ชีวิตของวารีไม่เหมือนเดิมอย่างที่บอกจริง ๆ เพราะตั้งแต่มุกดาเข้ามาช่วยงานแม่แวว และมาที่ฟาร์มแทบทุกวัน เรื่องราวในแต่ละวันก็กลับมีสีสันมากขึ้น
แต่ดูเหมือนวารีจะไม่ชอบสีสันที่ว่าเท่าไหร่นัก อย่างเช่นตอนนี้ที่มุกดากำลังรบเร้าเธอเพื่อขอติดตามไปดูกระชังหอยมุกกลางทะเลด้วย
“มุกอย่าดื้อ พี่บอกแล้วไงว่ามันต้องลงแพไป ออกไปกลางทะเลโน่น ร้อนก็ร้อน กว่าจะกลับเข้ามาก็เที่ยง มุกทนไม่ไหวหรอก ไปอยู่ที่ร้านกับแม่ดีแล้ว”
วารีพยายามอธิบายเหตุผลที่เธอไม่อยากให้อีกฝ่ายติดตามไป แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเปล่าประโยชน์
“มุกไม่กลัวแดด ไม่กลัวร้อน ไม่กลัวเหนื่อย ไม่กลัวหิว อีกอย่างแม่แววก็อนุญาตแล้วด้วย เพราะงั้นพี่วาต้องให้มุกไป”
“มุก งานพี่มันเยอะ อย่าไปทำให้เหนื่อยกว่าเดิมได้มั้ย ขอร้องล่ะ”
เมื่อวารีเอ่ยแบบนั้น มุกดาจึงหยิบแท็บเล็ตประจำตัวของเธอออกมาจากกระเป๋าผ้าที่เธอสะพายติดตัวไว้ตลอด แล้วเปิดหน้าที่เขียนโน้ตเอาไว้
“งานพี่วาวันนี้ ลงแพตรวจหอยมุก คุยกับทีมชาวประมงเรื่องสภาพน้ำและฟ้าฝน จดบันทึกข้อมูลไว้ทุกเช้าในแอป โอเคค่ะมุกรับทราบ งั้นมุกจะช่วยแบ่งเบางานที่ว่าเยอะนี้เองค่ะ ไปกันเถอะ”
พูดจบเธอก็หยิบหมวกสานปีกกว้างขึ้นมาใส่ พร้อมสวมแว่นกันแดดสีดำ แล้วเดินนำไปยังท่าเรือเล็ก ๆ ริมฝั่งที่เป็นสถานที่สำหรับลงแพไปยังกระชังเลี้ยงหอยมุกที่อยู่กลางทะเล
วารีรีบเดินตามไปทันที เมื่อประชิดตัวอีกฝ่าย ก็คว้าแขนมุกดาเอาไว้
“พี่ไม่ให้ไป จะไปทำไม ที่กระชังมีแต่คนงานผู้ชาย แดดก็ร้อน กลับไปอยู่กับแม่ที่ร้าน หรือไม่ก็ไปอยู่ที่บ้าน เตรียมมื้อเที่ยงไว้ให้พี่”
มุกดาแอบแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น สมองของเธอกำลังประมวลผลว่า ที่อีกฝ่ายพูดมาทั้งหมด นั่นแปลว่าเป็นห่วงเธอรึเปล่า
แต่เมื่อนึกถึงคำว่า เป็นห่วง มุกดาก็ส่ายหน้าเบา ๆ คนอย่างพี่วาน่าจะไม่เหลือความรู้สึกนั้นให้เธอแล้ว แต่ถ้าพูดเพราะกลัวไปเกะกะหรือสร้างความรำคาญใจให้ อันนี้ดูจะเป็นไปได้มากกว่า
“อะ ๆ ไม่ไปก็ได้ ถ้าจะห้ามขนาดนี้ งั้นมุกไปอยู่ที่ร้านอาหารช่วยแม่แววแล้วกัน”
มุกดาพูดจบก็เตรียมจะหันหลังกลับ แต่คำพูดจากวารีก็ทำให้เธอต้องหยุดชะงักฝีเท้าอีกครั้ง
“มุก”
“คะ” คนอายุน้อยกว่าหันกลับมา สบสายตาอีกฝ่ายด้วยท่าทีงุนงง
“ทำกับข้าวไว้ให้ด้วย วันนี้อยากกินน้ำพริกกุ้งสดกับไข่เจียวชะอม”
“แหม วันก่อนยังบอกว่าฝีมือมุกไม่อร่อยอยู่เลย” มุกดาอดไม่ได้ที่จะมองบน
“ก็ใช่ ไม่อร่อย พี่กินกันตายต่างหาก”
วารีพูดจบก็เดินจากไป จึงไม่ทันได้ยินเสียงถอนหายใจของมุกดาที่ดังตามมาพร้อมกับเสียงบ่นมุบมิบ
‘คนเรานะ จะขอช่วยคนอื่นเนี่ย แค่พูดด้วยดี ๆ มันจะตายรึไง ไอ้พี่วาบ้า!’
หลังจากแยกย้ายกัน วารีก็ไปทำงานของเธออย่างเช่นทุกวัน แต่ดูเหมือนพักนี้จิตใจของเธอไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว และรีบเร่งการทำงานให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
ไม่ทันที่นาฬิกาจะบอกเวลาเที่ยงตรง วารีก็กลับมาถึงบ้านแล้ว และบนโต๊ะกินข้าวในครัวก็มีอาหารที่เธอสั่งเตรียมไว้ให้พร้อม สิ่งที่ไม่มีก็แค่คนที่ควรจะอยู่ที่บ้าน
‘หายไปไหนนะ’
วารีเดินวนทั่วบ้าน ออกไปดูตรงระเบียงไม้หลังบ้านที่ยื่นไปในทะเลก็ไม่เจอใคร เธอจึงเดินไปยังร้านอาหารก็เห็นมุกดากำลังคุยกับชาวบ้านที่นำสัตว์ทะเลที่หาได้มาขายที่ร้าน
วารียืนมองอีกฝ่ายอยู่ไกล ๆ ยังไม่คิดจะเดินเข้าไปในร้าน เห็นท่าทีของมุกดายืนคุยกับชาวประมงสองคนที่เอาปลาและกุ้งมาขาย แววตาของเธอดูมีความสุข บางครั้งทั้งหัวเราะและยิ้มร่า คุยกับชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง ซึ่งมุมนี้วารีเองก็แทบไม่เคยเห็น
และไม่เคยคิดเลยว่าเวลาที่แมวหยิ่งตัวนี้ยิ้มและหัวเราะ มันจะน่ารักได้ขนาดนี้
หลังจากชาวประมงสองคนกลับไปแล้ว วารีถึงได้เดินเข้าไปในร้านด้วยใบหน้าราบเรียบอย่างเช่นทุกครั้ง
“ทำอะไร” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถาม
มุกดาที่กำลังจดอะไรสักอย่างลงในโน้ตในแท็บเล็ตของเธอชะงักปากกาในมือชั่วครู่ แต่ก็ไม่ได้เงยหน้ามองคนถาม เธอเอ่ยตอบทั้งที่มือยังจดข้อมูลบางอย่างยิก ๆ
“มุกไม่แน่ใจว่าเวลามีชาวบ้านเอาสัตว์ทะเลมาขาย พี่วาได้บันทึกข้อมูลอะไรไว้บ้างรึเปล่า ถามแม่แววแล้วแม่ก็ไม่รู้ มุกเลยคิดว่าเราจะต้องมีตารางบันทึกข้อมูลส่วนนี้ไว้ด้วย มันจะได้สอดคล้องกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งเป็นงานที่พี่วาทำอยู่ไงคะ”
วารียืนกอดอก ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทันที เพราะอยากรอดูว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรอีก เธอมั่นใจว่ามุกดายังพูดไม่จบแน่ ๆ
“เมื่อกี้ชาวบ้านเค้าเอากุ้งกับปลามาขาย มุกก็เลยทำแบบฟอร์มบันทึกข้อมูลไว้ค่ะ พี่ดูนี่”
มุกดาขยับมายืนข้าง ๆ วารี แล้วยื่นหน้าจอแท็บเล็ตให้อีกฝ่ายดู พร้อมกับอธิบายไปพร้อมกัน
“ข้อมูลที่มุกบันทึกไว้ทั้งหมดมีประมาณนี้ค่ะ อันดับแรกเลยคือ ชนิดของสัตว์ทะเล ขนาดและน้ำหนัก วันเดือนปีหรือฤดูกาลที่จับมาขาย ที่เราต้องบันทึกวิธีการจับก็เพื่อดูว่าเป็นวิธียั่งยืนหรือทำลายระบบนิเวศรึเปล่า แล้วก็แหล่งที่จับมา เพื่อดูว่าเป็นพื้นที่คุ้มครองหรือพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการทำลายระบบนิเวศมั้ย”
วารีเหลือบสายตามองคนที่กำลังอธิบายทุกอย่างด้วยเสียงเจื้อยแจ้วแล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย แต่มุกดาไม่ได้เห็นท่าทีนั้นและพูดต่อ
“นอกจากนี้ต้องบันทึกชื่อสกุลชาวประมง ทำข้อมูลแยกไว้ด้วย เพื่อที่ต่อไปเราอาจจะได้สร้างเครือข่าย ชาวประมงที่ยั่งยืน และส่งเสริมการรับรู้ในชุมชน นำไปสู่การจัดทำระบบ traceability (ย้อนรอยวัตถุดิบ) ได้อีกด้วย”
มุกดาอธิบายทุกอย่างด้วยความตั้งใจ แววตาของเธอที่พูดเรื่องนี้ดูเปล่งประกาย ราวกับมันเป็นสิ่งที่เธอรักและอยากที่จะทำเป็นอย่างมาก ถึงแม้ตอนนี้เธอจะลาออกจากอาชีพนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแล้วก็ตาม
ตลอดเวลาที่มุกดาอธิบายเรื่องต่าง ๆ หลายครั้งที่วารีแอบเหลือบมองใบหน้าของคนข้างกาย นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เธอมีโอกาสได้มองใบหน้ามุกดาใกล้ขนาดนี้
ทั้งความตั้งใจ ทั้งน้ำเสียงที่เอ่ยชัดทุกถ้อยคำ มันออกมาจากแววตาของผู้หญิงคนนี้ในแบบที่ไม่สามารถปกปิดได้เลย
“อ้อ แล้วก็พวกราคาซื้อขายเราก็ต้องบันทึกไว้ค่ะพี่วา เพื่อติดตามแนวโน้มตลาด ส่วนช่องหมายเหตุ เราก็เอาไว้บันทึกอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้ เช่นว่า สัตว์ที่จับมาได้มีไข่ติดมาด้วย ขนาดเล็กกว่ามาตรฐาน มาจากแหล่งอนุรักษ์ ทำนองนี้ค่ะ ข้อมูลทั้งหมดที่เราบันทึกมันมีประโยชน์มากเลยนะคะ ทั้งกับชุมชนและงานของพี่ มันเอาไปต่อยอดได้อีกมาก จำเป็นที่จะต้องทำค่ะ”
มุกดาพูดจบก็เอาแท็บเล็ตของเธอกลับคืนมา เธอกอดมันไว้ในอกแล้วหันไปมองหน้าวารี
“มีอะไรสงสัยอยากถามอีกมั้ยคะ คุณเจ้าของฟาร์ม”
“ไม่มีอะไรสงสัย แค่จะบอกว่า สิ่งที่เธอทำน่ะ พี่ก็ทำ พี่บรรทึกข้อมูลทุกอย่างไว้ทุกครั้ง ถึงได้บอกไงว่าเรื่องนี้พี่จัดการเอง”
“อ้าว ก็ไหนแม่แววบอกว่าไม่เคยเห็นพี่บันทึกข้อมูลพวกนี้ไว้”
“ก็พี่เก็บเอกสารทุกอย่างไว้ในห้องทำงาน แล้วห้องนั้นใครก็ไม่เคยเข้าไปยุ่ง แม่ก็ไม่ได้รู้เรื่องงานของพี่นักหรอก คราวหลังอยากรู้อะไรมาถามพี่”
มุกดาเงียบไปครู่หนึ่ง เธอเดินวนไปวนมารอบตัวของวารีเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
“เมื่อกี้พี่บอกว่า เก็บเอกสารทุกอย่างไว้ในห้องทำงานเหรอ”
“อื้ม”
“เอกสารที่ว่านี่คือ พวกแฟ้มเอกสาร กระดาษเยอะ ๆ แล้วก็จดข้อมูลทุกอย่างด้วยมือน่ะเหรอคะ”
“อื้ม ก็ใช่น่ะสิ”
มุกดาถอนหายใจเมื่อรู้แบบนั้น เธอก้าวยาว ๆ ไปหยุดตรงหน้าวารีแล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เชย สะ บัด! เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีเค้าไปไกลแล้วนะคะ ใช้ให้เป็นหน่อยคุณพี่ พวกข้อมูลต่าง ๆ มันมีโปรแกรมสำเร็จสำหรับบันทึกนะคะ”
“แล้วไง? พี่ถนัดแบบนี้”
“แต่มุกขัดใจ พี่ต้องพามุกไปห้องทำงานของพี่ มุกจะไปช่วยดูว่ามีเอกสารส่วนไหนที่เราจะย้ายมาเก็บข้อมูลในแบบของไฟล์งานได้ จะได้โละพวกกองเอกสารทิ้งไปบ้าง”
“ไม่ต้องมายุ่งกับห้องทำงานของพี่ แล้วก็งานทุกอย่างของพี่ ทำแค่ที่สั่งให้ทำก็พอ เลิกพูดมากแล้วกลับบ้านไปกินข้าวเที่ยงได้แล้ว”
มุกดาถอนหายใจใส่หน้าวารีไปหนึ่งครั้ง ก่อนจะเอ่ยเสียงดัง
“ไม่ค่ะ ถ้าพี่ไม่ยอมให้มุกช่วยจัดการเรื่องงาน ก็เชิญพี่กลับบ้านไปกินข้าว คน เดียว เลย!”
“อืม นี่ห้องทำงาน” วารีพยักหน้าเข้าไปด้านใน หลังจากเปิดประตูห้องทำงานของเธอออกกว้าง หลังจากทานมื้อเที่ยงด้วยกันเรียบร้อยแล้วเธอก็ตัดสินใจพามุกดามาที่นี่ ไม่รู้อะไรทำให้เธอตัดสินใจแบบนี้ ทั้งที่ห้องทำงานเป็นพื้นที่ที่เธอหวงแหนพอ ๆ กับห้องนอน เพราะที่นี่มีข้อมูลสำคัญหลายอย่าง รวมถึงข้อมูลทางธุรกิจ แต่สุดท้ายเธอก็ยอมที่จะเปิดพื้นที่ตรงนี้ให้มุกดาได้เข้าไป “ทำไมพี่ต้องมีห้องทำงานแยกด้วย ไม่ทำห้องทำงานไว้ที่บ้านล่ะคะ หื้ม” มุกดาเอ่ยถามระหว่างที่เดินสำรวจภายในห้อง ซึ่งห้องทำงานของวารีนั้นตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรือนอนุบาลหอยมุก มันเป็นตู้คอนเทนเนอร์แบบน็อกดาวน์ที่สั่งสำเร็จมาตั้งไว้ที่นี่ ด้านในเป็นพื้นที่โล่ง ๆ มีเพียงโซฟายาวหนึ่งตัว โต๊ะทำงาน และชั้นเอกสารที่วางอยู่ด้านหลังโต๊ะ “บางทีเบื่อ ๆ ก็มาอยู่ที่นี่ จะว่าที่เก็บตัวก็ได้ บางช่วงที่แม่บ่นเยอะพี่ก็หนีมาอยู่ที่นี่” “อ้อ หลุมหลบภัยนี่เอง” มุกดาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินไปหยุดหน้าชั้นเอกสารที่เรียงรายด้วยแฟ้มสีดำมากมาย เธอสุ่มหยิบมาหนึ่งแฟ้มแล้วเปิดดูเอกสารด้านใน “
“ว่าไงนะคะ พูดอีกที มุกคงหูฝาดไปแน่ ๆ” มุกดาถามย้ำทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำจากอีกฝ่าย “จะสองทุ่มแล้วพี่ไปส่ง ทางมันเปลี่ยว ส่วนรถจอดไว้นี่แหละ พรุ่งนี้ให้ลูกจันทร์มาส่งสิ” “เอางั้นเหรอคะ มุกไม่ได้รบกวนพี่ใช่ไหม เดี๋ยวก็มีคนแถวนี้บ่นอีกว่ามุกจุ้นจ้าน ยุ่งยาก น่ารำคาญ บลา ๆ” “หึ จริง ๆ มันก็เป็นแบบนั้นแหละ อีกอย่างถ้าแม่รู้ว่ามืดขนาดนี้แล้วพี่ปล่อยให้มุกกลับคนเดียว แม่ได้มาว่าพี่อีก ขึ้นแท่นลูกรักไปแล้วพี่จะทำอะไรได้ล่ะ” วารีเดินนำไปยังรถของเธอที่จอดอยู่ตรงโรงรถซึ่งมีหลายคันให้เลือกใช้ ทั้งรถเก๋งและรถกระบะ เธอเดินไปหยุดหน้ารถกระบะสี่ประตูสีดำแล้วเปิดประตูฝั่งคนขับเข้าไปนั่งทันที มุกดาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับเข้ามานั่งในรถอย่างรวดเร็ว ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นวารีก็เคลื่อนรถออกไปจากฟาร์มกลิ่นสเปรย์ปรับอากาศในรถบวกกับแอร์เย็นฉ่ำ และเสียงเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ ทำให้มุกดารู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าในวันนี้ได้นิดหน่อย ทั้งคู่นั่งเงียบกันมานาน จนกระทั่งวารีขับรถผ่านร้านอาหารร้านหนึ่ง “เห้ย นั่นร้านลุงเจตหนิ” มุกดาตะโกนลั่น ชี้นิ้วผ่านกระจกใสไปย
มื้อค่ำวันนี้วารีอาสาเป็นเจ้ามือ ด้วยเหตุผลที่ว่าอีกฝ่ายอยู่ทำงานให้เธอจนดึก ซึ่งเป็นเหตุผลที่มุกดาค่อนข้างแปลกใจ เพราะเธอหลับไปต่างหาก ถึงได้กลับบ้านซะค่ำขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกลับไป คิดว่าดีซะอีกที่มื้อนี้อิ่มจังตังอยู่ครบ บ้านของมุกดาอยู่ห่างจากฟาร์มประมาณสามกิโลเมตร อันที่จริงการที่เธอจะกลับบ้านดึกขนาดไหนก็ดูจะไม่เป็นปัญหา แม้ระหว่างทางจะค่อนข้างเปลี่ยวเพราะไม่มีบ้านคน แต่ระยะทางก็ไม่ได้ไกลมาก ขับรถแป๊บเดียวก็ถึง แต่ก็นั่นแหละ วารีก็ยังอาสามาส่งถึงบ้านจนได้ บ้านของมุกดาเป็นบ้านไม้สองชั้นอยู่ท่ามกลางสวนผลไม้หลากชนิดไม่ว่าจะเป็นเงาะ มังคุด ทุเรียน ซึ่งเป็นผลผลิตจากพ่อของเธอที่ปลูกไว้ และถึงแม้พ่อของมุกดาจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ต้นไม้พวกนี้ก็ยังผลิดอก ออกผลอยู่ตลอด มีคนงานช่วยดูแลหนึ่งคนชื่อลุงชื่น ทำหน้าที่ใส่ปุ๋ยรดน้ำและเก็บเกี่ยวผลผลิต ขายบ้างแจกบ้างกินเองบ้าง พอเป็นรายได้ส่วนหนึ่งให้ครอบครัว ทันทีที่แสงไฟสว่างวาบจากหน้ารถของวารีส่องกระทบไปยังบ้านไม้ที่อยู่ในสวน คนที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ในบ้านก็รีบวิ่งออกมาหน้าบ้านทันที
ก่อนกลับไปฟาร์ม วารีไม่ลืมเข้าบ้านไปทักทายผู้หญิงอีกคนที่รักและเคารพไม่แพ้แม่ตัวเอง เมื่อเดินเข้าไปในบ้านก็เจอกับผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเธอกำลังนั่งดูละครหลังข่าวอยู่ตรงโซฟาหน้าทีวี แม่มาลี หรือแม่ลีที่เธอรู้จัก วันนี้ดูอิดโรยกว่าทุกวัน ทว่าสายตาที่มองวารียังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและอบอุ่นเสมอ “วา แม่นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก มุกบอกแค่ว่าหนูมาส่งแล้วก็รีบขึ้นไปอาบน้ำ แม่เลยไม่ได้ถามอะไรต่อ” วารียกมือไหว้คนอาวุโสแล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ ความรู้สึกหลังจากได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังเผชิญโรคร้ายทำให้วารียิ่งรู้สึกสงสารคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก ทั้งที่เธออยู่ใกล้แค่นี้ แต่กลับไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติอะไรเลย “วานั่งคุยกับจันทร์อยู่ตรงข้างบ้านค่ะแม่ ก็เลยไม่ได้เดินเข้าบ้านมากับน้อง แล้วนี่แม่ดูอะไรอยู่คะ กินข้าวรึยัง นมบำรุงกระดูกที่วาซื้อมาให้ครั้งก่อนหมดรึยังเนี่ย แม่อยากได้อะไรอีกมั้ย พรุ่งนี้วาจะซื้อมาให้” วารีเอื้อมมือไปจับมือของแม่ลีแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือลูบเบา ๆ บนหลังมืออีกฝ่าย เธอตั้งใจส่งผ่านกำลังใจดี ๆ ไปพร้อมกับสายตาที่แส
ในเวลาช่วงเช้าของวารีฟาร์ม ก่อนแปดโมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาเข้างาน มักจะมีภาพของชาวบ้านในท้องถิ่นซึ่งทำงานที่นี่ ล้อมวงกันนั่งกินกาแฟและพูดคุยข่าวสารบ้านเมืองกันด้วยเสียงเฮฮา วันนี้มุกดามาถึงฟาร์มเร็วกว่าทุกวันจึงได้เห็นภาพดังกล่าว บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ เสียงหัวเราะ ความเป็นกันเองของคนพื้นถิ่น กลิ่นกาแฟโบราณและขนมที่กินกับกาแฟตอนเช้าคือเอกลักษณ์ของที่นี่ “เอ้า มุก หลบบ้านมาเมื่อใด ลุงไม่เห็นนาน สวยน่าหวางนี้” (อ้าวมุก กลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ลุงไม่เจอนาน เดี๋ยวนี้สวยนะ) น้ำเสียงที่เอ่ยทักทายเป็นภาษาใต้ทำให้มุกดารีบหันไปมองต้นเสียงก็เจอเข้ากับลุงมุ้ย ที่ตอนนี้น่าจะเป็นตามุ้ยไปแล้ว ยังคงมองเธอด้วยสายตาอบอุ่น “หวัดดีค่ะลุง นุ้ยเพิ่งหลบมาไม่นานค่ะ ลาออกจากงานแล้ว หลบมาแลแม่ แกไม่ค่อยบาย” (สวัสดีค่ะลุง หนูเพิ่งกลับมาไม่นานค่ะ ลาออกจากงานแล้ว กลับมาดูแลแม่ ท่านไม่ค่อยสบาย) มุกดาตอบกลับไปด้วยสำเนียงท้องถิ่นเช่นกัน ทำเอาคนที่เพิ่งเดินเข้ามายังวงสนทนายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะไม่คิดว่ามุกดาจะยังพูดใต้ได้ วารีเดินมาหยุดอยู่ข้างกายมุกดาใ
“ซื้อของเสร็จรึยังมุก” วารีเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าบึ้งตึง“อ้าวพี่วา มาเร็วจัง” มุกดายกข้อมือดูนาฬิกาก็เห็นว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน“อืม พี่ซื้อของเสร็จแล้ว” วารีขยับมายืนข้าง ๆ ในแบบที่ใกล้กว่าเดิม แล้วเอามือแตะ ๆ ข้างเอวของมุกดาอย่างเบามือ เลยทำให้อีกฝ่ายแทบไม่รู้สึกว่ากำลังถูกแสดงความเป็นเจ้าของทว่าพนักงานขายผู้ชายที่เห็นการกระทำของวารีบวกกับสีหน้าบึ้งตึงของเธอก็พอจะเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นเขารีบปรับสีหน้ามาเป็นปกติ สายตาที่มองมุกดาหวานฉ่ำหายไปในทันที“แล้วนี่มาซื้ออะไร แท็บเล็ตเครื่องใหม่เหรอ เครื่องเก่าไปไหนแล้วล่ะ” วารียังคงมีสีหน้าหงุดหงิดที่แสดงออกชัดเจน“พี่ไปกินรังแตนที่ไหนมาเนี่ย หน้าบึ้งเป็นบ้าเลย”“ช่างเหอะ จะซื้ออะไรก็รีบซื้อ จะได้รีบกลับ งานที่ฟาร์มมีอีกเยอะ”“โอเค ๆ รู้แล้วค่า” มุกดาลากเสียงยาวแล้วหันไปคุยกับพนักงานขาย“งั้นเอาเครื่องนี้ค่ะพี่ เดี๋ยวรูดบัตรได้เลยนะคะ” มุกดาเตรียมจะหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองออกมา แต่วารีเร็วกว่าเพราะเธอเตรียมบัตรเครดิตไว้ในมือตั้งแต่ที่เดินเข้ามาแล้ว“รูดกับบัตรใบนี้ค่ะ” เธอยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานและส่งส
เมื่อนาฬิกาบอกเวลาตีสอง เสียงเครื่องยนต์จากรถกระบะสีดำที่ขับเข้ามาในฟาร์มปลุกมุกดาที่หลับฟุบกับโต๊ะกินข้าวในห้องครัวให้ตื่นขึ้น วารีขับรถเข้ามาจอดในโรงรถด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่ารถเก๋งของมุกดายังจอดอยู่ที่เดิม แต่เพราะอาการมึนเมาเล็กน้อยเธอเลยไม่ได้สนใจนักอีกใจก็แอบคิดว่าตัวเองตาฝาด ไม่อยากเข้าข้างตัวเองให้มากว่าอีกฝ่ายจะอยู่รอเป่าเค้กเป็นไปไม่ได้หรอก เธอไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น วารีเดินเข้ามาในบ้าน รู้สึกคอแห้งจึงก้าวยาว ๆ ตรงไปยังห้องครัว ไม่ได้นึกแปลกใจที่ไฟในห้องครัวยังเปิดอยู่ และเมื่อเดินเข้าไป เสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ก็ดังขึ้น มุกดาถือเค้กก้อนเล็กไว้ในมือ มูลค่าของเค้กไม่กี่สิบบาท พร้อมกับเทียนเล็ก ๆ หนึ่งเล่ม แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้วารีสร่างเมาในทันที เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเพลงวันเกิดร้องจบไปตั้งแต่ตอนไหน เพราะสายตาเอาแต่มองภาพตรงหน้า แล้วก็รู้สึกเหมือนหูดับไปซะอย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อจากมุกดาซ้ำ ๆ นั่นแหละถึงได้มีสติหลุดจากภวังค์ “เป่าเทียนได้แล้วค่ะพี่วา อย่าลืมอธิษฐานก่อนนะ” วารีพยักหน้า หลับตาล
“ขี้โกง นี่พี่ไม่ได้หลับเหรอ” คนในอ้อมกอดยังคงพยายามดิ้นไปดิ้นมา แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ดูจะสู้อ้อมแขนแข็งแกร่งของวารีไม่ได้เลย ต่อให้พยายามจะเอาตัวเองออกมาจากพันธนาการนั้นแต่ก็แสนจะยากเย็น “ถ้าหลับแล้วจะเห็นเหรอว่ามีคนแอบมองพี่น่ะ หื้ม” วารีก้มลงมองใบหน้าคนในอ้อมกอด พร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นดังมากขึ้นเรื่อย ๆนี่เป็นอ้อมกอดแรกในรอบกี่สิบปีไม่รู้นับตั้งแต่ทั้งคู่แยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง และการวนกลับมาเจอกันครั้งนี้ก็เหมือนพัดพาเอาความรู้สึกเก่า ๆ กลับมาด้วยเช่นกันจากที่เคยคิดว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว แต่ความรู้สึกวูบไหวตรงหน้าอกข้างซ้ายกำลังบอกความจริงบางอย่างกับเธอ“ใครแอบมอง มุกไม่ได้แอบสักหน่อย”“ยังจะปากแข็งอีกนะ พี่ไม่ได้ตาบอดสักหน่อย”“ก็พี่วาเมา แล้วก็เป็นฝ่ายขอร้องให้มุกอยู่ด้วย มุกก็ต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าพี่โอเคขึ้นแล้วจริง ๆ”“เป็นห่วงพูดแบบนี้ค่ะ ไม่ต้องอ้อมค้อม ไหนลองพูด”“ไม่พูด! เพราะไม่ได้เป็นห่วง ไม่เลยสักนิด”“อ้อเหรอ แต่ก็ยอมอยู่กับพี่หนิ”“งั้นกลับก็ได้!”มุกดาพยายามเอาตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของวารีอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เป็นผล ดูเหมือนว่าอีกฝ่
หลังจากแต่งงานกันมาได้สองปี ตอนนี้ทั้งวารีและมุกดาก็มีความสุขดีตามประสาคู่ชีวิตทั่วไปที่ช่วยกันทำงานและดูแลกิจการ ส่วนเรื่องของการมีลูกนั้น ทั้งคู่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะวารีเองก็อายุ39ปีแล้ว ส่วนมุกดาปีนี้ก็33 หากจะใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีลูกก็อาจจะเสี่ยงในหลาย ๆ อย่าง ทั้งคู่เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ ฟ้าจะส่งเด็กน้อยสองคนมาให้ วันนี้วารีและมุกดาพากันมาบริจาคของเล่นและสิ่งของต่าง ๆ ให้กับสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้า ซึ่งทั้งคู่แวะมาที่นี่กันบ่อย บางครั้งก็แวะมาเล่านิทาน ร้องเพลง ทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ และทุกครั้งที่จะกลับ มักจะมีสายตาละห้อยของเด็ก ๆ มองพวกเธอเสมอทำให้มุกดาอดคิดถึงลูกจันทร์น้องสาวของเธอไม่ได้ หากวันนั้นแม่ของเธอไม่รับลูกจันทร์มาเลี้ยง ไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของน้องสาวตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง หากมีโอกาส มุกดาก็อยากจะช่วยเหลือเด็กที่นี่ได้มากกว่านี้“ทำหน้าเศร้าอีกแล้วนะคะ”วารีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างกันหม่นหมองลงทันทีในตอนที่กำลังจะกลับ“น้องสงสารเด็ก ๆ ที่นี่ค่ะ ใจนึงก็อยากช่วย อีกใจก็รู้ว่าเราคงไม่มีกำล
สนามบินต่างประเทศในเช้าตรู่เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจากนักท่องเที่ยว แต่วารีกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด มือที่กุมมือมุกดาไว้แน่น ๆ คือคำยืนยันว่าการเดินทางไปดูงานต่างประเทศครั้งนี้ เธอไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียวอีกต่อไป การเดินทางมาโตเกียวครั้งนี้ คนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าคือมุกดา และเป็นฝ่ายจัดกระเป๋าเตรียมทุกอย่างให้วารีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะแต่งงานกันมานานแล้ว แต่เรื่องของความรักและการเอาใจใส่กันยังคงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่เติมเต็มให้กันเสมอ“พี่วาคะ น้องได้ยินมาว่า ร้านเครื่องประดับในโตเกียวนี่ขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ที่เอามุกมาประยุกต์แบบโมเดิร์นเลยนะคะ” มุกดาหันมาพูดอย่างตื่นเต้น ขณะที่ทั้งคู่รอแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมวารีพยักหน้า ดวงตาหวานฉ่ำมองคนข้างกาย “เดี๋ยวก็ได้เห็นค่ะ พี่เองก็อยากดูว่าเขาเอาแนวคิดธรรมชาติมาใส่ในเครื่องประดับยังไงบ้าง จะได้กลับไปพัฒนาไลน์ของเราเพิ่ม”ทริปนี้วารีตั้งใจพามุกดามาด้วย เพราะอยากให้เห็นกระบวนการด้านศิลป์และการตลาดจากทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องอนุรักษ์หรือการผลิตเพียงอย่างเดียว มุกดาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มาดูนิทรรศการเครื่องประดับหอ
เสียงคลื่นซัดเบา ๆ อยู่ไม่ห่างจากเวทีไม้ไผ่ที่จัดวางกลางลานหญ้าของฟาร์มวารี เส้นไฟดวงเล็กวิบวับถูกขึงข้ามเหนือหัวผู้คน บรรยากาศค่ำคืนโรแมนติกอบอวลด้วยกลิ่นอาหารทะเลสด ๆ และเสียงหัวเราะของผู้ที่มาร่วมงานโต๊ะยาวที่จัดเรียงหน้าฟาร์มเต็มไปด้วยอาหารพื้นบ้านอย่างหอยทอด ข้าวเหนียวปิ้ง ปลาย่าง และของหวานแบบไทย ๆ ที่แม่ ๆ ป้า ๆ แถวนั้นตั้งใจทำมาจากบ้านตัวเอง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วันสำคัญของสองสาวเจ้าของฟาร์ม’“บรรยากาศดีจนฉันอยากแต่งงานอีกรอบเลย” คิรินเอ่ยพลางยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ หันไปมองวิวาห์ที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วส่งยิ้มหวานวิวาห์หันไปทางเวทีกลาง พูดเสียงเบาเหมือนกำลังคิดตาม “วารีดูอ่อนโยนขึ้นเยอะเลยเนอะตอนอยู่กับมุก ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง”“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่ชื่อมุกดา คนที่เคยทำให้เพื่อนเราร้องไห้จนแทบจะขาดใจตาย ทำให้คนที่เคยเหมือนหินก้อนเบ้อเริ่ม กลายเป็นขนมโมจิได้ เห็นหน้าวารีเมื่อกี้มั้ย เหมือนลูกแมวเลย” คิรินหัวเราะเบา ๆบนเวทีไม้ไผ่ มุกดาในชุดไทยผสมลูกไม้ประยุกต์สีครีมอ่อน ยืนจับมือกับวารีที่อยู่ข้างกัน ทั้งสองคนยิ้มเขินนิด ๆ ขณะท
งานแต่งงานของวารีกับมุกดาในวันนี้ จะเรียกงานแต่งก็อาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะบรรยากาศมันเหมือนการรวมพลเลี้ยงคนในหมู่บ้านมากกว่า วารีไม่คิดเลยว่าแม่ของเธอจะเชิญคนทั้งหมู่บ้านขนาดนี้ บรรยากาศในวันนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงเฮฮาและรอยยิ้ม ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองคนมีรอยยิ้มสดใส หน้าตาเปล่งปลั่ง มีออร่าตลอดเวลาที่คอยต้อนรับแขกในงาน และความตั้งใจของทั้งวารีและมุกดา ที่อยากให้งานเป็นไปด้วยความเรียบง่าย พิธีวันนี้จึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก มีเพียงการผูกข้อไม้ข้อมือ สวมแหวน และงานเลี้ยงขอบคุณแขกที่มาร่วมงานก็เท่านั้น และสิ่งที่เซอร์ไพรซ์ในงานแต่งวันนี้คือการที่ลูกจันทร์พาใครบางคนมาร่วมงานแต่งของพี่สาวเธอด้วย นั่นก็คือคุณพาขวัญ บุคคลที่ย่างกรายเข้ามาในงานแล้วโดนจับจ้องด้วยสายตาทุกคู่ พาขวัญ อัครเมธากุล เจ้าของมูลนิธิพาขวัญ ผู้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย อีกทั้งยังก่อตั้งมูลนิธิเพื่อให้เงินทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้และเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ลูกสาวนักการเมืองตำแหน่งใหญ่ นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ว่ากันว่า เธอไม่ชอบงานสังคม เธอหาตัวจับยาก ไม่ค่อยมีใครได้เห็นเธอไปไหนมา
วารีฟาร์มแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นเสมอมา นับตั้งแต่มุกดาเข้ามาที่นี่เจ้าของฟาร์มที่เคยเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยทักทายลูกน้อง ใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาก็ดูจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันแต่งงานเข้ามาใกล้มากขึ้น ใกล้จนมันกำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว เสียงคลื่นซัดเบา ๆ เข้าฝั่งในยามค่ำคืน ท้องฟ้าริมทะเลมีเพียงแสงดาวกระพริบระยิบ ระเบียงบ้านไม้ที่ยื่นไปในทะเลของวารีเงียบสงบ ลมโชยอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางในห้องนอน ราวกับจะกระซิบเตือนให้หัวใจของคนทั้งสองจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้แม่นมุกดานั่งอยู่บนเตียงไม้สีอ่อน ห่มผ้าบาง ๆ รอบตัว ขาเปลือยเปล่าห้อยแกว่งเบา ๆ กับอากาศ ขณะที่แสงไฟจากโคมข้างเตียงให้แสงอบอุ่นพอดีเสียงประตูไม้เปิดออก วารีในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาช้า ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาฉายแววอ่อนโยนกว่าทุกคืน“ยังไม่นอนเหรอคะ” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยถามแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน“พรุ่งนี้ก็จะแต่งงานแล้ว ใครจะหลับลงกันล่ะ” มุกดาหันมายิ้มตาหยีวารีคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เตรียมเอาของที่สองมือซ่อนไว้ด้านหลังออกมา“พี่มีอะไรจะให้ค่ะ”“หืม?” ม
นับตั้งแต่คุยเรื่องแต่งงาน และได้ข้อสรุปว่า ฤกษ์แต่งงานจะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า ทางด้านมุกดาก็หันมาดูแลตัวเองมากกว่าเดิม เพราะอยากให้ภาพวันนั้นออกมาสวยงามที่สุด จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ควรทำ เพื่อให้ออร่าเจ้าสาวเปล่งประกาย แต่ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนไม่ชอบเอาซะเลยที่แฟนตัวเองหันมาดูแลตัวเองจนสวยวันสวยคืนมากขึ้น พักหลังมานี้วารีจึงตามติดมุกดามากกว่าเดิม ถ้าเมื่อก่อนแทบจะสิง ตอนนี้คงต้องเรียกว่า แทบจะกลืนกิน ถึงขนาดที่ว่า คนงานในฟาร์มยังไม่กล้ามองมุกดาตรง ๆ เพราะมักจะเจอกับสายตาดุ ๆ ของวารีอยู่เสมอ ส่วนมุกดานั้นไม่ได้ถือสาอะไรกับท่าทีของแฟนตัวเอง เธอมองว่าวารีเหมือนโกลเด้นตัวโตที่อยากให้เจ้าของสนใจก็เท่านั้นวันนี้แดดในช่วงบ่ายคล้อยกำลังอ่อนแรง เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเหมือนเพลงกล่อม วารีเดินออกจากห้องประชุมในศูนย์การเรียนรู้ของฟาร์ม ด้วยสีหน้าตึงเครียดหลังการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรฯ เสร็จ เธอถอดเสื้อคลุมพาดไหล่ออก เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวเรียบที่เปียกชื้นจากเหงื่อเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเริ่มแผ่ซึมผ่านท่าทางทุกอณูแต่ทันทีที่
บรรยากาศรอบ ๆ บ้านไม้สองชั้นของมุกดาในเย็นวันนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น แม่ลี แม่แวว วารี มุกดา และลูกจันทร์ ทั้งห้าคนกำลังนั่งล้อมวงอยู่ตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อนใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่หน้าบ้าน นับตั้งแต่มุกดากลับมาอยู่บ้าน อาการป่วยของแม่ลีก็ดูจะดีขึ้นมาก ยิ่งในวันนี้ใบหน้าของคนที่กำลังต่อสู้กับโรคร้ายกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หากเป็นคนที่ไม่รู้จักกันคงแทบไม่รู้เลยว่าแม่ลีกำลังป่วย เพราะใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา เรื่องของการหมั้นหมายและการแต่งงานคือหัวข้อสำคัญในการคุยกันในเย็นนี้ ทว่าคนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าใครคือลูกจันทร์ เพราะเธอคือคนที่รับรู้เรื่องราวของทั้งคู่มาโดยตลอด ยิ่งได้รู้ว่าพี่สาวที่ตัวเองรักทั้งสองคนกำลังจะแต่งงานกัน ความอิ่มอกอิ่มใจมันเอ่อล้นภายในใจจนแสดงออกมาผ่านสายตาเปล่งประกาย “ค่าสินสอด ค่าเลี้ยงดูน่ะ เรียกมาเถอะลี ไม่ต้องเกรงใจหรอก ฉันกับลูกตั้งใจเต็มที่กับงานนี้ ยังไงก็ไม่ให้น้อยหน้าหรอก” แม่แววหันไปคุยกับแม่ลี เพื่อนรักที่รู้จักกันมาเกือบทั้งชีวิต แน่นอนว่าทั้งคู่ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ลูกสาวของตนปรองดองกัน “โอ้ย ฉ
“มันจะเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ ทุกอย่างที่เป็นเรื่องของน้อง เป็นความสบายใจของน้อง เป็นความสุข และเป็นสิ่งที่จะทำให้น้องยิ้มได้ พี่จะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้เลยนะ หลังจากนี้ไป ให้พี่ดูแลนะ ให้พี่ได้มีโอกาสแก้ไขเรื่องที่ผ่านมา ความเข้าใจผิดในทุกอย่าง เราสองคนมาปลูกต้นรักกันใหม่ มาสร้างครอบครัวของเราด้วยกันนะ” ทุกคำพูดของวารีเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย เธอมองหน้ามุกดาตลอดเวลาที่พูด สายตาที่มองคนอายุน้อยกว่าเต็มไปด้วยความรักใคร่ “ขอบคุณนะคะพี่วา สำหรับทุกอย่างที่คิดจะทำ จริง ๆ น้องเองก็เป็นฝ่ายผิดเหมือนกันที่ไม่เคยรับฟังพี่เลย เอาแต่ความรู้สึกของตัวเองจนลืมไปว่าพี่ก็มีความรู้สึก พี่ก็คงเจ็บปวดไม่น้อย งั้นหลังจากนี้เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะคะ น้องสัญญาว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเหมือนกัน” “ได้สิคะ เราสองคนเริ่มต้นกันใหม่ได้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้พี่ง่วงแล้วอะ ไม่รู้แหละคืนนี้น้องต้องให้พี่นอนด้วย” “อะไรกัน จู่ ๆ วนมาเรื่องนี้ได้ยังไง อีกอย่าง ระยะทางแค่สามกิโลมันคงไม่ทำให้พี่ขับรถกลับโดยใช้เวลานานเกินไปหรอกนะคะ กลับไปนอนที่บ้านเลยค่ะ อีกอย่างกลุ่มนักศึกษาก็ยังอยู่ เจ้า
วารีใจแป้วไม่น้อยเมื่อได้ยินคำพูดของมุกดาที่ส่งกลับมาแบบนั้น แต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือ เพราะเริ่มมั่นใจแล้วว่า การที่อีกฝ่ายมองเธอด้วยสายตาแบบนี้ แปลว่ากำลังมีเรื่องขุ่นเคืองบางอย่าง “คืนนี้ขอนอนด้วยนะคะ” วารีถามกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ไม่ค่ะ บ้านตัวเองก็มี โฮมสเตย์ก็มีตั้งหลายห้อง เลือกเอาสักห้องสิคะอยากนอนห้องไหน” “คืนนี้โฮมสเตย์เต็มทุกห้องค่ะ ให้พี่นอนด้วยนะคะ” “ไม่ค่ะ พี่วากลับไปเลย ไม่แน่ตอนนี้อาจจะมีคนรอพี่อยู่ก็ได้นะคะ” “น้องหมายถึงใคร พี่ไม่เข้าใจ” วารีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ก็ใครกันล่ะที่เข้ามาใกล้ชิดพี่จนวันนี้เราแทบไม่ได้คุยกันเลย ใครล่ะที่พี่คุยด้วยกระหนุงกระหนิง หน้าชื่นตาบานขนาดนั้น ใครกันที่มองพี่ซะสายตาหวานหยดย้อยอย่างกับอยากจะกลืนกินซะเหลือเกิน เห็นแล้วมันน่าโมโหชะมัด” วารีเข้าใจได้มากขึ้นเมื่อมุกดาบอกถึงการกระทำของบุคคลที่ว่าอย่างละเอียดยิบ และวันนี้ทั้งวันก็มีเพียงคนเดียวที่เข้ามาใกล้ชิดเธอ “พี่เข้าใจแล้วค่ะ แต่มันไม่มีอะไรเลย น้องก็รู้ว่าเวลามีคนมาดูงานที่ฟาร์ม พี่ทั้งตื่นเต้นแล้วก็ดีใจ อย