“อืม นี่ห้องทำงาน”
วารีพยักหน้าเข้าไปด้านใน หลังจากเปิดประตูห้องทำงานของเธอออกกว้าง หลังจากทานมื้อเที่ยงด้วยกันเรียบร้อยแล้วเธอก็ตัดสินใจพามุกดามาที่นี่
ไม่รู้อะไรทำให้เธอตัดสินใจแบบนี้ ทั้งที่ห้องทำงานเป็นพื้นที่ที่เธอหวงแหนพอ ๆ กับห้องนอน เพราะที่นี่มีข้อมูลสำคัญหลายอย่าง รวมถึงข้อมูลทางธุรกิจ
แต่สุดท้ายเธอก็ยอมที่จะเปิดพื้นที่ตรงนี้ให้มุกดาได้เข้าไป
“ทำไมพี่ต้องมีห้องทำงานแยกด้วย ไม่ทำห้องทำงานไว้ที่บ้านล่ะคะ หื้ม”
มุกดาเอ่ยถามระหว่างที่เดินสำรวจภายในห้อง ซึ่งห้องทำงานของวารีนั้นตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรือนอนุบาลหอยมุก มันเป็นตู้คอนเทนเนอร์แบบน็อกดาวน์ที่สั่งสำเร็จมาตั้งไว้ที่นี่ ด้านในเป็นพื้นที่โล่ง ๆ มีเพียงโซฟายาวหนึ่งตัว โต๊ะทำงาน และชั้นเอกสารที่วางอยู่ด้านหลังโต๊ะ
“บางทีเบื่อ ๆ ก็มาอยู่ที่นี่ จะว่าที่เก็บตัวก็ได้ บางช่วงที่แม่บ่นเยอะพี่ก็หนีมาอยู่ที่นี่”
“อ้อ หลุมหลบภัยนี่เอง”
มุกดาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินไปหยุดหน้าชั้นเอกสารที่เรียงรายด้วยแฟ้มสีดำมากมาย เธอสุ่มหยิบมาหนึ่งแฟ้มแล้วเปิดดูเอกสารด้านใน
“หมวดธุรกิจและการตลาด รายชื่อลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ สัญญาการจัดส่ง ความต้องการเฉพาะ”
มุกดาอ่านหัวข้อเอกสารในแฟ้มเสียงดัง ขณะเดียวกันสองเท้าก็เดินมาหยุดตรงหน้าวารี แล้วละสายตาจากเอกสารในมือ เปลี่ยนมาจ้องมองสายตาดุ ๆ ของผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าแทน
“ข้อมูลพวกนี้ไม่ต้องบันทึกไว้ในแฟ้มหรอกค่ะ เดี๋ยวมุกจัดเก็บไว้ให้ในมือถือ พี่จะได้ใช้งานได้สะดวก ถ้าเกิดวันดีคืนดีลูกค้าโทรมาถามเรื่องสัญญา หรือข้อมูลการจัดส่งบางอย่างที่พี่อาจจะจำไม่ได้ พี่จะกลับมารื้อเอกสารพวกนี้เหรอคะ มันก็ไม่ได้ปะ เพราะงั้นตรงนี้สำคัญค่ะ พี่ต้องเปลี่ยนการเก็บข้อมูลใหม่”
วารีฟังจบก็ถอนหายใจออกมา เธอคว้าแฟ้มในมือของมุกดามาถือไว้ แล้วสบสายตากับคนตรงหน้าอย่างมุ่งมั่น
“อย่ามาจุ้นจ้านเรื่องของพี่ได้มั้ย ขอร้องเถอะ”
“มุกไม่ได้จุ้นจ้านสักหน่อย”
“ไอ้ที่ทำอยู่เนี่ย เค้าเรียกว่าจุ้นจ้าน”
“ใครบอกคะ เค้าเรียกว่า ช่วยจัดการชีวิตให้ง่ายขึ้นต่างหาก”
มุกดาพูดจบก็เดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของวารี เธอหยิบแท็บเล็ตคู่ใจออกมากดดูอะไรบางอย่าง จดจ้องกับหน้าจออยู่ไม่กี่วินาทีก็เงยหน้ามองวารีอีกครั้ง
“บ่ายวันนี้พี่วาต้องไปดูเรื่องวัตถุดิบที่ร้านอาหารนี่คะ งั้นเราก็แยกกันทำงานเลยละกัน พี่ไปดูที่ร้าน ส่วนงานที่นี่มุกจัดการให้เอง”
“ไม่ได้ พี่จะปล่อยให้มุกอยู่ที่นี่คนเดียวไม่ได้”
“ทำไมคะ มีอะไรสำคัญเหรอ มุกไม่ล้วงความลับอะไรพี่หรอก แค่จะช่วยเคลียร์เอกสารก็แค่นั้น เนี่ย เอกสารพวกนี้รกจะตาย”
มุกดาหยิบแฟ้มสีดำบนชั้นออกมาอีกสองสามแฟ้ม จังหวะนั้นเธอก็เห็นบางอย่างหล่นลงมาจากชั้นไม้
มันเป็นภาพถ่ายใบหนึ่งที่หล่นลงบนพื้น เมื่อเธอหยิบมันขึ้นมาดู หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาทันที
วารีได้แต่ยืนนิ่ง เธออยากจะพูดอะไรสักอย่างมากกว่าการยืนตัวแข็งอยู่แบบนี้ แต่ปากของเธอก็แทบไม่ขยับ
มุกดาจ้องมองภาพถ่ายในมืออยู่นาน มันเป็นภาพของผู้หญิงสองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน คนหนึ่งใส่ชุดนักเรียนม.ต้น ถักเปียสองข้าง ส่วนอีกคนอยู่ในชุดนักศึกษามหาลัย ตัดผมบ๊อบสั้น ใบหน้าราบเรียบ แต่มือของเจ้าตัวกลับกอดเอวคนข้าง ๆ ไว้หลวมๆ
“พี่วา รูปนี้มัน..” มุกดาหันไปมองหน้าวารีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
เสียงของมุกดาทำให้วารีได้สติ เธอรีบเดินไปคว้าภาพถ่ายใบนั้นมาไว้ในมือแล้วแสร้งมองไปทางอื่น
“อย่ายุ่งกับของในห้องพี่”
“พี่วา มุกไม่ได้ตั้งใจ แต่ภาพนั้น มัน..”
“เลิกพูดเรื่องนี้ คิดซะว่าไม่เห็น ไม่ได้รับรู้อะไรละกัน ส่วนเรื่องแฟ้มเอกสาร ถ้าอยากจะจัดการเรื่องข้อมูลก็ตามใจ พี่จะไปที่ร้าน ถ้าเสร็จงานตรงนี้แล้วก็กลับได้เลย ล็อกประตูห้องให้พี่ด้วย ส่วนกุญแจก็เก็บไว้ พี่มีสำรองอีกชุด”
วารีพูดจบก็เดินออกมาจากห้องทำงานทันที พร้อมกับภาพถ่ายใบนั้นที่เอาติดมือมาด้วย
มุกดานั่งลงบนเก้าอี้ทำงานภายในห้องที่เงียบสงัด เธอหันมองรอบตัวช้า ๆ ห้องทำงานของวารีมีแต่งานอย่างที่เจ้าตัวบอกจริง ๆ งานกับความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่มุกดาสัมผัสได้ในตอนนี้
ทำไมที่นี่ถึงเป็นที่ที่วารีชอบมาอยู่นะ เธอชอบที่นี่มากกว่าบ้านอีกงั้นเหรอ ทั้งที่มันออกจะดูเงียบเหงาและวังเวงด้วยซ้ำ
มุกดาเดินดูแฟ้มเอกสารแต่ละแฟ้ม จนพอจะรู้เรื่องงานของวารีแทบทั้งหมด และนั่นก็ทำให้เธอรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ทำงานแค่ในประเทศ แต่ยังมีธุรกิจต่างประเทศอีกด้วย
‘คนบ้าอะไรทำงานเยอะขนาดนี้ กลัวไม่ได้ตายก่อนใช้เงินรึไงนะ’ มุกดาส่ายหน้าเบา ๆ และลงมือจัดการข้อมูลต่าง ๆ ให้อีกฝ่าย วันนี้วันเดียวอาจจะยังไม่เสร็จ แต่เธอก็มั่นใจว่า หลังจากนี้ชีวิตของวารีจะสะดวกขึ้น และสบายขึ้นอย่างแน่นอน
บ่ายวันนี้มุกดาทำงานอย่างเพลิดเพลินจนลืมดูเวลาไปเลย เธอจดจ่อกับกองเอกสารมากมายที่รื้อจากชั้นวางเอามาวางบนโต๊ะหน้าโซฟาเพื่ออ่านข้อมูลต่าง ๆ จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
และไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองฟุบหลับไปกับกองเอกสารตั้งแต่เมื่อไหร่
หลังจากดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้ว วารีที่เดินกลับจากร้านอาหารและกำลังจะเดินไปบ้าน เมื่อเห็นไฟในห้องทำงานตรงตู้คอนเทนเนอร์ยังเปิดส่องสว่าง เธอก็รีบวิ่งไปที่นั่นทันที
เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วเห็นมุกดาฟุบหลับอยู่กับโต๊ะหน้าโซฟาเธอก็ได้แต่ยืนนิ่ง
ภาพที่เคยติวหนังสือให้เด็กคนนี้ย้อนเข้ามาในความทรงจำ เรื่องความฝันของมุกดา วารีจำได้ดี จำได้ขึ้นใจ และมันก็เป็นที่มาของวารีฟาร์มแห่งนี้
‘มุกชอบทะเลมากเลยพี่วา ชอบทุกอย่างในทะเล คอยดูนะ โตขึ้นมุกจะเป็นนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ มุกจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาความสวยงามของท้องทะเลไว้ให้ได้มากที่สุด’
วารีเดินเข้าไปใกล้ นั่งลงบนโซฟาแล้วก้มหน้ามองคนที่นั่งฟุบหลับอยู่กับโต๊ะ เธอเอานิ้วเกลี่ยเส้นผมที่หล่นปรกใบหน้าของอีกฝ่ายเพื่อจะได้มองใบหน้านั้นให้ชัดขึ้น
‘พี่ไม่คิดเลยว่าเราจะกลับมาเจอกันอีก ไม่คิดเลยจริง ๆ’
วารีคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย สายตาเธอจ้องมองมุกดาที่กำลังหลับใหลแทบไม่กะพริบตา จนกระทั่งอีกฝ่ายขยับตัว วารีจึงละสายตาไปทางอื่น
“อ้าวพี่วา มาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย โอ๊ย นี่มุกหลับไปเหรอ ตายจริง กี่โมงแล้วคะ”
“จะทุ่มนึงแล้ว”
“ห้ะ ทุ่มนึง”
เมื่อรู้แบบนั้นมุกดาก็รีบกระวนกระวายเก็บของ แล้วหยิบมือถือที่วางอยู่ใกล้มือมากดดูหน้าจอ
“งานเข้า ลูกจันทร์โทรตามเป็นสิบสายแล้ว พี่วามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่ปลุกมุกเนี่ย”
“พี่เพิ่งมา คิดว่ามุกกลับไปแล้วด้วยซ้ำ”
“โห เอกสารของพี่น่าปวดหัวขนาดนี้มุกคงได้กลับอยู่หรอก”
มุกดาเก็บสัมภาระใส่กระเป๋า แล้วเอาแฟ้มต่าง ๆ ไปเก็บเข้าชั้น วารีช่วยเก็บอีกแรงจึงเสร็จในเวลาไม่นาน
“ก็พี่บอกแล้วไม่ต้องทำ พี่จัดการเอง”
“ถ้าปล่อยให้พี่จัดการเอง อีกห้าปีข้างหน้าห้องนี้คงเต็มไปด้วยกองเอกสารแน่ ๆ วิธีของมุกเนี่ยดีแล้ว แค่มันต้องใช้เวลาหน่อย อาจจะสักวันสองวันถึงจะเคลียร์หมด”
มุกดาพูดจบก็กระชับกระเป๋าผ้าเข้ากับตัว เธอไม่ลืมปิดคอมพิวเตอร์ ปิดแอร์ ปิดไฟ และตรวจดูทุกอย่างอีกครั้ง แน่นอนว่าทุกการกระทำของเธออยู่ในสายตาของวารีตลอดเวลา
ทั้งคู่เดินออกมาจากห้องทำงาน มุกดากำลังเดินไปที่รถ ซึ่งเป็นรถเก๋งรุ่นเก่าที่เธอใช้งานมาเกือบสิบปีแล้ว เป็นรถคันแรกของเธอที่ซื้อตั้งแต่ตอนเรียนจบ
แล้วก็ดูเหมือนว่า วารีกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยบางคำออกไป
“มืดแล้ว พี่ไปส่ง”
“ว่าไงนะคะ พูดอีกที มุกคงหูฝาดไปแน่ ๆ” มุกดาถามย้ำทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำจากอีกฝ่าย “จะสองทุ่มแล้วพี่ไปส่ง ทางมันเปลี่ยว ส่วนรถจอดไว้นี่แหละ พรุ่งนี้ให้ลูกจันทร์มาส่งสิ” “เอางั้นเหรอคะ มุกไม่ได้รบกวนพี่ใช่ไหม เดี๋ยวก็มีคนแถวนี้บ่นอีกว่ามุกจุ้นจ้าน ยุ่งยาก น่ารำคาญ บลา ๆ” “หึ จริง ๆ มันก็เป็นแบบนั้นแหละ อีกอย่างถ้าแม่รู้ว่ามืดขนาดนี้แล้วพี่ปล่อยให้มุกกลับคนเดียว แม่ได้มาว่าพี่อีก ขึ้นแท่นลูกรักไปแล้วพี่จะทำอะไรได้ล่ะ” วารีเดินนำไปยังรถของเธอที่จอดอยู่ตรงโรงรถซึ่งมีหลายคันให้เลือกใช้ ทั้งรถเก๋งและรถกระบะ เธอเดินไปหยุดหน้ารถกระบะสี่ประตูสีดำแล้วเปิดประตูฝั่งคนขับเข้าไปนั่งทันที มุกดาเปิดประตูฝั่งข้างคนขับเข้ามานั่งในรถอย่างรวดเร็ว ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นวารีก็เคลื่อนรถออกไปจากฟาร์มกลิ่นสเปรย์ปรับอากาศในรถบวกกับแอร์เย็นฉ่ำ และเสียงเพลงที่เปิดคลอเบา ๆ ทำให้มุกดารู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าในวันนี้ได้นิดหน่อย ทั้งคู่นั่งเงียบกันมานาน จนกระทั่งวารีขับรถผ่านร้านอาหารร้านหนึ่ง “เห้ย นั่นร้านลุงเจตหนิ” มุกดาตะโกนลั่น ชี้นิ้วผ่านกระจกใสไปย
มื้อค่ำวันนี้วารีอาสาเป็นเจ้ามือ ด้วยเหตุผลที่ว่าอีกฝ่ายอยู่ทำงานให้เธอจนดึก ซึ่งเป็นเหตุผลที่มุกดาค่อนข้างแปลกใจ เพราะเธอหลับไปต่างหาก ถึงได้กลับบ้านซะค่ำขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้โต้แย้งอะไรกลับไป คิดว่าดีซะอีกที่มื้อนี้อิ่มจังตังอยู่ครบ บ้านของมุกดาอยู่ห่างจากฟาร์มประมาณสามกิโลเมตร อันที่จริงการที่เธอจะกลับบ้านดึกขนาดไหนก็ดูจะไม่เป็นปัญหา แม้ระหว่างทางจะค่อนข้างเปลี่ยวเพราะไม่มีบ้านคน แต่ระยะทางก็ไม่ได้ไกลมาก ขับรถแป๊บเดียวก็ถึง แต่ก็นั่นแหละ วารีก็ยังอาสามาส่งถึงบ้านจนได้ บ้านของมุกดาเป็นบ้านไม้สองชั้นอยู่ท่ามกลางสวนผลไม้หลากชนิดไม่ว่าจะเป็นเงาะ มังคุด ทุเรียน ซึ่งเป็นผลผลิตจากพ่อของเธอที่ปลูกไว้ และถึงแม้พ่อของมุกดาจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ต้นไม้พวกนี้ก็ยังผลิดอก ออกผลอยู่ตลอด มีคนงานช่วยดูแลหนึ่งคนชื่อลุงชื่น ทำหน้าที่ใส่ปุ๋ยรดน้ำและเก็บเกี่ยวผลผลิต ขายบ้างแจกบ้างกินเองบ้าง พอเป็นรายได้ส่วนหนึ่งให้ครอบครัว ทันทีที่แสงไฟสว่างวาบจากหน้ารถของวารีส่องกระทบไปยังบ้านไม้ที่อยู่ในสวน คนที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ในบ้านก็รีบวิ่งออกมาหน้าบ้านทันที
ก่อนกลับไปฟาร์ม วารีไม่ลืมเข้าบ้านไปทักทายผู้หญิงอีกคนที่รักและเคารพไม่แพ้แม่ตัวเอง เมื่อเดินเข้าไปในบ้านก็เจอกับผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับแม่ของเธอกำลังนั่งดูละครหลังข่าวอยู่ตรงโซฟาหน้าทีวี แม่มาลี หรือแม่ลีที่เธอรู้จัก วันนี้ดูอิดโรยกว่าทุกวัน ทว่าสายตาที่มองวารียังคงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและอบอุ่นเสมอ “วา แม่นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก มุกบอกแค่ว่าหนูมาส่งแล้วก็รีบขึ้นไปอาบน้ำ แม่เลยไม่ได้ถามอะไรต่อ” วารียกมือไหว้คนอาวุโสแล้วเดินไปนั่งข้าง ๆ ความรู้สึกหลังจากได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังเผชิญโรคร้ายทำให้วารียิ่งรู้สึกสงสารคนตรงหน้าเป็นอย่างมาก ทั้งที่เธออยู่ใกล้แค่นี้ แต่กลับไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติอะไรเลย “วานั่งคุยกับจันทร์อยู่ตรงข้างบ้านค่ะแม่ ก็เลยไม่ได้เดินเข้าบ้านมากับน้อง แล้วนี่แม่ดูอะไรอยู่คะ กินข้าวรึยัง นมบำรุงกระดูกที่วาซื้อมาให้ครั้งก่อนหมดรึยังเนี่ย แม่อยากได้อะไรอีกมั้ย พรุ่งนี้วาจะซื้อมาให้” วารีเอื้อมมือไปจับมือของแม่ลีแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือลูบเบา ๆ บนหลังมืออีกฝ่าย เธอตั้งใจส่งผ่านกำลังใจดี ๆ ไปพร้อมกับสายตาที่แส
ในเวลาช่วงเช้าของวารีฟาร์ม ก่อนแปดโมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาเข้างาน มักจะมีภาพของชาวบ้านในท้องถิ่นซึ่งทำงานที่นี่ ล้อมวงกันนั่งกินกาแฟและพูดคุยข่าวสารบ้านเมืองกันด้วยเสียงเฮฮา วันนี้มุกดามาถึงฟาร์มเร็วกว่าทุกวันจึงได้เห็นภาพดังกล่าว บรรยากาศแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ เสียงหัวเราะ ความเป็นกันเองของคนพื้นถิ่น กลิ่นกาแฟโบราณและขนมที่กินกับกาแฟตอนเช้าคือเอกลักษณ์ของที่นี่ “เอ้า มุก หลบบ้านมาเมื่อใด ลุงไม่เห็นนาน สวยน่าหวางนี้” (อ้าวมุก กลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ลุงไม่เจอนาน เดี๋ยวนี้สวยนะ) น้ำเสียงที่เอ่ยทักทายเป็นภาษาใต้ทำให้มุกดารีบหันไปมองต้นเสียงก็เจอเข้ากับลุงมุ้ย ที่ตอนนี้น่าจะเป็นตามุ้ยไปแล้ว ยังคงมองเธอด้วยสายตาอบอุ่น “หวัดดีค่ะลุง นุ้ยเพิ่งหลบมาไม่นานค่ะ ลาออกจากงานแล้ว หลบมาแลแม่ แกไม่ค่อยบาย” (สวัสดีค่ะลุง หนูเพิ่งกลับมาไม่นานค่ะ ลาออกจากงานแล้ว กลับมาดูแลแม่ ท่านไม่ค่อยสบาย) มุกดาตอบกลับไปด้วยสำเนียงท้องถิ่นเช่นกัน ทำเอาคนที่เพิ่งเดินเข้ามายังวงสนทนายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะไม่คิดว่ามุกดาจะยังพูดใต้ได้ วารีเดินมาหยุดอยู่ข้างกายมุกดาใ
“ซื้อของเสร็จรึยังมุก” วารีเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าบึ้งตึง“อ้าวพี่วา มาเร็วจัง” มุกดายกข้อมือดูนาฬิกาก็เห็นว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่นาน“อืม พี่ซื้อของเสร็จแล้ว” วารีขยับมายืนข้าง ๆ ในแบบที่ใกล้กว่าเดิม แล้วเอามือแตะ ๆ ข้างเอวของมุกดาอย่างเบามือ เลยทำให้อีกฝ่ายแทบไม่รู้สึกว่ากำลังถูกแสดงความเป็นเจ้าของทว่าพนักงานขายผู้ชายที่เห็นการกระทำของวารีบวกกับสีหน้าบึ้งตึงของเธอก็พอจะเข้าใจอะไรได้ง่ายขึ้นเขารีบปรับสีหน้ามาเป็นปกติ สายตาที่มองมุกดาหวานฉ่ำหายไปในทันที“แล้วนี่มาซื้ออะไร แท็บเล็ตเครื่องใหม่เหรอ เครื่องเก่าไปไหนแล้วล่ะ” วารียังคงมีสีหน้าหงุดหงิดที่แสดงออกชัดเจน“พี่ไปกินรังแตนที่ไหนมาเนี่ย หน้าบึ้งเป็นบ้าเลย”“ช่างเหอะ จะซื้ออะไรก็รีบซื้อ จะได้รีบกลับ งานที่ฟาร์มมีอีกเยอะ”“โอเค ๆ รู้แล้วค่า” มุกดาลากเสียงยาวแล้วหันไปคุยกับพนักงานขาย“งั้นเอาเครื่องนี้ค่ะพี่ เดี๋ยวรูดบัตรได้เลยนะคะ” มุกดาเตรียมจะหยิบกระเป๋าสตางค์ของตัวเองออกมา แต่วารีเร็วกว่าเพราะเธอเตรียมบัตรเครดิตไว้ในมือตั้งแต่ที่เดินเข้ามาแล้ว“รูดกับบัตรใบนี้ค่ะ” เธอยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานและส่งส
เมื่อนาฬิกาบอกเวลาตีสอง เสียงเครื่องยนต์จากรถกระบะสีดำที่ขับเข้ามาในฟาร์มปลุกมุกดาที่หลับฟุบกับโต๊ะกินข้าวในห้องครัวให้ตื่นขึ้น วารีขับรถเข้ามาจอดในโรงรถด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่ารถเก๋งของมุกดายังจอดอยู่ที่เดิม แต่เพราะอาการมึนเมาเล็กน้อยเธอเลยไม่ได้สนใจนักอีกใจก็แอบคิดว่าตัวเองตาฝาด ไม่อยากเข้าข้างตัวเองให้มากว่าอีกฝ่ายจะอยู่รอเป่าเค้กเป็นไปไม่ได้หรอก เธอไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น วารีเดินเข้ามาในบ้าน รู้สึกคอแห้งจึงก้าวยาว ๆ ตรงไปยังห้องครัว ไม่ได้นึกแปลกใจที่ไฟในห้องครัวยังเปิดอยู่ และเมื่อเดินเข้าไป เสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ก็ดังขึ้น มุกดาถือเค้กก้อนเล็กไว้ในมือ มูลค่าของเค้กไม่กี่สิบบาท พร้อมกับเทียนเล็ก ๆ หนึ่งเล่ม แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้วารีสร่างเมาในทันที เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเพลงวันเกิดร้องจบไปตั้งแต่ตอนไหน เพราะสายตาเอาแต่มองภาพตรงหน้า แล้วก็รู้สึกเหมือนหูดับไปซะอย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกชื่อจากมุกดาซ้ำ ๆ นั่นแหละถึงได้มีสติหลุดจากภวังค์ “เป่าเทียนได้แล้วค่ะพี่วา อย่าลืมอธิษฐานก่อนนะ” วารีพยักหน้า หลับตาล
“ขี้โกง นี่พี่ไม่ได้หลับเหรอ” คนในอ้อมกอดยังคงพยายามดิ้นไปดิ้นมา แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ดูจะสู้อ้อมแขนแข็งแกร่งของวารีไม่ได้เลย ต่อให้พยายามจะเอาตัวเองออกมาจากพันธนาการนั้นแต่ก็แสนจะยากเย็น “ถ้าหลับแล้วจะเห็นเหรอว่ามีคนแอบมองพี่น่ะ หื้ม” วารีก้มลงมองใบหน้าคนในอ้อมกอด พร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นดังมากขึ้นเรื่อย ๆนี่เป็นอ้อมกอดแรกในรอบกี่สิบปีไม่รู้นับตั้งแต่ทั้งคู่แยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง และการวนกลับมาเจอกันครั้งนี้ก็เหมือนพัดพาเอาความรู้สึกเก่า ๆ กลับมาด้วยเช่นกันจากที่เคยคิดว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว แต่ความรู้สึกวูบไหวตรงหน้าอกข้างซ้ายกำลังบอกความจริงบางอย่างกับเธอ“ใครแอบมอง มุกไม่ได้แอบสักหน่อย”“ยังจะปากแข็งอีกนะ พี่ไม่ได้ตาบอดสักหน่อย”“ก็พี่วาเมา แล้วก็เป็นฝ่ายขอร้องให้มุกอยู่ด้วย มุกก็ต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าพี่โอเคขึ้นแล้วจริง ๆ”“เป็นห่วงพูดแบบนี้ค่ะ ไม่ต้องอ้อมค้อม ไหนลองพูด”“ไม่พูด! เพราะไม่ได้เป็นห่วง ไม่เลยสักนิด”“อ้อเหรอ แต่ก็ยอมอยู่กับพี่หนิ”“งั้นกลับก็ได้!”มุกดาพยายามเอาตัวเองออกมาจากอ้อมกอดของวารีอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่เป็นผล ดูเหมือนว่าอีกฝ่
“มุก มาแนะนำตัวกับชาวบ้านหน่อยสิ”วารีเอ่ยเรียกคนที่เธอรู้จักดี มุกดาเมื่อได้ยินชื่อตัวเองก็ลุกจากเก้าอี้มายืนต่อหน้าชาวบ้านเคียงข้างวารีมุกดาเริ่มแนะนำตัวท่ามกลางเสียงปรบมือ แม้ว่าเธอจะเป็นคนในท้องถิ่นเช่นกัน แต่เพราะไม่ค่อยได้กลับบ้าน ชาวบ้านบางคนก็ไม่ได้รู้จักเธอว่าเป็นใครมาจากไหน บางคนก็หลงลืมไปแล้วว่าเธอเป็นลูกสาวของแม่ลี เมื่อมีการแนะนำตัว จึงได้ทำให้หลายคนรู้จักเธอเพิ่มขึ้นมุกดาพูดคุยกับชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง และบอกว่าตัวเองเคยทำงานเป็นนักอนุรักษ์ เธอเข้าใจชาวบ้าน เข้าใจวิถีชีวิตของคนในชุมชน หลายคนก็ดีใจที่มุกดากลับมาและจะมาช่วยพัฒนาชุมชนให้ดียิ่งขึ้นไปจนกระทั่งมุกดาพูดจบ กำนันโต้งก็เอ่ยขึ้นทันที“ทั้งเก่งทั้งสวยขนาดนี้ ไม่น่าจะมาทำงานที่ฟาร์มวารีนะครับ ไปทำงานเป็นผู้ช่วยกำนันดีกว่า งานสบาย เงินเดือนดี สนใจมั้ยครับคุณมุกดา”กำนันโต้งแสดงออกชัดเจนถึงจุดประสงค์ของเขา อีกทั้งสายตาที่มองมุกดาตลอดเวลาก็เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ วารีเห็นแบบนั้นจึงขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายแล้วเอื้อมมือไปกอบกุมเอวบางคนข้างกายเอาไว้มุกดาหันไปมองค้อนเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนข้าง ๆ กอดเอวเธอท่ามกลางสายตาหลายคู่
หลังจากแต่งงานกันมาได้สองปี ตอนนี้ทั้งวารีและมุกดาก็มีความสุขดีตามประสาคู่ชีวิตทั่วไปที่ช่วยกันทำงานและดูแลกิจการ ส่วนเรื่องของการมีลูกนั้น ทั้งคู่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะวารีเองก็อายุ39ปีแล้ว ส่วนมุกดาปีนี้ก็33 หากจะใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีลูกก็อาจจะเสี่ยงในหลาย ๆ อย่าง ทั้งคู่เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ ฟ้าจะส่งเด็กน้อยสองคนมาให้ วันนี้วารีและมุกดาพากันมาบริจาคของเล่นและสิ่งของต่าง ๆ ให้กับสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้า ซึ่งทั้งคู่แวะมาที่นี่กันบ่อย บางครั้งก็แวะมาเล่านิทาน ร้องเพลง ทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ และทุกครั้งที่จะกลับ มักจะมีสายตาละห้อยของเด็ก ๆ มองพวกเธอเสมอทำให้มุกดาอดคิดถึงลูกจันทร์น้องสาวของเธอไม่ได้ หากวันนั้นแม่ของเธอไม่รับลูกจันทร์มาเลี้ยง ไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของน้องสาวตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง หากมีโอกาส มุกดาก็อยากจะช่วยเหลือเด็กที่นี่ได้มากกว่านี้“ทำหน้าเศร้าอีกแล้วนะคะ”วารีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างกันหม่นหมองลงทันทีในตอนที่กำลังจะกลับ“น้องสงสารเด็ก ๆ ที่นี่ค่ะ ใจนึงก็อยากช่วย อีกใจก็รู้ว่าเราคงไม่มีกำล
สนามบินต่างประเทศในเช้าตรู่เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจากนักท่องเที่ยว แต่วารีกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด มือที่กุมมือมุกดาไว้แน่น ๆ คือคำยืนยันว่าการเดินทางไปดูงานต่างประเทศครั้งนี้ เธอไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียวอีกต่อไป การเดินทางมาโตเกียวครั้งนี้ คนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าคือมุกดา และเป็นฝ่ายจัดกระเป๋าเตรียมทุกอย่างให้วารีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะแต่งงานกันมานานแล้ว แต่เรื่องของความรักและการเอาใจใส่กันยังคงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่เติมเต็มให้กันเสมอ“พี่วาคะ น้องได้ยินมาว่า ร้านเครื่องประดับในโตเกียวนี่ขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ที่เอามุกมาประยุกต์แบบโมเดิร์นเลยนะคะ” มุกดาหันมาพูดอย่างตื่นเต้น ขณะที่ทั้งคู่รอแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมวารีพยักหน้า ดวงตาหวานฉ่ำมองคนข้างกาย “เดี๋ยวก็ได้เห็นค่ะ พี่เองก็อยากดูว่าเขาเอาแนวคิดธรรมชาติมาใส่ในเครื่องประดับยังไงบ้าง จะได้กลับไปพัฒนาไลน์ของเราเพิ่ม”ทริปนี้วารีตั้งใจพามุกดามาด้วย เพราะอยากให้เห็นกระบวนการด้านศิลป์และการตลาดจากทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องอนุรักษ์หรือการผลิตเพียงอย่างเดียว มุกดาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มาดูนิทรรศการเครื่องประดับหอ
เสียงคลื่นซัดเบา ๆ อยู่ไม่ห่างจากเวทีไม้ไผ่ที่จัดวางกลางลานหญ้าของฟาร์มวารี เส้นไฟดวงเล็กวิบวับถูกขึงข้ามเหนือหัวผู้คน บรรยากาศค่ำคืนโรแมนติกอบอวลด้วยกลิ่นอาหารทะเลสด ๆ และเสียงหัวเราะของผู้ที่มาร่วมงานโต๊ะยาวที่จัดเรียงหน้าฟาร์มเต็มไปด้วยอาหารพื้นบ้านอย่างหอยทอด ข้าวเหนียวปิ้ง ปลาย่าง และของหวานแบบไทย ๆ ที่แม่ ๆ ป้า ๆ แถวนั้นตั้งใจทำมาจากบ้านตัวเอง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วันสำคัญของสองสาวเจ้าของฟาร์ม’“บรรยากาศดีจนฉันอยากแต่งงานอีกรอบเลย” คิรินเอ่ยพลางยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ หันไปมองวิวาห์ที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วส่งยิ้มหวานวิวาห์หันไปทางเวทีกลาง พูดเสียงเบาเหมือนกำลังคิดตาม “วารีดูอ่อนโยนขึ้นเยอะเลยเนอะตอนอยู่กับมุก ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง”“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่ชื่อมุกดา คนที่เคยทำให้เพื่อนเราร้องไห้จนแทบจะขาดใจตาย ทำให้คนที่เคยเหมือนหินก้อนเบ้อเริ่ม กลายเป็นขนมโมจิได้ เห็นหน้าวารีเมื่อกี้มั้ย เหมือนลูกแมวเลย” คิรินหัวเราะเบา ๆบนเวทีไม้ไผ่ มุกดาในชุดไทยผสมลูกไม้ประยุกต์สีครีมอ่อน ยืนจับมือกับวารีที่อยู่ข้างกัน ทั้งสองคนยิ้มเขินนิด ๆ ขณะท
งานแต่งงานของวารีกับมุกดาในวันนี้ จะเรียกงานแต่งก็อาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะบรรยากาศมันเหมือนการรวมพลเลี้ยงคนในหมู่บ้านมากกว่า วารีไม่คิดเลยว่าแม่ของเธอจะเชิญคนทั้งหมู่บ้านขนาดนี้ บรรยากาศในวันนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงเฮฮาและรอยยิ้ม ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองคนมีรอยยิ้มสดใส หน้าตาเปล่งปลั่ง มีออร่าตลอดเวลาที่คอยต้อนรับแขกในงาน และความตั้งใจของทั้งวารีและมุกดา ที่อยากให้งานเป็นไปด้วยความเรียบง่าย พิธีวันนี้จึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก มีเพียงการผูกข้อไม้ข้อมือ สวมแหวน และงานเลี้ยงขอบคุณแขกที่มาร่วมงานก็เท่านั้น และสิ่งที่เซอร์ไพรซ์ในงานแต่งวันนี้คือการที่ลูกจันทร์พาใครบางคนมาร่วมงานแต่งของพี่สาวเธอด้วย นั่นก็คือคุณพาขวัญ บุคคลที่ย่างกรายเข้ามาในงานแล้วโดนจับจ้องด้วยสายตาทุกคู่ พาขวัญ อัครเมธากุล เจ้าของมูลนิธิพาขวัญ ผู้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย อีกทั้งยังก่อตั้งมูลนิธิเพื่อให้เงินทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้และเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ลูกสาวนักการเมืองตำแหน่งใหญ่ นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ว่ากันว่า เธอไม่ชอบงานสังคม เธอหาตัวจับยาก ไม่ค่อยมีใครได้เห็นเธอไปไหนมา
วารีฟาร์มแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นเสมอมา นับตั้งแต่มุกดาเข้ามาที่นี่เจ้าของฟาร์มที่เคยเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยทักทายลูกน้อง ใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาก็ดูจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันแต่งงานเข้ามาใกล้มากขึ้น ใกล้จนมันกำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว เสียงคลื่นซัดเบา ๆ เข้าฝั่งในยามค่ำคืน ท้องฟ้าริมทะเลมีเพียงแสงดาวกระพริบระยิบ ระเบียงบ้านไม้ที่ยื่นไปในทะเลของวารีเงียบสงบ ลมโชยอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางในห้องนอน ราวกับจะกระซิบเตือนให้หัวใจของคนทั้งสองจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้แม่นมุกดานั่งอยู่บนเตียงไม้สีอ่อน ห่มผ้าบาง ๆ รอบตัว ขาเปลือยเปล่าห้อยแกว่งเบา ๆ กับอากาศ ขณะที่แสงไฟจากโคมข้างเตียงให้แสงอบอุ่นพอดีเสียงประตูไม้เปิดออก วารีในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาช้า ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาฉายแววอ่อนโยนกว่าทุกคืน“ยังไม่นอนเหรอคะ” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยถามแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน“พรุ่งนี้ก็จะแต่งงานแล้ว ใครจะหลับลงกันล่ะ” มุกดาหันมายิ้มตาหยีวารีคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เตรียมเอาของที่สองมือซ่อนไว้ด้านหลังออกมา“พี่มีอะไรจะให้ค่ะ”“หืม?” ม
นับตั้งแต่คุยเรื่องแต่งงาน และได้ข้อสรุปว่า ฤกษ์แต่งงานจะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า ทางด้านมุกดาก็หันมาดูแลตัวเองมากกว่าเดิม เพราะอยากให้ภาพวันนั้นออกมาสวยงามที่สุด จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ควรทำ เพื่อให้ออร่าเจ้าสาวเปล่งประกาย แต่ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนไม่ชอบเอาซะเลยที่แฟนตัวเองหันมาดูแลตัวเองจนสวยวันสวยคืนมากขึ้น พักหลังมานี้วารีจึงตามติดมุกดามากกว่าเดิม ถ้าเมื่อก่อนแทบจะสิง ตอนนี้คงต้องเรียกว่า แทบจะกลืนกิน ถึงขนาดที่ว่า คนงานในฟาร์มยังไม่กล้ามองมุกดาตรง ๆ เพราะมักจะเจอกับสายตาดุ ๆ ของวารีอยู่เสมอ ส่วนมุกดานั้นไม่ได้ถือสาอะไรกับท่าทีของแฟนตัวเอง เธอมองว่าวารีเหมือนโกลเด้นตัวโตที่อยากให้เจ้าของสนใจก็เท่านั้นวันนี้แดดในช่วงบ่ายคล้อยกำลังอ่อนแรง เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเหมือนเพลงกล่อม วารีเดินออกจากห้องประชุมในศูนย์การเรียนรู้ของฟาร์ม ด้วยสีหน้าตึงเครียดหลังการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรฯ เสร็จ เธอถอดเสื้อคลุมพาดไหล่ออก เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวเรียบที่เปียกชื้นจากเหงื่อเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเริ่มแผ่ซึมผ่านท่าทางทุกอณูแต่ทันทีที่
บรรยากาศรอบ ๆ บ้านไม้สองชั้นของมุกดาในเย็นวันนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น แม่ลี แม่แวว วารี มุกดา และลูกจันทร์ ทั้งห้าคนกำลังนั่งล้อมวงอยู่ตรงเก้าอี้ม้าหินอ่อนใต้ต้นมะม่วงต้นใหญ่หน้าบ้าน นับตั้งแต่มุกดากลับมาอยู่บ้าน อาการป่วยของแม่ลีก็ดูจะดีขึ้นมาก ยิ่งในวันนี้ใบหน้าของคนที่กำลังต่อสู้กับโรคร้ายกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม หากเป็นคนที่ไม่รู้จักกันคงแทบไม่รู้เลยว่าแม่ลีกำลังป่วย เพราะใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา เรื่องของการหมั้นหมายและการแต่งงานคือหัวข้อสำคัญในการคุยกันในเย็นนี้ ทว่าคนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าใครคือลูกจันทร์ เพราะเธอคือคนที่รับรู้เรื่องราวของทั้งคู่มาโดยตลอด ยิ่งได้รู้ว่าพี่สาวที่ตัวเองรักทั้งสองคนกำลังจะแต่งงานกัน ความอิ่มอกอิ่มใจมันเอ่อล้นภายในใจจนแสดงออกมาผ่านสายตาเปล่งประกาย “ค่าสินสอด ค่าเลี้ยงดูน่ะ เรียกมาเถอะลี ไม่ต้องเกรงใจหรอก ฉันกับลูกตั้งใจเต็มที่กับงานนี้ ยังไงก็ไม่ให้น้อยหน้าหรอก” แม่แววหันไปคุยกับแม่ลี เพื่อนรักที่รู้จักกันมาเกือบทั้งชีวิต แน่นอนว่าทั้งคู่ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ลูกสาวของตนปรองดองกัน “โอ้ย ฉ
“มันจะเกิดขึ้นแน่นอนค่ะ ทุกอย่างที่เป็นเรื่องของน้อง เป็นความสบายใจของน้อง เป็นความสุข และเป็นสิ่งที่จะทำให้น้องยิ้มได้ พี่จะทำให้มันเกิดขึ้นให้ได้เลยนะ หลังจากนี้ไป ให้พี่ดูแลนะ ให้พี่ได้มีโอกาสแก้ไขเรื่องที่ผ่านมา ความเข้าใจผิดในทุกอย่าง เราสองคนมาปลูกต้นรักกันใหม่ มาสร้างครอบครัวของเราด้วยกันนะ” ทุกคำพูดของวารีเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย เธอมองหน้ามุกดาตลอดเวลาที่พูด สายตาที่มองคนอายุน้อยกว่าเต็มไปด้วยความรักใคร่ “ขอบคุณนะคะพี่วา สำหรับทุกอย่างที่คิดจะทำ จริง ๆ น้องเองก็เป็นฝ่ายผิดเหมือนกันที่ไม่เคยรับฟังพี่เลย เอาแต่ความรู้สึกของตัวเองจนลืมไปว่าพี่ก็มีความรู้สึก พี่ก็คงเจ็บปวดไม่น้อย งั้นหลังจากนี้เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะคะ น้องสัญญาว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเหมือนกัน” “ได้สิคะ เราสองคนเริ่มต้นกันใหม่ได้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้พี่ง่วงแล้วอะ ไม่รู้แหละคืนนี้น้องต้องให้พี่นอนด้วย” “อะไรกัน จู่ ๆ วนมาเรื่องนี้ได้ยังไง อีกอย่าง ระยะทางแค่สามกิโลมันคงไม่ทำให้พี่ขับรถกลับโดยใช้เวลานานเกินไปหรอกนะคะ กลับไปนอนที่บ้านเลยค่ะ อีกอย่างกลุ่มนักศึกษาก็ยังอยู่ เจ้า
วารีใจแป้วไม่น้อยเมื่อได้ยินคำพูดของมุกดาที่ส่งกลับมาแบบนั้น แต่เธอก็ยังทำใจดีสู้เสือ เพราะเริ่มมั่นใจแล้วว่า การที่อีกฝ่ายมองเธอด้วยสายตาแบบนี้ แปลว่ากำลังมีเรื่องขุ่นเคืองบางอย่าง “คืนนี้ขอนอนด้วยนะคะ” วารีถามกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ไม่ค่ะ บ้านตัวเองก็มี โฮมสเตย์ก็มีตั้งหลายห้อง เลือกเอาสักห้องสิคะอยากนอนห้องไหน” “คืนนี้โฮมสเตย์เต็มทุกห้องค่ะ ให้พี่นอนด้วยนะคะ” “ไม่ค่ะ พี่วากลับไปเลย ไม่แน่ตอนนี้อาจจะมีคนรอพี่อยู่ก็ได้นะคะ” “น้องหมายถึงใคร พี่ไม่เข้าใจ” วารีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ก็ใครกันล่ะที่เข้ามาใกล้ชิดพี่จนวันนี้เราแทบไม่ได้คุยกันเลย ใครล่ะที่พี่คุยด้วยกระหนุงกระหนิง หน้าชื่นตาบานขนาดนั้น ใครกันที่มองพี่ซะสายตาหวานหยดย้อยอย่างกับอยากจะกลืนกินซะเหลือเกิน เห็นแล้วมันน่าโมโหชะมัด” วารีเข้าใจได้มากขึ้นเมื่อมุกดาบอกถึงการกระทำของบุคคลที่ว่าอย่างละเอียดยิบ และวันนี้ทั้งวันก็มีเพียงคนเดียวที่เข้ามาใกล้ชิดเธอ “พี่เข้าใจแล้วค่ะ แต่มันไม่มีอะไรเลย น้องก็รู้ว่าเวลามีคนมาดูงานที่ฟาร์ม พี่ทั้งตื่นเต้นแล้วก็ดีใจ อย