสรุปว่า ฤกษ์แต่งงานจะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า ทางด้านมุกดาก็หันมาดูแลตัวเองมากกว่าเดิม เพราะอยากให้ภาพวันนั้นออกมาสวยงามที่สุด จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ควรทำ เพื่อให้ออร่าเจ้าสาวเปล่งประกาย แต่ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนไม่ชอบเอาซะเลยที่แฟนตัวเองหันมาดูแลตัวเองจนสวยวันสวยคืนมากขึ้น พักหลังมานี้วารีจึงตามติดมุกดามากกว่าเดิม ถ้าเมื่อก่อนแทบจะสิง ตอนนี้คงต้องเรียกว่า แทบจะกลืนกิน ถึงขนาดที่ว่า คนงานในฟาร์มยังไม่กล้ามองมุกดาตรง ๆ เพราะมักจะเจอกับสายตาดุ ๆ ของวารีอยู่เสมอ ส่วนมุกดานั้นไม่ได้ถือสาอะไรกับท่าทีของแฟนตัวเอง เธอมองว่าวารีเหมือนโกลเด้นตัวโตที่อยากให้เจ้าของสนใจก็เท่านั้นวันนี้แดดในช่วงบ่ายคล้อยกำลังอ่อนแรง เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเหมือนเพลงกล่อม วารีเดินออกจากห้องประชุมในศูนย์การเรียนรู้ของฟาร์ม ด้วยสีหน้าตึงเครียดหลังการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรฯ เสร็จ เธอถอดเสื้อคลุมพาดไหล่ออก เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวเรียบที่เปียกชื้นจากเหงื่อเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเริ่มแผ่ซึมผ่านท่าทางทุกอณูแต่ทันทีที่
บรรยากาศรอบ ๆ บ้านไม้สองชั้นของมุกดาในเย็นวันนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น แม่ลี แม่แวว วารี มุกดา และลูกจันทร์ ทั้งห้าคนกำลังนั่งล้อมวงอยู่ตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อนใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่หน้าบ้าน นับตั้งแต่มุกดากลับมาอยู่บ้าน อาการป่วยของแม่ลีก็ดูจะดีขึ้นมาก ยิ่งในวันนี้ใบหน้าของคนที่กำลังต่อสู้กับโรคร้ายกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หากเป็นคนที่ไม่รู้จักกันคงแทบไม่รู้เลยว่าแม่ลีกำลังป่วย เพราะใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา เรื่องของการหมั้นหมายและการแต่งงานคือหัวข้อสำคัญในการคุยกันในเย็นนี้ ทว่าคนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าใครคือลูกจันทร์ เพราะเธอคือคนที่รับรู้เรื่องราวของทั้งคู่มาโดยตลอด ยิ่งได้รู้ว่าพี่สาวที่ตัวเองรักทั้งสองคนกำลังจะแต่งงานกัน ความอิ่มอกอิ่มใจมันเอ่อล้นภายในใจจนแสดงออกมาผ่านสายตาเปล่งประกาย “ค่าสินสอด ค่าเลี้ยงดูน่ะ เรียกมาเถอะลี ไม่ต้องเกรงใจหรอก ฉันกับลูกตั้งใจเต็มที่กับงานนี้ ยังไงก็ไม่ให้น้อยหน้าหรอก” แม่แววหันไปคุยกับแม่ลี เพื่อนรักที่รู้จักกันมาเกือบทั้งชีวิต แน่นอนว่าทั้งคู่ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ลูกสาวของตนปรองดองกัน “โอ้ย ฉ
“มันจะเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ ทุกอย่างที่เป็นเรื่องของน้อง เป็นความสบายใจของน้อง เป็นความสุข และเป็นสิ่งที่จะทำให้น้องยิ้มได้ พี่จะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้เลยนะ หลังจากนี้ไป ให้พี่ดูแลนะ ให้พี่ได้มีโอกาสแก้ไขเรื่องที่ผ่านมา ความเข้าใจผิดในทุกอย่าง เราสองคนมาปลูกต้นรักกันใหม่ มาสร้างครอบครัวของเราด้วยกันนะ” ทุกคำพูดของวารีเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย เธอมองหน้ามุกดาตลอดเวลาที่พูด สายตาที่มองคนอายุน้อยกว่าเต็มไปด้วยความรักใคร่ “ขอบคุณนะคะพี่วา สำหรับทุกอย่างที่คิดจะทำ จริง ๆ น้องเองก็เป็นฝ่ายผิดเหมือนกันที่ไม่เคยรับฟังพี่เลย เอาแต่ความรู้สึกของตัวเองจนลืมไปว่าพี่ก็มีความรู้สึก พี่ก็คงเจ็บปวดไม่น้อย งั้นหลังจากนี้เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะคะ น้องสัญญาว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเหมือนกัน” “ได้สิคะ เราสองคนเริ่มต้นกันใหม่ได้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้พี่ง่วงแล้วอะ ไม่รู้แหละคืนนี้น้องต้องให้พี่นอนด้วย” “อะไรกัน จู่ ๆ วนมาเรื่องนี้ได้ยังไง อีกอย่าง ระยะทางแค่สามกิโลมันคงไม่ทำให้พี่ขับรถกลับโดยใช้เวลานานเกินไปหรอกนะคะ กลับไปนอนที่บ้านเลยค่ะ อีกอย่างกลุ่มนักศึกษาก็ยังอยู่ เจ้า
วารีใจแป้วไม่น้อยเมื่อได้ยินคำพูดของมุกดาที่ส่งกลับมาแบบนั้น แต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือ เพราะเริ่มมั่นใจแล้วว่า การที่อีกฝ่ายมองเธอด้วยสายตาแบบนี้ แปลว่ากำลังมีเรื่องขุ่นเคืองบางอย่าง “คืนนี้ขอนอนด้วยนะคะ” วารีถามกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ไม่ค่ะ บ้านตัวเองก็มี โฮมสเตย์ก็มีตั้งหลายห้อง เลือกเอาสักห้องสิคะอยากนอนห้องไหน” “คืนนี้โฮมสเตย์เต็มทุกห้องค่ะ ให้พี่นอนด้วยนะคะ” “ไม่ค่ะ พี่วากลับไปเลย ไม่แน่ตอนนี้อาจจะมีคนรอพี่อยู่ก็ได้นะคะ” “น้องหมายถึงใคร พี่ไม่เข้าใจ” วารีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ก็ใครกันล่ะที่เข้ามาใกล้ชิดพี่จนวันนี้เราแทบไม่ได้คุยกันเลย ใครล่ะที่พี่คุยด้วยกระหนุงกระหนิง หน้าชื่นตาบานขนาดนั้น ใครกันที่มองพี่ซะสายตาหวานหยดย้อยอย่างกับอยากจะกลืนกินซะเหลือเกิน เห็นแล้วมันน่าโมโหชะมัด” วารีเข้าใจได้มากขึ้นเมื่อมุกดาบอกถึงการกระทำของบุคคลที่ว่าอย่างละเอียดยิบ และวันนี้ทั้งวันก็มีเพียงคนเดียวที่เข้ามาใกล้ชิดเธอ “พี่เข้าใจแล้วค่ะ แต่มันไม่มีอะไรเลย น้องก็รู้ว่าเวลามีคนมาดูงานที่ฟาร์ม พี่ทั้งตื่นเต้นแล้วก็ดีใจ อย