คำถามของวารีทำให้เกิดความเงียบงันชั่วขณะ มุกดายืนนิ่ง มือที่ยื่นถุงผ้าให้อีกฝ่ายยังคงค้างไว้แบบนั้น วารีไม่คิดจะรับมันไว้ กลับมองเธอด้วยสายตาที่ซ่อนความเจ็บปวดไว้มากมาย
“ตอบมาสิว่าจำได้รึเปล่า เรื่องเก่า ๆ ของเราน่ะ หรือว่าไปอยู่กรุงเทพนานจนสมองกลับ ความจำเสื่อมหมดแล้ว หื้ม”
มุกดาถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยแบบนั้น เธอกวาดสายตามองรอบตัวเห็นโต๊ะวางของตัวหนึ่งวางอยู่ใกล้ ๆ จึงเดินไปยังมุมนั้นแล้ววางถุงผ้าลงบนโต๊ะ
“ถ้าพี่คิดว่ามุกสมองกลับหรือความจำเสื่อม พี่ก็ไม่ต้องมาถามหาเรื่องเก่า ๆ หรือขุดคุ้ยอะไรอีก อย่าลืมกินข้าวนะคะเดี๋ยวจะปวดท้องเอา มุกกลับแล้วค่ะ”
มุกดาวางถุงผ้าลงบนโต๊ะตัวนั้นแล้วเตรียมจะหันหลังกลับ แต่ไม่ทันจะได้เดินออกไปไกล วารีก็ก้าวมาประชิดตัวแล้วคว้าข้อมือเธอไว้
“เอาถุงผ้านี่กลับไปด้วย พี่ไม่กินอาหารฝีมือเธอ”
มุกดาหันกลับมามองต้นเสียงเมื่อได้ยินแบบนั้น เป็นเรื่องยากมากกับการพยายามทำใจเย็นกับคนอย่างวารี แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องทำ เพราะหากเธอเป็นน้ำมันไปด้วย และอีกคนที่มีกองเพลิงเดือดดาลในใจอยู่แล้ว การระเบิดอารมณ์ใส่กันคงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
“โอเคค่ะ ถ้าพี่ไม่กินงั้นมุกเอากลับ เดี๋ยวเอาไปให้คนงานในฟาร์มก็ได้ ไหน ๆ ก็ตั้งใจทำมาแล้ว”
“เหอะ คนอย่างมุกน่ะเหรอจะตั้งใจทำอะไร โดยเฉพาะกับเรื่องของพี่ ไม่มีทางหรอก มุกเกลียดพี่จะตาย”
“เลิกได้เลิกนะ นิสัยชอบประชดเนี่ย จะกินไม่กิน พูดมา มุกไม่มีเวลามาเถียงด้วยนะ เดี๋ยวจะกลับไปช่วยแม่แววที่ร้านอาหารอีก”
วารีเงียบไปครู่หนึ่ง สายตาของเธอวูบไหวพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงผิดปกติ
ทั้งที่เคยคิดว่าเรื่องราวระหว่างกันมันปิดฉากลงไปแล้ว แต่ทำไมเมื่อมุกดามายืนอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกทั้งหมดมันเหมือนจะหวนกลับมาอีก
เธอไม่ได้ต้องการแบบนี้ ไม่ได้ต้องการรื้อฟื้นหรือสานต่ออะไรแม้แต่น้อย
วารียกข้อมือซ้ายดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงครึ่งแล้ว ช่วงบ่ายร้านอาหารมักจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน และมักจะลากยาวไปจนหกโมงเย็นถึงช่วงค่ำ
“แล้วกินข้าวรึยัง”
“ถามใครคะ ถามมุกเหรอ” มุกดาหันนิ้วชี้เข้าหาตัวเอง ตาโตราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ตรงนี้มีแค่เราสองคน พี่คงถามหมาแถวนี้มั้ง”
“พี่วา!”
“ว่าไง กินข้าวรึยัง”
“ยังค่ะ เดี๋ยวกลับไปกินที่ร้าน”
“งั้นก็กินด้วยกัน กลับไปก็ไม่ได้กินหรอก ที่ร้านน่ะลูกค้าเยอะตั้งแต่ช่วงบ่ายจนถึงค่ำโน่นแหละ”
“แน่ใจเหรอคะที่จะกินข้าวด้วยกัน มุกไม่อยากทำให้พี่กินข้าวแบบไม่มีความสุขหรอกนะ”
“อย่าพูดมาก นั่งลงกินข้าวด้วยกัน พี่เองก็มีงานต้องไปทำเหมือนกัน”
วารีเปิดถุงผ้าออกดูและหยิบกล่องพลาสติกสองใบออกมา กล่องหนึ่งเป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีสองช่องด้านในที่ใส่ข้าวสวยโปะด้วยไข่เจียว และอีกช่องเป็นเนื้อแตงโมสีสวยพร้อมทาน ส่วนอีกกล่องเป็นกล่องกลมใบเล็กใส่แกงไตปลา
สายตาของวารีที่มองกล่องข้าวที่มุกดาเตรียมมาให้เต็มไปด้วยความดีใจ แม้ว่าคำพูดของเธอจะบ่งบอกว่าไม่อยากรับมื้อเที่ยงจากอีกฝ่าย ทว่าสายตาที่มองดูอาหารตรงหน้ากลับเต็มไปด้วยความดีใจเหลือเกิน
เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่า วารีชอบหรือไม่ชอบอะไร นอกจากแม่แล้ว คนเดียวที่เคยรู้ใจเธอที่สุดก็คือมุกดา
มื้ออาหารมื้อแรกของทั้งคู่หลังจากไม่เจอกันนานนับสิบปี เริ่มต้นขึ้นที่โรงเรือนในฟาร์มแห่งนี้
มุกดานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กินข้าวเงียบ ๆ ทว่าคนตรงหน้ากลับสังเกตท่าทีของเธอตลอดเวลา
“ลาออกทำไม”
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถาม ขณะเดียวกันวารีก็ตักชิ้นเนื้อปลาในแกงไตปลาใส่ลงในจานข้าวของมุกดา
การกระทำนั้นทำเอาอีกฝ่ายแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักท้วง เพียงแต่พยักหน้าเบา ๆ แทนคำขอบคุณ
“แม่ลีไม่สบาย ป่วยเป็นมะเร็ง ที่ผ่านมาลูกจันทร์เป็นคนดูแล แต่มุกไม่อยากรบกวนน้องแล้ว น้องกำลังจะไปเรียนต่อมหาลัย มุกเลยตัดสินใจลาออกแล้วกลับมาดูแลแม่แทน”
น้ำเสียงของมุกดาขาดห้วงไปชั่วครู่ ความเศร้าในแววตาเธอฉายแววชัดจนวารีสังเกตมันได้ หน้าตาเหมือนแมวหยิ่งที่วารีเคยนิยามผู้หญิงคนนี้ไว้ดูจะเปลี่ยนไปแล้ว ความเงียบงันเกิดขึ้นชั่วขณะแล้วมุกดาก็เอ่ยขึ้นต่อ
“การไปอยู่กรุงเทพ ได้เป็นนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแบบที่ฝัน มันไม่ได้ทำให้มุกมีความสุขเหมือนที่คิดไว้ มุกก็ยังหาคำตอบเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกัน แต่ที่รู้แน่ ๆ คือ เวลามันไม่เคยย้อนกลับ มุกเลยอยากมาอยู่กับแม่”
“แม่ลีป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ ลูกจันทร์ไม่เห็นบอกพี่ แม่พี่ก็ไปหาอยู่บ่อย ๆ ยังบอกอยู่เลยว่าแม่ลีสบายดี แค่ดูเหงา ๆ อาจเพราะมุกไม่อยู่”
วารีเกิดความแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้รับรู้เรื่องนี้ ที่ผ่านมาถึงแม้เธอและมุกดาจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกัน แต่วารีก็โตพอที่จะแยกแยะเรื่องอื่นได้ กับคนในครอบครัวคนอื่นของมุกดาเธอก็ยังให้ความเคารพและช่วยเหลือเสมอเท่าที่จะช่วยได้
อีกอย่างบ้านมุกดามีลูกจันทร์คอยดูแล ซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่แม่ลีเคยให้ความช่วยเหลือ และรับมาเลี้ยงตั้งแต่อายุสองขวบ ตอนนี้ลูกจันทร์โตเป็นสาวเต็มตัว แถมยังน่ารักสดใสสมวัย ทั้งคู่ค่อนข้างสนิทกัน แต่ลูกจันทร์ก็ไม่เคยบอกเธอเรื่องที่แม่ลีป่วย
“ปีที่แล้วค่ะที่แม่ป่วย และมุกเป็นคนสั่งลูกจันทร์เองว่าห้ามบอกใคร มุกไม่อยากให้ใครมาสงสารหรือช่วยเหลืออะไร เราสามคนยังดูแลกันได้ แต่เอาจริง ๆ ถ้าไม่มีลูกจันทร์บ้านเราก็อาจจะแย่”
วารีพยักหน้าเล็กน้อย เธอไม่ได้ตอบอะไร ทว่าในหัวกลับคิดอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด
“แล้วนี่น้องจะไปเรียนต่อเมื่อไหร่ล่ะ ไม่น่าเชื่อนะ แป๊บเดียวลูกจันทร์จะเข้ามหาลัยแล้ว”
“ค่ะ ลูกจันทร์โตเป็นสาวแล้ว น่ารักสมวัย น้องจะไปกรุงเทพเดือนหน้าค่ะ”
วารีพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้ถามอะไรกลับไปอีก มื้ออาหารของทั้งคู่ดำเนินไปเรื่อย ๆ เมนูอาหารของเที่ยงวันนี้แสนเรียบง่าย ทว่าบทสนทนาที่ได้พูดคุยกันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหนักหน่วงจนวารีทานข้าวได้ไม่มาก ทั้งที่เป็นเมนูโปรดของเธอ
“ทำไมกินข้าวไม่หมดคะพี่วา นี่ขนาดกินสองคนแล้วนะ”
มุกดาเอ่ยถามเมื่อเห็นวารีรวบช้อนส้อมไว้ข้างจานแล้วยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่ม
“ก็ไม่อร่อย กินไม่ลง”
“ถามจริง? แต่แม่แววบอกว่าอร่อยนะ แม่บอกฝีมือมุกยังเหมือนเดิมเลย”
“เหรอ งั้นก็คงไม่เหมือนเดิมสำหรับพี่คนเดียว แต่เอาเถอะ ยังไงก็ขอบคุณที่เอามาให้ แต่วันหลังไม่ต้อง พี่จัดการตัวเองได้”
มุกดาเห็นสายตาเฉยชาของอีกฝ่ายก็รีบเก็บกล่องข้าวใส่ถุงผ้าทันที
“เก่งจริง ๆ เก่งเหลือเกิน ทำอะไรได้เอง อยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากใคร ใครยื่นอะไรให้ก็ไม่เอาไม่อยากรับไว้ พี่นี่ไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ”
สิ่งที่มุกดาเอ่ยมาถูกต้องทุกอย่าง มันคือนิสัยที่แท้จริงของวารี และน้อยคนที่จะเข้าใจในสิ่งที่เธอเป็น เข้าใจความเข้มแข็งซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอกที่เธอฉาบมันเอาไว้
แต่ความรู้สึกลึก ๆ ภายในที่แท้จริง ใครเลยจะรู้ว่าวารีคนนี้กำลังรู้สึกอะไรบ้าง
“พี่ก็เป็นของพี่แบบนี้มาตั้งนานแล้ว”
“ค่ะ มุกรู้ว่าพี่เป็นแบบนี้มานานแล้ว งั้นพี่ก็ช่วยรู้เอาไว้ด้วยว่าหลังจากนี้ชีวิตพี่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
วารีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแบบนั้น ไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยนัก
“หมายความว่าไง”
“แม่แววคงไม่ได้บอกพี่ใช่มั้ยคะว่าหน้าที่ของมุกไม่ได้มีแค่ช่วยงานที่ร้านอาหาร แต่แม่ให้มุกมาเป็นผู้จัดการให้พี่ด้วย”
“ห้ะ!”
“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นค่ะ เรื่องจริงไม่จ้อจี้”
“บ้า ผู้จัดการอะไร พี่ไม่ใช่ดารา ไม่เอา!”
หลังจากแต่งงานกันมาได้สองปี ตอนนี้ทั้งวารีและมุกดาก็มีความสุขดีตามประสาคู่ชีวิตทั่วไปที่ช่วยกันทำงานและดูแลกิจการ ส่วนเรื่องของการมีลูกนั้น ทั้งคู่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะวารีเองก็อายุ39ปีแล้ว ส่วนมุกดาปีนี้ก็33 หากจะใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีลูกก็อาจจะเสี่ยงในหลาย ๆ อย่าง ทั้งคู่เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ ฟ้าจะส่งเด็กน้อยสองคนมาให้ วันนี้วารีและมุกดาพากันมาบริจาคของเล่นและสิ่งของต่าง ๆ ให้กับสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้า ซึ่งทั้งคู่แวะมาที่นี่กันบ่อย บางครั้งก็แวะมาเล่านิทาน ร้องเพลง ทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ และทุกครั้งที่จะกลับ มักจะมีสายตาละห้อยของเด็ก ๆ มองพวกเธอเสมอทำให้มุกดาอดคิดถึงลูกจันทร์น้องสาวของเธอไม่ได้ หากวันนั้นแม่ของเธอไม่รับลูกจันทร์มาเลี้ยง ไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของน้องสาวตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง หากมีโอกาส มุกดาก็อยากจะช่วยเหลือเด็กที่นี่ได้มากกว่านี้“ทำหน้าเศร้าอีกแล้วนะคะ”วารีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างกันหม่นหมองลงทันทีในตอนที่กำลังจะกลับ“น้องสงสารเด็ก ๆ ที่นี่ค่ะ ใจนึงก็อยากช่วย อีกใจก็รู้ว่าเราคงไม่มีกำล
สนามบินต่างประเทศในเช้าตรู่เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจากนักท่องเที่ยว แต่วารีกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด มือที่กุมมือมุกดาไว้แน่น ๆ คือคำยืนยันว่าการเดินทางไปดูงานต่างประเทศครั้งนี้ เธอไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียวอีกต่อไป การเดินทางมาโตเกียวครั้งนี้ คนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าคือมุกดา และเป็นฝ่ายจัดกระเป๋าเตรียมทุกอย่างให้วารีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะแต่งงานกันมานานแล้ว แต่เรื่องของความรักและการเอาใจใส่กันยังคงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่เติมเต็มให้กันเสมอ“พี่วาคะ น้องได้ยินมาว่า ร้านเครื่องประดับในโตเกียวนี่ขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ที่เอามุกมาประยุกต์แบบโมเดิร์นเลยนะคะ” มุกดาหันมาพูดอย่างตื่นเต้น ขณะที่ทั้งคู่รอแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมวารีพยักหน้า ดวงตาหวานฉ่ำมองคนข้างกาย “เดี๋ยวก็ได้เห็นค่ะ พี่เองก็อยากดูว่าเขาเอาแนวคิดธรรมชาติมาใส่ในเครื่องประดับยังไงบ้าง จะได้กลับไปพัฒนาไลน์ของเราเพิ่ม”ทริปนี้วารีตั้งใจพามุกดามาด้วย เพราะอยากให้เห็นกระบวนการด้านศิลป์และการตลาดจากทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องอนุรักษ์หรือการผลิตเพียงอย่างเดียว มุกดาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มาดูนิทรรศการเครื่องประดับหอ
เสียงคลื่นซัดเบา ๆ อยู่ไม่ห่างจากเวทีไม้ไผ่ที่จัดวางกลางลานหญ้าของฟาร์มวารี เส้นไฟดวงเล็กวิบวับถูกขึงข้ามเหนือหัวผู้คน บรรยากาศค่ำคืนโรแมนติกอบอวลด้วยกลิ่นอาหารทะเลสด ๆ และเสียงหัวเราะของผู้ที่มาร่วมงานโต๊ะยาวที่จัดเรียงหน้าฟาร์มเต็มไปด้วยอาหารพื้นบ้านอย่างหอยทอด ข้าวเหนียวปิ้ง ปลาย่าง และของหวานแบบไทย ๆ ที่แม่ ๆ ป้า ๆ แถวนั้นตั้งใจทำมาจากบ้านตัวเอง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วันสำคัญของสองสาวเจ้าของฟาร์ม’“บรรยากาศดีจนฉันอยากแต่งงานอีกรอบเลย” คิรินเอ่ยพลางยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ หันไปมองวิวาห์ที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วส่งยิ้มหวานวิวาห์หันไปทางเวทีกลาง พูดเสียงเบาเหมือนกำลังคิดตาม “วารีดูอ่อนโยนขึ้นเยอะเลยเนอะตอนอยู่กับมุก ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง”“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่ชื่อมุกดา คนที่เคยทำให้เพื่อนเราร้องไห้จนแทบจะขาดใจตาย ทำให้คนที่เคยเหมือนหินก้อนเบ้อเริ่ม กลายเป็นขนมโมจิได้ เห็นหน้าวารีเมื่อกี้มั้ย เหมือนลูกแมวเลย” คิรินหัวเราะเบา ๆบนเวทีไม้ไผ่ มุกดาในชุดไทยผสมลูกไม้ประยุกต์สีครีมอ่อน ยืนจับมือกับวารีที่อยู่ข้างกัน ทั้งสองคนยิ้มเขินนิด ๆ ขณะท
งานแต่งงานของวารีกับมุกดาในวันนี้ จะเรียกงานแต่งก็อาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะบรรยากาศมันเหมือนการรวมพลเลี้ยงคนในหมู่บ้านมากกว่า วารีไม่คิดเลยว่าแม่ของเธอจะเชิญคนทั้งหมู่บ้านขนาดนี้ บรรยากาศในวันนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงเฮฮาและรอยยิ้ม ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองคนมีรอยยิ้มสดใส หน้าตาเปล่งปลั่ง มีออร่าตลอดเวลาที่คอยต้อนรับแขกในงาน และความตั้งใจของทั้งวารีและมุกดา ที่อยากให้งานเป็นไปด้วยความเรียบง่าย พิธีวันนี้จึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก มีเพียงการผูกข้อไม้ข้อมือ สวมแหวน และงานเลี้ยงขอบคุณแขกที่มาร่วมงานก็เท่านั้น และสิ่งที่เซอร์ไพรซ์ในงานแต่งวันนี้คือการที่ลูกจันทร์พาใครบางคนมาร่วมงานแต่งของพี่สาวเธอด้วย นั่นก็คือคุณพาขวัญ บุคคลที่ย่างกรายเข้ามาในงานแล้วโดนจับจ้องด้วยสายตาทุกคู่ พาขวัญ อัครเมธากุล เจ้าของมูลนิธิพาขวัญ ผู้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย อีกทั้งยังก่อตั้งมูลนิธิเพื่อให้เงินทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้และเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ลูกสาวนักการเมืองตำแหน่งใหญ่ นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ว่ากันว่า เธอไม่ชอบงานสังคม เธอหาตัวจับยาก ไม่ค่อยมีใครได้เห็นเธอไปไหนมา
วารีฟาร์มแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นเสมอมา นับตั้งแต่มุกดาเข้ามาที่นี่เจ้าของฟาร์มที่เคยเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยทักทายลูกน้อง ใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาก็ดูจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันแต่งงานเข้ามาใกล้มากขึ้น ใกล้จนมันกำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว เสียงคลื่นซัดเบา ๆ เข้าฝั่งในยามค่ำคืน ท้องฟ้าริมทะเลมีเพียงแสงดาวกระพริบระยิบ ระเบียงบ้านไม้ที่ยื่นไปในทะเลของวารีเงียบสงบ ลมโชยอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางในห้องนอน ราวกับจะกระซิบเตือนให้หัวใจของคนทั้งสองจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้แม่นมุกดานั่งอยู่บนเตียงไม้สีอ่อน ห่มผ้าบาง ๆ รอบตัว ขาเปลือยเปล่าห้อยแกว่งเบา ๆ กับอากาศ ขณะที่แสงไฟจากโคมข้างเตียงให้แสงอบอุ่นพอดีเสียงประตูไม้เปิดออก วารีในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาช้า ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาฉายแววอ่อนโยนกว่าทุกคืน“ยังไม่นอนเหรอคะ” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยถามแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน“พรุ่งนี้ก็จะแต่งงานแล้ว ใครจะหลับลงกันล่ะ” มุกดาหันมายิ้มตาหยีวารีคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เตรียมเอาของที่สองมือซ่อนไว้ด้านหลังออกมา“พี่มีอะไรจะให้ค่ะ”“หืม?” ม
นับตั้งแต่คุยเรื่องแต่งงาน และได้ข้อสรุปว่า ฤกษ์แต่งงานจะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า ทางด้านมุกดาก็หันมาดูแลตัวเองมากกว่าเดิม เพราะอยากให้ภาพวันนั้นออกมาสวยงามที่สุด จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ควรทำ เพื่อให้ออร่าเจ้าสาวเปล่งประกาย แต่ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนไม่ชอบเอาซะเลยที่แฟนตัวเองหันมาดูแลตัวเองจนสวยวันสวยคืนมากขึ้น พักหลังมานี้วารีจึงตามติดมุกดามากกว่าเดิม ถ้าเมื่อก่อนแทบจะสิง ตอนนี้คงต้องเรียกว่า แทบจะกลืนกิน ถึงขนาดที่ว่า คนงานในฟาร์มยังไม่กล้ามองมุกดาตรง ๆ เพราะมักจะเจอกับสายตาดุ ๆ ของวารีอยู่เสมอ ส่วนมุกดานั้นไม่ได้ถือสาอะไรกับท่าทีของแฟนตัวเอง เธอมองว่าวารีเหมือนโกลเด้นตัวโตที่อยากให้เจ้าของสนใจก็เท่านั้นวันนี้แดดในช่วงบ่ายคล้อยกำลังอ่อนแรง เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเหมือนเพลงกล่อม วารีเดินออกจากห้องประชุมในศูนย์การเรียนรู้ของฟาร์ม ด้วยสีหน้าตึงเครียดหลังการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรฯ เสร็จ เธอถอดเสื้อคลุมพาดไหล่ออก เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวเรียบที่เปียกชื้นจากเหงื่อเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเริ่มแผ่ซึมผ่านท่าทางทุกอณูแต่ทันทีที่