หนึ่งอาทิตย์ต่อมา
“มุก! ทำไมมาอยู่ที่นี่เนี่ย” วารีตะโกนเสียงดังเมื่อกลับมากินข้าวเที่ยงที่บ้านแล้วเจอมุกดากำลังทำอาหารอยู่ในครัวของเธอ
“จะตะโกนทำไมคะ เสียงดังชะมัด มุกแสบแก้วหูไปหมดแล้วเนี่ย” มุกดาตอบกลับอย่างไม่แยแส เธอเดินมายังโต๊ะกินข้าวแล้ววางจานไข่เจียวกุ้งสับที่สีเหลืองนวลน่าทานลงบนโต๊ะ
วารีหลุบสายตาลงต่ำมองอาหารในจานแล้วกลืนน้ำลายลงคอ เพราะสิ่งที่เห็นคือเมนูโปรดของเธอ นอกจากแม่แววแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอชอบอะไร
นอกจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยสนิทด้วยเมื่อตอนเด็ก ซึ่งตอนนี้วารีพยายามลืมเรื่องนั้นไปแล้ว
แต่ดูเหมือนว่า ยิ่งเธอพยายามลบเลือนเรื่องราวบางอย่างในใจ คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทุกอย่างก็วนกลับมายืนอยู่ต่อหน้าเธอจนได้
“ใครอนุญาตให้เข้ามาเพ่นพ่านในครัวบ้านพี่ อีกอย่าง พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ามาที่นี่อีก พี่ไม่อยากเห็นหน้ามุก”
“ที่นี่ไม่ใช่บ้านพี่วาคนเดียวสักหน่อย บ้านแม่แววด้วย”
“แล้วยังไง?”
“แม่แววให้มุกมาทำงานด้วยค่ะ”
“ห้ะ ทำงาน?”
“โอ๊ย ตะโกนอีกแล้ว เมื่อไหร่พี่จะเลิกเป็นคนโหวกเหวกโวยวายสักทีคะ”
“แล้วจะทำไม พี่จะเป็นแบบไหนมันก็ไม่เกี่ยวกับมุก แล้วเมื่อกี้ว่าไงนะ แม่ให้มาทำงานเหรอ ทำอะไร?”
วารียืนกอดอกแน่น สายตาของเธอจ้องมองใบหน้ามุกดาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“แม่แววให้มุกมาช่วยที่ร้านอาหารค่ะ เป็นผู้จัดการร้านแล้วก็ช่วยดูเรื่องวัตถุดิบที่เกี่ยวกับสัตว์ทะเลที่ชาวบ้านเอามาขายด้วย”
“ไม่จำเป็น! ร้านพี่ไม่ต้องมีตำแหน่งนี้ ปกติตำแหน่งผู้จัดการก็ไม่เคยมีอยู่แล้ว แม่เป็นคนดูแลทุกอย่าง ส่วนเรื่องสัตว์ทะเลที่ชาวบ้านเอามาขาย พี่เป็นคนดูส่วนนี้ เพราะฉะนั้น..”
วารีขยับเข้ามาใกล้มุกดา โน้มใบหน้ามาใกล้เพื่อตั้งใจมองใบหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยด้วยถ้อยคำย้ำชัดว่า
“ที่นี่ไม่มีงานให้เธอทำ กลับ ไป ได้ แล้ว!”
“ไม่กลับค่ะ เพราะแม่แววรับมุกเข้าทำงานแล้ว อีกอย่าง พี่วาไม่มีสิทธิไล่มุกออกนะคะ เพราะมุกเป็นพนักงานของแม่ค่ะ ไม่ ใช่ ของ พี่!”
มุกดาเองก็ตอบกลับไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ แม้ว่าเธอจะอายุน้อยกว่าวารีถึงหกปี แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
“จะเอาแบบนี้ใช่มั้ย?” วารีถามกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
“ทำไมคะ พี่จะทำอะไร?”
“หึ พี่เหรอจะทำอะไรเธอได้ เล่นเข้าทางแม่ซะขนาดนี้พี่คงแตะต้องเธอได้งั้นแหละ ฉลาดดีหนิที่เลือกใช้วิธีนี้ แต่พี่บอกไว้ก่อนเลยนะ ถึงมุกจะเป็นพนักงานของแม่ ก็ยังถือว่าเป็นคนของวารีฟาร์มอยู่ดี แม้งานจะคนละส่วน แต่พี่ก็เป็นคนที่มีสิทธิตัดสินใจในทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ถ้า..”
“ถ้าอะไรวา”
ไม่ทันที่วารีจะพูดจบ เสียงของแม่แววที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้บทสนทนาของทั้งคู่ต้องหยุดชะงักในทันที
แม่แววเดินเข้ามาในห้องครัว ยืนคั่นกลางระหว่างคนทั้งคู่ แล้วมองหน้าลูกสาวตัวเองสลับกับใบหน้าของมุกดา
“มุกเป็นคนของแม่นะ วาไม่มีสิทธิทำอะไรโดยพลการ แล้วก็หัดพูดจาดี ๆ กับน้องด้วย เลิกขึ้นเสียงใส่น้องแล้วก็เลิกโหวกเหวกโวยวายได้แล้ว เสียงคุยกันได้ยินไปถึงร้านอาหารโน่น”
วารีถึงกับอ้าปากค้างเมื่อโดนแม่ตัวเองตำหนิ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตอนที่มุกดายังไม่กลับมา แม่ของเธอไม่เคยมีท่าทีแบบนี้เลย ไม่ว่าวารีจะทำอะไร แม่แววแทบไม่สนใจ ไม่แสดงความคิดเห็น ไม่ยุ่งเกี่ยว
แต่ดูเหมือนว่า การกลับมาของมุกดา ได้สร้างความวุ่นวายใจหลาย ๆ อย่างให้กับวารีเป็นอย่างมาก
“แม่ วาเนี่ยนะคะพูดไม่ดีกับน้อง ขึ้นเสียงใส่? วาเนี่ยนะ?”
วารีถามย้ำแล้วยกนิ้วชี้ชี้เข้าหาตัวเอง มุกดาเห็นใบหน้าตกใจปนงุนงงของอีกฝ่ายก็หลุดยิ้มออกมา และท่าทีของเธอยิ่งทำให้วารีหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
“ก็ใช่น่ะสิ แม่ได้ยินเสียงโวยวายไปถึงร้านอาหารโน่น ต่อไปนี้ห้ามทะเลาะกันให้แม่เห็นอีกนะ แล้วก็กินข้าวซะ วันนี้น้องอุตส่าห์มาทำมื้อเที่ยงให้”
“เหอะ แล้วใครขอล่ะ ปกติวาก็ทำของวาเองได้ หรือไม่ แม่ก็ทำกับข้าวไว้ให้เหมือนเมื่อก่อนสิคะ ไม่ต้องรบกวนคนกรุงหรอกค่ะ ไปอยู่กรุงเทพตั้งนานคงจะทำอาหารใต้ไม่เป็นแล้วล่ะ รสชาติฝีมือก็คงจะเพี้ยน ไม่รู้จะได้กินหรือได้เททิ้งกันแน่”
“เอ๊ะวา แม่บอกว่าให้คุยกันดี ๆ ไง พูดยังไม่ทันขาดคำ ว่าน้องอีกแล้ว”
“โอ๊ย พูดไม่ได้เลย อะไรก็ไม่ได้ เข้าขากันดีนักก็อยู่ด้วยกันเลยค่ะ วันนี้วาไม่กินข้าวที่นี่ วาจะไปฟาร์ม”
วารีพูดจบก็เดินออกไปจากห้องครัวของบ้าน ไม่ฟังเสียงโวยวายของแม่แววที่ตามหลังมาอีกยืดยาว
คนอาวุโสกำลังจะก้าวตามไปเพื่อคุยกับลูกสาวตัวเอง แต่มุกดาคว้ามือเธอไว้ซะก่อน
“ไม่ต้องค่ะแม่ เดี๋ยวมุกจัดการเอง แม่กลับไปดูร้านเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”
“แต่วายังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยนะมุก รายนั้นน่ะเป็นโรคกระเพาะ อีกอย่างที่ฟาร์มช่วงนี้ร้อนมาก ไม่กินข้าวแล้วจะทำงานไหวยังไง ดูตารางงานโน่นสิ เบียดกันแน่นจนแม่คิดว่าเป็นดาราไปแล้วทุกวันนี้” คนเป็นแม่ถอนหายใจเบา ๆ แล้วชี้ไปยังป้ายไวท์บอร์ดสีขาวที่เขียนตารางงานของวารีในหนึ่งวันเอาไว้
มุกดาหันมองตามนิ้วชี้ของแม่แวว กวาดสายตามองตารางการทำงานของวารีคร่าว ๆ เพียงแป๊บเดียวเธอก็พอจะจำได้ว่าแต่ละวันวารีต้องทำอะไรบ้าง
“เดี๋ยวมุกจัดการให้นะคะ ถ้าพี่วาไม่กินข้าวที่นี่ งั้นมุกเอาใส่ปิ่นโตไปให้ที่ฟาร์มก็ได้ค่ะ”
“อืม แบบนั้นก็ได้ลูก แม่ฝากหน่อยนะมุก เสร็จแล้วไปช่วยแม่ที่ร้านนะ”
“ได้ค่ะแม่ เดี๋ยวมุกตามไปค่ะ”
หลังจากแยกย้ายกับแม่แวว มุกดากลับเข้าไปในกลัวแล้วเตรียมกล่องข้าวให้วารี พร้อมกับที่ในหัวก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เรื่องราวความหลังระหว่างเธอและวารีนั้น มุกดาไม่เคยลืม กลับกันเธอจำมันได้ขึ้นใจด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นต้นเหตุให้เธอเลือกที่จะไปเรียนต่อที่กรุงเทพ เพื่อหาคำตอบบางอย่าง
แม้ว่าตอนนี้คำตอบที่ตามหาจะยังไม่เจอ แต่การที่เธอเลือกลาออกจากงานและกลับมาอยู่บ้าน นอกจากเหตุผลที่มาดูแลแม่ที่ป่วยแล้ว
อีกเหตุผลก็คือวารี
เพื่อเป็นการไถ่โทษ..และเพื่อเป็นการปรับความเข้าใจ หากอะไร ๆ มันไม่ร้ายแรงไปกว่านี้ และสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ มุกดาก็อยากให้มันเป็นแบบนั้น
กล่องข้าวสำหรับมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยอาหารเที่ยงมื้อนี้เป็นข้าวไข่เจียวกุ้งสับ มีแกงไตปลา[1] ใส่กระปุกเล็กไปด้วย พร้อมแตงโมเนื้อสีแดงสดปอกพร้อมทาน แน่นอนว่า ทุกอย่างคือของโปรดของวารี
จากบ้านไม้หลังใหญ่ ใช้เวลาเดินมายังวารีฟาร์มประมาณสองร้อยเมตร ปกติที่นี่จะมีทั้งรถจักรยานและมอเตอร์ไซต์ที่สามารถใช้ขี่ไปยังจุดต่าง ๆ ในอาณาจักรของวารีได้ แต่มุกเลือกที่จะไม่ใช้
เมื่อเดินไปถึงฟาร์มหอยมุก เธอก็เห็นวารีกำลังเดินคุยงานกับพนักงานผู้ชายสองคน เมื่ออีกฝ่ายหันมาเห็นเธอ ก็ขมวดคิ้วทันที
วารีหันไปคุยกับลูกน้องของเธออีกไม่กี่คำแล้วเดินตรงดิ่งมาหาคนที่กำลังเดินก้าวยาว ๆ ไปยังโรงเรือนเล็ก ๆ ที่สร้างง่าย ๆ สำหรับนั่งพักผ่อนและเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในฟาร์ม
“มาที่นี่ทำไม” น้ำเสียงแข็งกระด้างเอ่ยมาทันที
“เอาข้าวเที่ยงมาให้ค่ะ ถ้าพี่ไม่กินข้าวแล้วเป็นลมเป็นแล้งไปซะก่อน แม่แววจะหาว่ามุกดูแลพี่ไม่ดีนะคะ”
“ถ้าเหตุผลแค่นี้ไม่จำเป็นหรอก ต่อให้พี่จะเป็นอะไรไปก็เชื่อได้เลยว่าพี่จะไม่พูดถึงเธอให้แม่ฟังแบบเสีย ๆ หาย ๆ แน่นอน ตอนนี้เธอกลายเป็นลูกรักเบอร์หนึ่งไปแล้ว ดีใจด้วยนะ”
“เอาเถอะค่ะ มุกไม่อยากเถียงกับพี่แล้ว กินข้าวซะ มีแกงไตปลาด้วย แตงโมก็มี เนื้อหวานมากนะคะ”
วารีจ้องมองใบหน้าคนตรงหน้าสลับกับมองถุงผ้าในมือของมุกดาที่ยื่นมาตรงหน้า
“ทำแบบนี้ทำไม มาทำดีกับพี่เพื่ออะไร จำไม่ได้เหรอว่าระหว่างเรามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
[1] แกงไตปลา เป็นอาหารขึ้นชื่อของภาคใต้ รสชาติเผ็ดร้อนเข้มข้นด้วยส่วนผสมหลักคือกระเพาะของปลาที่ผ่านการหมักดองและนำมาต้มสุก ปรุงรสด้วยเครื่องเทศหลายอย่าง มีทั้งเนื้อปลาและผักหลายชนิด รสชาติจัดจ้านนิยมทานกับข้าวสวยร้อน ๆ หรือไข่เจียว และผักต่าง ๆ
คำถามของวารีทำให้เกิดความเงียบงันชั่วขณะ มุกดายืนนิ่ง มือที่ยื่นถุงผ้าให้อีกฝ่ายยังคงค้างไว้แบบนั้น วารีไม่คิดจะรับมันไว้ กลับมองเธอด้วยสายตาที่ซ่อนความเจ็บปวดไว้มากมาย “ตอบมาสิว่าจำได้รึเปล่า เรื่องเก่า ๆ ของเราน่ะ หรือว่าไปอยู่กรุงเทพนานจนสมองกลับ ความจำเสื่อมหมดแล้ว หื้ม” มุกดาถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยแบบนั้น เธอกวาดสายตามองรอบตัวเห็นโต๊ะวางของตัวหนึ่งวางอยู่ใกล้ ๆ จึงเดินไปยังมุมนั้นแล้ววางถุงผ้าลงบนโต๊ะ “ถ้าพี่คิดว่ามุกสมองกลับหรือความจำเสื่อม พี่ก็ไม่ต้องมาถามหาเรื่องเก่า ๆ หรือขุดคุ้ยอะไรอีก อย่าลืมกินข้าวนะคะเดี๋ยวจะปวดท้องเอา มุกกลับแล้วค่ะ” มุกดาวางถุงผ้าลงบนโต๊ะตัวนั้นแล้วเตรียมจะหันหลังกลับ แต่ไม่ทันจะได้เดินออกไปไกล วารีก็ก้าวมาประชิดตัวแล้วคว้าข้อมือเธอไว้ “เอาถุงผ้านี่กลับไปด้วย พี่ไม่กินอาหารฝีมือเธอ” มุกดาหันกลับมามองต้นเสียงเมื่อได้ยินแบบนั้น เป็นเรื่องยากมากกับการพยายามทำใจเย็นกับคนอย่างวารี แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องทำ เพราะหากเธอเป็นน้ำมันไปด้วย และอีกคนที่มีกองเพลิงเดือดดาลในใจอยู่แล้ว การระเบิดอารมณ์ใส่
ชีวิตของวารีไม่เหมือนเดิมอย่างที่บอกจริง ๆ เพราะตั้งแต่มุกดาเข้ามาช่วยงานแม่แวว และมาที่ฟาร์มแทบทุกวัน เรื่องราวในแต่ละวันก็กลับมีสีสันมากขึ้น แต่ดูเหมือนวารีจะไม่ชอบสีสันที่ว่าเท่าไหร่นัก อย่างเช่นตอนนี้ที่มุกดากำลังรบเร้าเธอเพื่อขอติดตามไปดูกระชังหอยมุกกลางทะเลด้วย “มุกอย่าดื้อ พี่บอกแล้วไงว่ามันต้องลงแพไป ออกไปกลางทะเลโน่น ร้อนก็ร้อน กว่าจะกลับเข้ามาก็เที่ยง มุกทนไม่ไหวหรอก ไปอยู่ที่ร้านกับแม่ดีแล้ว” วารีพยายามอธิบายเหตุผลที่เธอไม่อยากให้อีกฝ่ายติดตามไป แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเปล่าประโยชน์ “มุกไม่กลัวแดด ไม่กลัวร้อน ไม่กลัวเหนื่อย ไม่กลัวหิว อีกอย่างแม่แววก็อนุญาตแล้วด้วย เพราะงั้นพี่วาต้องให้มุกไป” “มุก งานพี่มันเยอะ อย่าไปทำให้เหนื่อยกว่าเดิมได้มั้ย ขอร้องล่ะ”เมื่อวารีเอ่ยแบบนั้น มุกดาจึงหยิบแท็บเล็ตประจำตัวของเธอออกมาจากกระเป๋าผ้าที่เธอสะพายติดตัวไว้ตลอด แล้วเปิดหน้าที่เขียนโน้ตเอาไว้“งานพี่วาวันนี้ ลงแพตรวจหอยมุก คุยกับทีมชาวประมงเรื่องสภาพน้ำและฟ้าฝน จดบันทึกข้อมูลไว้ทุกเช้าในแอป โอเคค่ะมุกรับทราบ งั้นมุกจะช่วยแบ่งเบางานที่ว่าเยอะนี้เอ
“อืม นี่ห้องทำงาน” วารีพยักหน้าเข้าไปด้านใน หลังจากเปิดประตูห้องทำงานของเธอออกกว้าง หลังจากทานมื้อเที่ยงด้วยกันเรียบร้อยแล้วเธอก็ตัดสินใจพามุกดามาที่นี่ ไม่รู้อะไรทำให้เธอตัดสินใจแบบนี้ ทั้งที่ห้องทำงานเป็นพื้นที่ที่เธอหวงแหนพอ ๆ กับห้องนอน เพราะที่นี่มีข้อมูลสำคัญหลายอย่าง รวมถึงข้อมูลทางธุรกิจ แต่สุดท้ายเธอก็ยอมที่จะเปิดพื้นที่ตรงนี้ให้มุกดาได้เข้าไป “ทำไมพี่ต้องมีห้องทำงานแยกด้วย ไม่ทำห้องทำงานไว้ที่บ้านล่ะคะ หื้ม” มุกดาเอ่ยถามระหว่างที่เดินสำรวจภายในห้อง ซึ่งห้องทำงานของวารีนั้นตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรือนอนุบาลหอยมุก มันเป็นตู้คอนเทนเนอร์แบบน็อกดาวน์ที่สั่งสำเร็จมาตั้งไว้ที่นี่ ด้านในเป็นพื้นที่โล่ง ๆ มีเพียงโซฟายาวหนึ่งตัว โต๊ะทำงาน และชั้นเอกสารที่วางอยู่ด้านหลังโต๊ะ “บางทีเบื่อ ๆ ก็มาอยู่ที่นี่ จะว่าที่เก็บตัวก็ได้ บางช่วงที่แม่บ่นเยอะพี่ก็หนีมาอยู่ที่นี่” “อ้อ หลุมหลบภัยนี่เอง” มุกดาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินไปหยุดหน้าชั้นเอกสารที่เรียงรายด้วยแฟ้มสีดำมากมาย เธอสุ่มหยิบมาหนึ่งแฟ้มแล้วเปิดดูเอกสารด้านใน “
“ว่าไงนะคะ พูดอีกที มุกคงหูฝาดไปแน่ ๆ” มุกดาถามย้ำทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำจากอีกฝ่าย “จะสองทุ่มแล้วพี่ไปส่ง ทางมันเปลี่ยว ส่วนรถจอดไว้นี่แหละ พรุ่งนี้ให้ลูกจันทร์มาส่งสิ” “เอางั้นเหรอคะ มุกไม่ได้รบกวนพี่ใช่ไหม เดี๋ยวก็มีคนแถวนี้บ่นอีกว่ามุกจุ้นจ้าน ยุ่งยาก น่ารำคาญ บลา ๆ” “หึ จริง ๆ มันก็เป็นแบบนั้นแหละ อีกอย่างถ้าแม่รู้ว่ามืดขนาดนี้แล้วพี่ปล่อยให้มุกกลับคนเดียว แม่ได้มาว่าพี่อีก ขึ้นแท่นลูกรักไปแล้วพี่จะทำอะไรได้ล่ะ” วารีเดินนำไปยังรถของเธอที่จอดอยู่ตรงโรงรถซึ่งมีหลายคันให้เลือกใช้ ทั้งรถเก๋งและรถกระบะ เธอเดินไปหยุดหน้ารถกระบะสี่ประตูสีดำแล้วเปิดประตูฝั่งคนขับเข้าไปนั่งทันที มุกดาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับเข้ามานั่งในรถอย่างรวดเร็ว ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นวารีก็เคลื่อนรถออกไปจากฟาร์มกลิ่นสเปรย์ปรับอากาศในรถบวกกับแอร์เย็นฉ่ำ และเสียงเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ ทำให้มุกดารู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าในวันนี้ได้นิดหน่อย ทั้งคู่นั่งเงียบกันมานาน จนกระทั่งวารีขับรถผ่านร้านอาหารร้านหนึ่ง “เห้ย นั่นร้านลุงเจตหนิ” มุกดาตะโกนลั่น ชี้นิ้วผ่านกระจกใสไปย
มื้อค่ำวันนี้วารีอาสาเป็นเจ้ามือ ด้วยเหตุผลที่ว่าอีกฝ่ายอยู่ทำงานให้เธอจนดึก ซึ่งเป็นเหตุผลที่มุกดาค่อนข้างแปลกใจ เพราะเธอหลับไปต่างหาก ถึงได้กลับบ้านซะค่ำขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกลับไป คิดว่าดีซะอีกที่มื้อนี้อิ่มจังตังอยู่ครบ บ้านของมุกดาอยู่ห่างจากฟาร์มประมาณสามกิโลเมตร อันที่จริงการที่เธอจะกลับบ้านดึกขนาดไหนก็ดูจะไม่เป็นปัญหา แม้ระหว่างทางจะค่อนข้างเปลี่ยวเพราะไม่มีบ้านคน แต่ระยะทางก็ไม่ได้ไกลมาก ขับรถแป๊บเดียวก็ถึง แต่ก็นั่นแหละ วารีก็ยังอาสามาส่งถึงบ้านจนได้ บ้านของมุกดาเป็นบ้านไม้สองชั้นอยู่ท่ามกลางสวนผลไม้หลากชนิดไม่ว่าจะเป็นเงาะ มังคุด ทุเรียน ซึ่งเป็นผลผลิตจากพ่อของเธอที่ปลูกไว้ และถึงแม้พ่อของมุกดาจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ต้นไม้พวกนี้ก็ยังผลิดอก ออกผลอยู่ตลอด มีคนงานช่วยดูแลหนึ่งคนชื่อลุงชื่น ทำหน้าที่ใส่ปุ๋ยรดน้ำและเก็บเกี่ยวผลผลิต ขายบ้างแจกบ้างกินเองบ้าง พอเป็นรายได้ส่วนหนึ่งให้ครอบครัว ทันทีที่แสงไฟสว่างวาบจากหน้ารถของวารีส่องกระทบไปยังบ้านไม้ที่อยู่ในสวน คนที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ในบ้านก็รีบวิ่งออกมาหน้าบ้านทันที
ก่อนกลับไปฟาร์ม วารีไม่ลืมเข้าบ้านไปทักทายผู้หญิงอีกคนที่รักและเคารพไม่แพ้แม่ตัวเอง เมื่อเดินเข้าไปในบ้านก็เจอกับผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเธอกำลังนั่งดูละครหลังข่าวอยู่ตรงโซฟาหน้าทีวี แม่มาลี หรือแม่ลีที่เธอรู้จัก วันนี้ดูอิดโรยกว่าทุกวัน ทว่าสายตาที่มองวารียังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและอบอุ่นเสมอ “วา แม่นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก มุกบอกแค่ว่าหนูมาส่งแล้วก็รีบขึ้นไปอาบน้ำ แม่เลยไม่ได้ถามอะไรต่อ” วารียกมือไหว้คนอาวุโสแล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ ความรู้สึกหลังจากได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังเผชิญโรคร้ายทำให้วารียิ่งรู้สึกสงสารคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก ทั้งที่เธออยู่ใกล้แค่นี้ แต่กลับไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติอะไรเลย “วานั่งคุยกับจันทร์อยู่ตรงข้างบ้านค่ะแม่ ก็เลยไม่ได้เดินเข้าบ้านมากับน้อง แล้วนี่แม่ดูอะไรอยู่คะ กินข้าวรึยัง นมบำรุงกระดูกที่วาซื้อมาให้ครั้งก่อนหมดรึยังเนี่ย แม่อยากได้อะไรอีกมั้ย พรุ่งนี้วาจะซื้อมาให้” วารีเอื้อมมือไปจับมือของแม่ลีแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือลูบเบา ๆ บนหลังมืออีกฝ่าย เธอตั้งใจส่งผ่านกำลังใจดี ๆ ไปพร้อมกับสายตาที่แส
ในเวลาช่วงเช้าของวารีฟาร์ม ก่อนแปดโมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาเข้างาน มักจะมีภาพของชาวบ้านในท้องถิ่นซึ่งทำงานที่นี่ ล้อมวงกันนั่งกินกาแฟและพูดคุยข่าวสารบ้านเมืองกันด้วยเสียงเฮฮา วันนี้มุกดามาถึงฟาร์มเร็วกว่าทุกวันจึงได้เห็นภาพดังกล่าว บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ เสียงหัวเราะ ความเป็นกันเองของคนพื้นถิ่น กลิ่นกาแฟโบราณและขนมที่กินกับกาแฟตอนเช้าคือเอกลักษณ์ของที่นี่ “เอ้า มุก หลบบ้านมาเมื่อใด ลุงไม่เห็นนาน สวยน่าหวางนี้” (อ้าวมุก กลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ลุงไม่เจอนาน เดี๋ยวนี้สวยนะ) น้ำเสียงที่เอ่ยทักทายเป็นภาษาใต้ทำให้มุกดารีบหันไปมองต้นเสียงก็เจอเข้ากับลุงมุ้ย ที่ตอนนี้น่าจะเป็นตามุ้ยไปแล้ว ยังคงมองเธอด้วยสายตาอบอุ่น “หวัดดีค่ะลุง นุ้ยเพิ่งหลบมาไม่นานค่ะ ลาออกจากงานแล้ว หลบมาแลแม่ แกไม่ค่อยบาย” (สวัสดีค่ะลุง หนูเพิ่งกลับมาไม่นานค่ะ ลาออกจากงานแล้ว กลับมาดูแลแม่ ท่านไม่ค่อยสบาย) มุกดาตอบกลับไปด้วยสำเนียงท้องถิ่นเช่นกัน ทำเอาคนที่เพิ่งเดินเข้ามายังวงสนทนายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะไม่คิดว่ามุกดาจะยังพูดใต้ได้ วารีเดินมาหยุดอยู่ข้างกายมุกดาใ
“ซื้อของเสร็จรึยังมุก” วารีเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าบึ้งตึง“อ้าวพี่วา มาเร็วจัง” มุกดายกข้อมือดูนาฬิกาก็เห็นว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน“อืม พี่ซื้อของเสร็จแล้ว” วารีขยับมายืนข้าง ๆ ในแบบที่ใกล้กว่าเดิม แล้วเอามือแตะ ๆ ข้างเอวของมุกดาอย่างเบามือ เลยทำให้อีกฝ่ายแทบไม่รู้สึกว่ากำลังถูกแสดงความเป็นเจ้าของทว่าพนักงานขายผู้ชายที่เห็นการกระทำของวารีบวกกับสีหน้าบึ้งตึงของเธอก็พอจะเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นเขารีบปรับสีหน้ามาเป็นปกติ สายตาที่มองมุกดาหวานฉ่ำหายไปในทันที“แล้วนี่มาซื้ออะไร แท็บเล็ตเครื่องใหม่เหรอ เครื่องเก่าไปไหนแล้วล่ะ” วารียังคงมีสีหน้าหงุดหงิดที่แสดงออกชัดเจน“พี่ไปกินรังแตนที่ไหนมาเนี่ย หน้าบึ้งเป็นบ้าเลย”“ช่างเหอะ จะซื้ออะไรก็รีบซื้อ จะได้รีบกลับ งานที่ฟาร์มมีอีกเยอะ”“โอเค ๆ รู้แล้วค่า” มุกดาลากเสียงยาวแล้วหันไปคุยกับพนักงานขาย“งั้นเอาเครื่องนี้ค่ะพี่ เดี๋ยวรูดบัตรได้เลยนะคะ” มุกดาเตรียมจะหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองออกมา แต่วารีเร็วกว่าเพราะเธอเตรียมบัตรเครดิตไว้ในมือตั้งแต่ที่เดินเข้ามาแล้ว“รูดกับบัตรใบนี้ค่ะ” เธอยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานและส่งส
หลังจากแต่งงานกันมาได้สองปี ตอนนี้ทั้งวารีและมุกดาก็มีความสุขดีตามประสาคู่ชีวิตทั่วไปที่ช่วยกันทำงานและดูแลกิจการ ส่วนเรื่องของการมีลูกนั้น ทั้งคู่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะวารีเองก็อายุ39ปีแล้ว ส่วนมุกดาปีนี้ก็33 หากจะใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีลูกก็อาจจะเสี่ยงในหลาย ๆ อย่าง ทั้งคู่เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ ฟ้าจะส่งเด็กน้อยสองคนมาให้ วันนี้วารีและมุกดาพากันมาบริจาคของเล่นและสิ่งของต่าง ๆ ให้กับสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้า ซึ่งทั้งคู่แวะมาที่นี่กันบ่อย บางครั้งก็แวะมาเล่านิทาน ร้องเพลง ทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ และทุกครั้งที่จะกลับ มักจะมีสายตาละห้อยของเด็ก ๆ มองพวกเธอเสมอทำให้มุกดาอดคิดถึงลูกจันทร์น้องสาวของเธอไม่ได้ หากวันนั้นแม่ของเธอไม่รับลูกจันทร์มาเลี้ยง ไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของน้องสาวตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง หากมีโอกาส มุกดาก็อยากจะช่วยเหลือเด็กที่นี่ได้มากกว่านี้“ทำหน้าเศร้าอีกแล้วนะคะ”วารีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างกันหม่นหมองลงทันทีในตอนที่กำลังจะกลับ“น้องสงสารเด็ก ๆ ที่นี่ค่ะ ใจนึงก็อยากช่วย อีกใจก็รู้ว่าเราคงไม่มีกำล
สนามบินต่างประเทศในเช้าตรู่เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจากนักท่องเที่ยว แต่วารีกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด มือที่กุมมือมุกดาไว้แน่น ๆ คือคำยืนยันว่าการเดินทางไปดูงานต่างประเทศครั้งนี้ เธอไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียวอีกต่อไป การเดินทางมาโตเกียวครั้งนี้ คนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าคือมุกดา และเป็นฝ่ายจัดกระเป๋าเตรียมทุกอย่างให้วารีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะแต่งงานกันมานานแล้ว แต่เรื่องของความรักและการเอาใจใส่กันยังคงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่เติมเต็มให้กันเสมอ“พี่วาคะ น้องได้ยินมาว่า ร้านเครื่องประดับในโตเกียวนี่ขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ที่เอามุกมาประยุกต์แบบโมเดิร์นเลยนะคะ” มุกดาหันมาพูดอย่างตื่นเต้น ขณะที่ทั้งคู่รอแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมวารีพยักหน้า ดวงตาหวานฉ่ำมองคนข้างกาย “เดี๋ยวก็ได้เห็นค่ะ พี่เองก็อยากดูว่าเขาเอาแนวคิดธรรมชาติมาใส่ในเครื่องประดับยังไงบ้าง จะได้กลับไปพัฒนาไลน์ของเราเพิ่ม”ทริปนี้วารีตั้งใจพามุกดามาด้วย เพราะอยากให้เห็นกระบวนการด้านศิลป์และการตลาดจากทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องอนุรักษ์หรือการผลิตเพียงอย่างเดียว มุกดาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มาดูนิทรรศการเครื่องประดับหอ
เสียงคลื่นซัดเบา ๆ อยู่ไม่ห่างจากเวทีไม้ไผ่ที่จัดวางกลางลานหญ้าของฟาร์มวารี เส้นไฟดวงเล็กวิบวับถูกขึงข้ามเหนือหัวผู้คน บรรยากาศค่ำคืนโรแมนติกอบอวลด้วยกลิ่นอาหารทะเลสด ๆ และเสียงหัวเราะของผู้ที่มาร่วมงานโต๊ะยาวที่จัดเรียงหน้าฟาร์มเต็มไปด้วยอาหารพื้นบ้านอย่างหอยทอด ข้าวเหนียวปิ้ง ปลาย่าง และของหวานแบบไทย ๆ ที่แม่ ๆ ป้า ๆ แถวนั้นตั้งใจทำมาจากบ้านตัวเอง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วันสำคัญของสองสาวเจ้าของฟาร์ม’“บรรยากาศดีจนฉันอยากแต่งงานอีกรอบเลย” คิรินเอ่ยพลางยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ หันไปมองวิวาห์ที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วส่งยิ้มหวานวิวาห์หันไปทางเวทีกลาง พูดเสียงเบาเหมือนกำลังคิดตาม “วารีดูอ่อนโยนขึ้นเยอะเลยเนอะตอนอยู่กับมุก ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง”“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่ชื่อมุกดา คนที่เคยทำให้เพื่อนเราร้องไห้จนแทบจะขาดใจตาย ทำให้คนที่เคยเหมือนหินก้อนเบ้อเริ่ม กลายเป็นขนมโมจิได้ เห็นหน้าวารีเมื่อกี้มั้ย เหมือนลูกแมวเลย” คิรินหัวเราะเบา ๆบนเวทีไม้ไผ่ มุกดาในชุดไทยผสมลูกไม้ประยุกต์สีครีมอ่อน ยืนจับมือกับวารีที่อยู่ข้างกัน ทั้งสองคนยิ้มเขินนิด ๆ ขณะท
งานแต่งงานของวารีกับมุกดาในวันนี้ จะเรียกงานแต่งก็อาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะบรรยากาศมันเหมือนการรวมพลเลี้ยงคนในหมู่บ้านมากกว่า วารีไม่คิดเลยว่าแม่ของเธอจะเชิญคนทั้งหมู่บ้านขนาดนี้ บรรยากาศในวันนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงเฮฮาและรอยยิ้ม ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองคนมีรอยยิ้มสดใส หน้าตาเปล่งปลั่ง มีออร่าตลอดเวลาที่คอยต้อนรับแขกในงาน และความตั้งใจของทั้งวารีและมุกดา ที่อยากให้งานเป็นไปด้วยความเรียบง่าย พิธีวันนี้จึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก มีเพียงการผูกข้อไม้ข้อมือ สวมแหวน และงานเลี้ยงขอบคุณแขกที่มาร่วมงานก็เท่านั้น และสิ่งที่เซอร์ไพรซ์ในงานแต่งวันนี้คือการที่ลูกจันทร์พาใครบางคนมาร่วมงานแต่งของพี่สาวเธอด้วย นั่นก็คือคุณพาขวัญ บุคคลที่ย่างกรายเข้ามาในงานแล้วโดนจับจ้องด้วยสายตาทุกคู่ พาขวัญ อัครเมธากุล เจ้าของมูลนิธิพาขวัญ ผู้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย อีกทั้งยังก่อตั้งมูลนิธิเพื่อให้เงินทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้และเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ลูกสาวนักการเมืองตำแหน่งใหญ่ นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ว่ากันว่า เธอไม่ชอบงานสังคม เธอหาตัวจับยาก ไม่ค่อยมีใครได้เห็นเธอไปไหนมา
วารีฟาร์มแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นเสมอมา นับตั้งแต่มุกดาเข้ามาที่นี่เจ้าของฟาร์มที่เคยเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยทักทายลูกน้อง ใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาก็ดูจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันแต่งงานเข้ามาใกล้มากขึ้น ใกล้จนมันกำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว เสียงคลื่นซัดเบา ๆ เข้าฝั่งในยามค่ำคืน ท้องฟ้าริมทะเลมีเพียงแสงดาวกระพริบระยิบ ระเบียงบ้านไม้ที่ยื่นไปในทะเลของวารีเงียบสงบ ลมโชยอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางในห้องนอน ราวกับจะกระซิบเตือนให้หัวใจของคนทั้งสองจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้แม่นมุกดานั่งอยู่บนเตียงไม้สีอ่อน ห่มผ้าบาง ๆ รอบตัว ขาเปลือยเปล่าห้อยแกว่งเบา ๆ กับอากาศ ขณะที่แสงไฟจากโคมข้างเตียงให้แสงอบอุ่นพอดีเสียงประตูไม้เปิดออก วารีในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาช้า ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาฉายแววอ่อนโยนกว่าทุกคืน“ยังไม่นอนเหรอคะ” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยถามแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน“พรุ่งนี้ก็จะแต่งงานแล้ว ใครจะหลับลงกันล่ะ” มุกดาหันมายิ้มตาหยีวารีคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เตรียมเอาของที่สองมือซ่อนไว้ด้านหลังออกมา“พี่มีอะไรจะให้ค่ะ”“หืม?” ม
นับตั้งแต่คุยเรื่องแต่งงาน และได้ข้อสรุปว่า ฤกษ์แต่งงานจะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า ทางด้านมุกดาก็หันมาดูแลตัวเองมากกว่าเดิม เพราะอยากให้ภาพวันนั้นออกมาสวยงามที่สุด จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ควรทำ เพื่อให้ออร่าเจ้าสาวเปล่งประกาย แต่ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนไม่ชอบเอาซะเลยที่แฟนตัวเองหันมาดูแลตัวเองจนสวยวันสวยคืนมากขึ้น พักหลังมานี้วารีจึงตามติดมุกดามากกว่าเดิม ถ้าเมื่อก่อนแทบจะสิง ตอนนี้คงต้องเรียกว่า แทบจะกลืนกิน ถึงขนาดที่ว่า คนงานในฟาร์มยังไม่กล้ามองมุกดาตรง ๆ เพราะมักจะเจอกับสายตาดุ ๆ ของวารีอยู่เสมอ ส่วนมุกดานั้นไม่ได้ถือสาอะไรกับท่าทีของแฟนตัวเอง เธอมองว่าวารีเหมือนโกลเด้นตัวโตที่อยากให้เจ้าของสนใจก็เท่านั้นวันนี้แดดในช่วงบ่ายคล้อยกำลังอ่อนแรง เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเหมือนเพลงกล่อม วารีเดินออกจากห้องประชุมในศูนย์การเรียนรู้ของฟาร์ม ด้วยสีหน้าตึงเครียดหลังการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรฯ เสร็จ เธอถอดเสื้อคลุมพาดไหล่ออก เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวเรียบที่เปียกชื้นจากเหงื่อเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเริ่มแผ่ซึมผ่านท่าทางทุกอณูแต่ทันทีที่
บรรยากาศรอบ ๆ บ้านไม้สองชั้นของมุกดาในเย็นวันนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น แม่ลี แม่แวว วารี มุกดา และลูกจันทร์ ทั้งห้าคนกำลังนั่งล้อมวงอยู่ตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อนใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่หน้าบ้าน นับตั้งแต่มุกดากลับมาอยู่บ้าน อาการป่วยของแม่ลีก็ดูจะดีขึ้นมาก ยิ่งในวันนี้ใบหน้าของคนที่กำลังต่อสู้กับโรคร้ายกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หากเป็นคนที่ไม่รู้จักกันคงแทบไม่รู้เลยว่าแม่ลีกำลังป่วย เพราะใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา เรื่องของการหมั้นหมายและการแต่งงานคือหัวข้อสำคัญในการคุยกันในเย็นนี้ ทว่าคนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าใครคือลูกจันทร์ เพราะเธอคือคนที่รับรู้เรื่องราวของทั้งคู่มาโดยตลอด ยิ่งได้รู้ว่าพี่สาวที่ตัวเองรักทั้งสองคนกำลังจะแต่งงานกัน ความอิ่มอกอิ่มใจมันเอ่อล้นภายในใจจนแสดงออกมาผ่านสายตาเปล่งประกาย “ค่าสินสอด ค่าเลี้ยงดูน่ะ เรียกมาเถอะลี ไม่ต้องเกรงใจหรอก ฉันกับลูกตั้งใจเต็มที่กับงานนี้ ยังไงก็ไม่ให้น้อยหน้าหรอก” แม่แววหันไปคุยกับแม่ลี เพื่อนรักที่รู้จักกันมาเกือบทั้งชีวิต แน่นอนว่าทั้งคู่ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ลูกสาวของตนปรองดองกัน “โอ้ย ฉ
“มันจะเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ ทุกอย่างที่เป็นเรื่องของน้อง เป็นความสบายใจของน้อง เป็นความสุข และเป็นสิ่งที่จะทำให้น้องยิ้มได้ พี่จะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้เลยนะ หลังจากนี้ไป ให้พี่ดูแลนะ ให้พี่ได้มีโอกาสแก้ไขเรื่องที่ผ่านมา ความเข้าใจผิดในทุกอย่าง เราสองคนมาปลูกต้นรักกันใหม่ มาสร้างครอบครัวของเราด้วยกันนะ” ทุกคำพูดของวารีเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย เธอมองหน้ามุกดาตลอดเวลาที่พูด สายตาที่มองคนอายุน้อยกว่าเต็มไปด้วยความรักใคร่ “ขอบคุณนะคะพี่วา สำหรับทุกอย่างที่คิดจะทำ จริง ๆ น้องเองก็เป็นฝ่ายผิดเหมือนกันที่ไม่เคยรับฟังพี่เลย เอาแต่ความรู้สึกของตัวเองจนลืมไปว่าพี่ก็มีความรู้สึก พี่ก็คงเจ็บปวดไม่น้อย งั้นหลังจากนี้เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะคะ น้องสัญญาว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเหมือนกัน” “ได้สิคะ เราสองคนเริ่มต้นกันใหม่ได้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้พี่ง่วงแล้วอะ ไม่รู้แหละคืนนี้น้องต้องให้พี่นอนด้วย” “อะไรกัน จู่ ๆ วนมาเรื่องนี้ได้ยังไง อีกอย่าง ระยะทางแค่สามกิโลมันคงไม่ทำให้พี่ขับรถกลับโดยใช้เวลานานเกินไปหรอกนะคะ กลับไปนอนที่บ้านเลยค่ะ อีกอย่างกลุ่มนักศึกษาก็ยังอยู่ เจ้า
วารีใจแป้วไม่น้อยเมื่อได้ยินคำพูดของมุกดาที่ส่งกลับมาแบบนั้น แต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือ เพราะเริ่มมั่นใจแล้วว่า การที่อีกฝ่ายมองเธอด้วยสายตาแบบนี้ แปลว่ากำลังมีเรื่องขุ่นเคืองบางอย่าง “คืนนี้ขอนอนด้วยนะคะ” วารีถามกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ไม่ค่ะ บ้านตัวเองก็มี โฮมสเตย์ก็มีตั้งหลายห้อง เลือกเอาสักห้องสิคะอยากนอนห้องไหน” “คืนนี้โฮมสเตย์เต็มทุกห้องค่ะ ให้พี่นอนด้วยนะคะ” “ไม่ค่ะ พี่วากลับไปเลย ไม่แน่ตอนนี้อาจจะมีคนรอพี่อยู่ก็ได้นะคะ” “น้องหมายถึงใคร พี่ไม่เข้าใจ” วารีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ก็ใครกันล่ะที่เข้ามาใกล้ชิดพี่จนวันนี้เราแทบไม่ได้คุยกันเลย ใครล่ะที่พี่คุยด้วยกระหนุงกระหนิง หน้าชื่นตาบานขนาดนั้น ใครกันที่มองพี่ซะสายตาหวานหยดย้อยอย่างกับอยากจะกลืนกินซะเหลือเกิน เห็นแล้วมันน่าโมโหชะมัด” วารีเข้าใจได้มากขึ้นเมื่อมุกดาบอกถึงการกระทำของบุคคลที่ว่าอย่างละเอียดยิบ และวันนี้ทั้งวันก็มีเพียงคนเดียวที่เข้ามาใกล้ชิดเธอ “พี่เข้าใจแล้วค่ะ แต่มันไม่มีอะไรเลย น้องก็รู้ว่าเวลามีคนมาดูงานที่ฟาร์ม พี่ทั้งตื่นเต้นแล้วก็ดีใจ อย