“อืม นี่ห้องทำงาน”
วารีพยักหน้าเข้าไปด้านใน หลังจากเปิดประตูห้องทำงานของเธอออกกว้าง หลังจากทานมื้อเที่ยงด้วยกันเรียบร้อยแล้วเธอก็ตัดสินใจพามุกดามาที่นี่
ไม่รู้อะไรทำให้เธอตัดสินใจแบบนี้ ทั้งที่ห้องทำงานเป็นพื้นที่ที่เธอหวงแหนพอ ๆ กับห้องนอน เพราะที่นี่มีข้อมูลสำคัญหลายอย่าง รวมถึงข้อมูลทางธุรกิจ
แต่สุดท้ายเธอก็ยอมที่จะเปิดพื้นที่ตรงนี้ให้มุกดาได้เข้าไป
“ทำไมพี่ต้องมีห้องทำงานแยกด้วย ไม่ทำห้องทำงานไว้ที่บ้านล่ะคะ หื้ม”
มุกดาเอ่ยถามระหว่างที่เดินสำรวจภายในห้อง ซึ่งห้องทำงานของวารีนั้นตั้งอยู่ใกล้กับโรงเรือนอนุบาลหอยมุก มันเป็นตู้คอนเทนเนอร์แบบน็อกดาวน์ที่สั่งสำเร็จมาตั้งไว้ที่นี่ ด้านในเป็นพื้นที่โล่ง ๆ มีเพียงโซฟายาวหนึ่งตัว โต๊ะทำงาน และชั้นเอกสารที่วางอยู่ด้านหลังโต๊ะ
“บางทีเบื่อ ๆ ก็มาอยู่ที่นี่ จะว่าที่เก็บตัวก็ได้ บางช่วงที่แม่บ่นเยอะพี่ก็หนีมาอยู่ที่นี่”
“อ้อ หลุมหลบภัยนี่เอง”
มุกดาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินไปหยุดหน้าชั้นเอกสารที่เรียงรายด้วยแฟ้มสีดำมากมาย เธอสุ่มหยิบมาหนึ่งแฟ้มแล้วเปิดดูเอกสารด้านใน
“หมวดธุรกิจและการตลาด รายชื่อลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ สัญญาการจัดส่ง ความต้องการเฉพาะ”
มุกดาอ่านหัวข้อเอกสารในแฟ้มเสียงดัง ขณะเดียวกันสองเท้าก็เดินมาหยุดตรงหน้าวารี แล้วละสายตาจากเอกสารในมือ เปลี่ยนมาจ้องมองสายตาดุ ๆ ของผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าแทน
“ข้อมูลพวกนี้ไม่ต้องบันทึกไว้ในแฟ้มหรอกค่ะ เดี๋ยวมุกจัดเก็บไว้ให้ในมือถือ พี่จะได้ใช้งานได้สะดวก ถ้าเกิดวันดีคืนดีลูกค้าโทรมาถามเรื่องสัญญา หรือข้อมูลการจัดส่งบางอย่างที่พี่อาจจะจำไม่ได้ พี่จะกลับมารื้อเอกสารพวกนี้เหรอคะ มันก็ไม่ได้ปะ เพราะงั้นตรงนี้สำคัญค่ะ พี่ต้องเปลี่ยนการเก็บข้อมูลใหม่”
วารีฟังจบก็ถอนหายใจออกมา เธอคว้าแฟ้มในมือของมุกดามาถือไว้ แล้วสบสายตากับคนตรงหน้าอย่างมุ่งมั่น
“อย่ามาจุ้นจ้านเรื่องของพี่ได้มั้ย ขอร้องเถอะ”
“มุกไม่ได้จุ้นจ้านสักหน่อย”
“ไอ้ที่ทำอยู่เนี่ย เค้าเรียกว่าจุ้นจ้าน”
“ใครบอกคะ เค้าเรียกว่า ช่วยจัดการชีวิตให้ง่ายขึ้นต่างหาก”
มุกดาพูดจบก็เดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของวารี เธอหยิบแท็บเล็ตคู่ใจออกมากดดูอะไรบางอย่าง จดจ้องกับหน้าจออยู่ไม่กี่วินาทีก็เงยหน้ามองวารีอีกครั้ง
“บ่ายวันนี้พี่วาต้องไปดูเรื่องวัตถุดิบที่ร้านอาหารนี่คะ งั้นเราก็แยกกันทำงานเลยละกัน พี่ไปดูที่ร้าน ส่วนงานที่นี่มุกจัดการให้เอง”
“ไม่ได้ พี่จะปล่อยให้มุกอยู่ที่นี่คนเดียวไม่ได้”
“ทำไมคะ มีอะไรสำคัญเหรอ มุกไม่ล้วงความลับอะไรพี่หรอก แค่จะช่วยเคลียร์เอกสารก็แค่นั้น เนี่ย เอกสารพวกนี้รกจะตาย”
มุกดาหยิบแฟ้มสีดำบนชั้นออกมาอีกสองสามแฟ้ม จังหวะนั้นเธอก็เห็นบางอย่างหล่นลงมาจากชั้นไม้
มันเป็นภาพถ่ายใบหนึ่งที่หล่นลงบนพื้น เมื่อเธอหยิบมันขึ้นมาดู หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาทันที
วารีได้แต่ยืนนิ่ง เธออยากจะพูดอะไรสักอย่างมากกว่าการยืนตัวแข็งอยู่แบบนี้ แต่ปากของเธอก็แทบไม่ขยับ
มุกดาจ้องมองภาพถ่ายในมืออยู่นาน มันเป็นภาพของผู้หญิงสองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน คนหนึ่งใส่ชุดนักเรียนม.ต้น ถักเปียสองข้าง ส่วนอีกคนอยู่ในชุดนักศึกษามหาลัย ตัดผมบ๊อบสั้น ใบหน้าราบเรียบ แต่มือของเจ้าตัวกลับกอดเอวคนข้าง ๆ ไว้หลวมๆ
“พี่วา รูปนี้มัน..” มุกดาหันไปมองหน้าวารีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
เสียงของมุกดาทำให้วารีได้สติ เธอรีบเดินไปคว้าภาพถ่ายใบนั้นมาไว้ในมือแล้วแสร้งมองไปทางอื่น
“อย่ายุ่งกับของในห้องพี่”
“พี่วา มุกไม่ได้ตั้งใจ แต่ภาพนั้น มัน..”
“เลิกพูดเรื่องนี้ คิดซะว่าไม่เห็น ไม่ได้รับรู้อะไรละกัน ส่วนเรื่องแฟ้มเอกสาร ถ้าอยากจะจัดการเรื่องข้อมูลก็ตามใจ พี่จะไปที่ร้าน ถ้าเสร็จงานตรงนี้แล้วก็กลับได้เลย ล็อกประตูห้องให้พี่ด้วย ส่วนกุญแจก็เก็บไว้ พี่มีสำรองอีกชุด”
วารีพูดจบก็เดินออกมาจากห้องทำงานทันที พร้อมกับภาพถ่ายใบนั้นที่เอาติดมือมาด้วย
มุกดานั่งลงบนเก้าอี้ทำงานภายในห้องที่เงียบสงัด เธอหันมองรอบตัวช้า ๆ ห้องทำงานของวารีมีแต่งานอย่างที่เจ้าตัวบอกจริง ๆ งานกับความเงียบเป็นสิ่งเดียวที่มุกดาสัมผัสได้ในตอนนี้
ทำไมที่นี่ถึงเป็นที่ที่วารีชอบมาอยู่นะ เธอชอบที่นี่มากกว่าบ้านอีกงั้นเหรอ ทั้งที่มันออกจะดูเงียบเหงาและวังเวงด้วยซ้ำ
มุกดาเดินดูแฟ้มเอกสารแต่ละแฟ้ม จนพอจะรู้เรื่องงานของวารีแทบทั้งหมด และนั่นก็ทำให้เธอรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ทำงานแค่ในประเทศ แต่ยังมีธุรกิจต่างประเทศอีกด้วย
‘คนบ้าอะไรทำงานเยอะขนาดนี้ กลัวไม่ได้ตายก่อนใช้เงินรึไงนะ’ มุกดาส่ายหน้าเบา ๆ และลงมือจัดการข้อมูลต่าง ๆ ให้อีกฝ่าย วันนี้วันเดียวอาจจะยังไม่เสร็จ แต่เธอก็มั่นใจว่า หลังจากนี้ชีวิตของวารีจะสะดวกขึ้น และสบายขึ้นอย่างแน่นอน
บ่ายวันนี้มุกดาทำงานอย่างเพลิดเพลินจนลืมดูเวลาไปเลย เธอจดจ่อกับกองเอกสารมากมายที่รื้อจากชั้นวางเอามาวางบนโต๊ะหน้าโซฟาเพื่ออ่านข้อมูลต่าง ๆ จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน
และไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองฟุบหลับไปกับกองเอกสารตั้งแต่เมื่อไหร่
หลังจากดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้ว วารีที่เดินกลับจากร้านอาหารและกำลังจะเดินไปบ้าน เมื่อเห็นไฟในห้องทำงานตรงตู้คอนเทนเนอร์ยังเปิดส่องสว่าง เธอก็รีบวิ่งไปที่นั่นทันที
เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วเห็นมุกดาฟุบหลับอยู่กับโต๊ะหน้าโซฟาเธอก็ได้แต่ยืนนิ่ง
ภาพที่เคยติวหนังสือให้เด็กคนนี้ย้อนเข้ามาในความทรงจำ เรื่องความฝันของมุกดา วารีจำได้ดี จำได้ขึ้นใจ และมันก็เป็นที่มาของวารีฟาร์มแห่งนี้
‘มุกชอบทะเลมากเลยพี่วา ชอบทุกอย่างในทะเล คอยดูนะ โตขึ้นมุกจะเป็นนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ มุกจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาความสวยงามของท้องทะเลไว้ให้ได้มากที่สุด’
วารีเดินเข้าไปใกล้ นั่งลงบนโซฟาแล้วก้มหน้ามองคนที่นั่งฟุบหลับอยู่กับโต๊ะ เธอเอานิ้วเกลี่ยเส้นผมที่หล่นปรกใบหน้าของอีกฝ่ายเพื่อจะได้มองใบหน้านั้นให้ชัดขึ้น
‘พี่ไม่คิดเลยว่าเราจะกลับมาเจอกันอีก ไม่คิดเลยจริง ๆ’
วารีคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย สายตาเธอจ้องมองมุกดาที่กำลังหลับใหลแทบไม่กะพริบตา จนกระทั่งอีกฝ่ายขยับตัว วารีจึงละสายตาไปทางอื่น
“อ้าวพี่วา มาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย โอ๊ย นี่มุกหลับไปเหรอ ตายจริง กี่โมงแล้วคะ”
“จะทุ่มนึงแล้ว”
“ห้ะ ทุ่มนึง”
เมื่อรู้แบบนั้นมุกดาก็รีบกระวนกระวายเก็บของ แล้วหยิบมือถือที่วางอยู่ใกล้มือมากดดูหน้าจอ
“งานเข้า ลูกจันทร์โทรตามเป็นสิบสายแล้ว พี่วามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่ปลุกมุกเนี่ย”
“พี่เพิ่งมา คิดว่ามุกกลับไปแล้วด้วยซ้ำ”
“โห เอกสารของพี่น่าปวดหัวขนาดนี้มุกคงได้กลับอยู่หรอก”
มุกดาเก็บสัมภาระใส่กระเป๋า แล้วเอาแฟ้มต่าง ๆ ไปเก็บเข้าชั้น วารีช่วยเก็บอีกแรงจึงเสร็จในเวลาไม่นาน
“ก็พี่บอกแล้วไม่ต้องทำ พี่จัดการเอง”
“ถ้าปล่อยให้พี่จัดการเอง อีกห้าปีข้างหน้าห้องนี้คงเต็มไปด้วยกองเอกสารแน่ ๆ วิธีของมุกเนี่ยดีแล้ว แค่มันต้องใช้เวลาหน่อย อาจจะสักวันสองวันถึงจะเคลียร์หมด”
มุกดาพูดจบก็กระชับกระเป๋าผ้าเข้ากับตัว เธอไม่ลืมปิดคอมพิวเตอร์ ปิดแอร์ ปิดไฟ และตรวจดูทุกอย่างอีกครั้ง แน่นอนว่าทุกการกระทำของเธออยู่ในสายตาของวารีตลอดเวลา
ทั้งคู่เดินออกมาจากห้องทำงาน มุกดากำลังเดินไปที่รถ ซึ่งเป็นรถเก๋งรุ่นเก่าที่เธอใช้งานมาเกือบสิบปีแล้ว เป็นรถคันแรกของเธอที่ซื้อตั้งแต่ตอนเรียนจบ
แล้วก็ดูเหมือนว่า วารีกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยบางคำออกไป
“มืดแล้ว พี่ไปส่ง”
หลังจากแต่งงานกันมาได้สองปี ตอนนี้ทั้งวารีและมุกดาก็มีความสุขดีตามประสาคู่ชีวิตทั่วไปที่ช่วยกันทำงานและดูแลกิจการ ส่วนเรื่องของการมีลูกนั้น ทั้งคู่ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะวารีเองก็อายุ39ปีแล้ว ส่วนมุกดาปีนี้ก็33 หากจะใช้วิธีทางการแพทย์เพื่อให้ได้มาซึ่งการมีลูกก็อาจจะเสี่ยงในหลาย ๆ อย่าง ทั้งคู่เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ ฟ้าจะส่งเด็กน้อยสองคนมาให้ วันนี้วารีและมุกดาพากันมาบริจาคของเล่นและสิ่งของต่าง ๆ ให้กับสถานสงเคราะห์บ้านเด็กกำพร้า ซึ่งทั้งคู่แวะมาที่นี่กันบ่อย บางครั้งก็แวะมาเล่านิทาน ร้องเพลง ทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ และทุกครั้งที่จะกลับ มักจะมีสายตาละห้อยของเด็ก ๆ มองพวกเธอเสมอทำให้มุกดาอดคิดถึงลูกจันทร์น้องสาวของเธอไม่ได้ หากวันนั้นแม่ของเธอไม่รับลูกจันทร์มาเลี้ยง ไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของน้องสาวตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง หากมีโอกาส มุกดาก็อยากจะช่วยเหลือเด็กที่นี่ได้มากกว่านี้“ทำหน้าเศร้าอีกแล้วนะคะ”วารีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เดินอยู่ข้างกันหม่นหมองลงทันทีในตอนที่กำลังจะกลับ“น้องสงสารเด็ก ๆ ที่นี่ค่ะ ใจนึงก็อยากช่วย อีกใจก็รู้ว่าเราคงไม่มีกำล
สนามบินต่างประเทศในเช้าตรู่เต็มไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจากนักท่องเที่ยว แต่วารีกลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด มือที่กุมมือมุกดาไว้แน่น ๆ คือคำยืนยันว่าการเดินทางไปดูงานต่างประเทศครั้งนี้ เธอไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียวอีกต่อไป การเดินทางมาโตเกียวครั้งนี้ คนที่ดูจะตื่นเต้นกว่าคือมุกดา และเป็นฝ่ายจัดกระเป๋าเตรียมทุกอย่างให้วารีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะแต่งงานกันมานานแล้ว แต่เรื่องของความรักและการเอาใจใส่กันยังคงเป็นสิ่งที่ทั้งคู่เติมเต็มให้กันเสมอ“พี่วาคะ น้องได้ยินมาว่า ร้านเครื่องประดับในโตเกียวนี่ขึ้นชื่อเรื่องดีไซน์ที่เอามุกมาประยุกต์แบบโมเดิร์นเลยนะคะ” มุกดาหันมาพูดอย่างตื่นเต้น ขณะที่ทั้งคู่รอแท็กซี่ที่หน้าโรงแรมวารีพยักหน้า ดวงตาหวานฉ่ำมองคนข้างกาย “เดี๋ยวก็ได้เห็นค่ะ พี่เองก็อยากดูว่าเขาเอาแนวคิดธรรมชาติมาใส่ในเครื่องประดับยังไงบ้าง จะได้กลับไปพัฒนาไลน์ของเราเพิ่ม”ทริปนี้วารีตั้งใจพามุกดามาด้วย เพราะอยากให้เห็นกระบวนการด้านศิลป์และการตลาดจากทั่วโลก ไม่ใช่แค่เรื่องอนุรักษ์หรือการผลิตเพียงอย่างเดียว มุกดาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อย เพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอได้มาดูนิทรรศการเครื่องประดับหอ
เสียงคลื่นซัดเบา ๆ อยู่ไม่ห่างจากเวทีไม้ไผ่ที่จัดวางกลางลานหญ้าของฟาร์มวารี เส้นไฟดวงเล็กวิบวับถูกขึงข้ามเหนือหัวผู้คน บรรยากาศค่ำคืนโรแมนติกอบอวลด้วยกลิ่นอาหารทะเลสด ๆ และเสียงหัวเราะของผู้ที่มาร่วมงานโต๊ะยาวที่จัดเรียงหน้าฟาร์มเต็มไปด้วยอาหารพื้นบ้านอย่างหอยทอด ข้าวเหนียวปิ้ง ปลาย่าง และของหวานแบบไทย ๆ ที่แม่ ๆ ป้า ๆ แถวนั้นตั้งใจทำมาจากบ้านตัวเอง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วันสำคัญของสองสาวเจ้าของฟาร์ม’“บรรยากาศดีจนฉันอยากแต่งงานอีกรอบเลย” คิรินเอ่ยพลางยกแก้วน้ำมะพร้าวขึ้นจิบ หันไปมองวิวาห์ที่นั่งอยู่ข้างกันแล้วส่งยิ้มหวานวิวาห์หันไปทางเวทีกลาง พูดเสียงเบาเหมือนกำลังคิดตาม “วารีดูอ่อนโยนขึ้นเยอะเลยเนอะตอนอยู่กับมุก ไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง”“นั่นสิ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กที่ชื่อมุกดา คนที่เคยทำให้เพื่อนเราร้องไห้จนแทบจะขาดใจตาย ทำให้คนที่เคยเหมือนหินก้อนเบ้อเริ่ม กลายเป็นขนมโมจิได้ เห็นหน้าวารีเมื่อกี้มั้ย เหมือนลูกแมวเลย” คิรินหัวเราะเบา ๆบนเวทีไม้ไผ่ มุกดาในชุดไทยผสมลูกไม้ประยุกต์สีครีมอ่อน ยืนจับมือกับวารีที่อยู่ข้างกัน ทั้งสองคนยิ้มเขินนิด ๆ ขณะท
งานแต่งงานของวารีกับมุกดาในวันนี้ จะเรียกงานแต่งก็อาจจะไม่ถูกซะทีเดียว เพราะบรรยากาศมันเหมือนการรวมพลเลี้ยงคนในหมู่บ้านมากกว่า วารีไม่คิดเลยว่าแม่ของเธอจะเชิญคนทั้งหมู่บ้านขนาดนี้ บรรยากาศในวันนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงเฮฮาและรอยยิ้ม ทำเอาเจ้าสาวทั้งสองคนมีรอยยิ้มสดใส หน้าตาเปล่งปลั่ง มีออร่าตลอดเวลาที่คอยต้อนรับแขกในงาน และความตั้งใจของทั้งวารีและมุกดา ที่อยากให้งานเป็นไปด้วยความเรียบง่าย พิธีวันนี้จึงไม่ได้เคร่งครัดมากนัก มีเพียงการผูกข้อไม้ข้อมือ สวมแหวน และงานเลี้ยงขอบคุณแขกที่มาร่วมงานก็เท่านั้น และสิ่งที่เซอร์ไพรซ์ในงานแต่งวันนี้คือการที่ลูกจันทร์พาใครบางคนมาร่วมงานแต่งของพี่สาวเธอด้วย นั่นก็คือคุณพาขวัญ บุคคลที่ย่างกรายเข้ามาในงานแล้วโดนจับจ้องด้วยสายตาทุกคู่ พาขวัญ อัครเมธากุล เจ้าของมูลนิธิพาขวัญ ผู้ทำประโยชน์ให้กับสังคมมากมาย อีกทั้งยังก่อตั้งมูลนิธิเพื่อให้เงินทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้และเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ ลูกสาวนักการเมืองตำแหน่งใหญ่ นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ว่ากันว่า เธอไม่ชอบงานสังคม เธอหาตัวจับยาก ไม่ค่อยมีใครได้เห็นเธอไปไหนมา
วารีฟาร์มแห่งนี้ยังคงเต็มไปด้วยความรักและความอบอุ่นเสมอมา นับตั้งแต่มุกดาเข้ามาที่นี่เจ้าของฟาร์มที่เคยเอาแต่ทำงาน ไม่ค่อยทักทายลูกน้อง ใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาก็ดูจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก วันแต่งงานเข้ามาใกล้มากขึ้น ใกล้จนมันกำลังจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว เสียงคลื่นซัดเบา ๆ เข้าฝั่งในยามค่ำคืน ท้องฟ้าริมทะเลมีเพียงแสงดาวกระพริบระยิบ ระเบียงบ้านไม้ที่ยื่นไปในทะเลของวารีเงียบสงบ ลมโชยอ่อน ๆ พัดผ่านม่านบางในห้องนอน ราวกับจะกระซิบเตือนให้หัวใจของคนทั้งสองจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้แม่นมุกดานั่งอยู่บนเตียงไม้สีอ่อน ห่มผ้าบาง ๆ รอบตัว ขาเปลือยเปล่าห้อยแกว่งเบา ๆ กับอากาศ ขณะที่แสงไฟจากโคมข้างเตียงให้แสงอบอุ่นพอดีเสียงประตูไม้เปิดออก วารีในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาช้า ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาฉายแววอ่อนโยนกว่าทุกคืน“ยังไม่นอนเหรอคะ” คนที่เดินเข้ามาเอ่ยถามแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน“พรุ่งนี้ก็จะแต่งงานแล้ว ใครจะหลับลงกันล่ะ” มุกดาหันมายิ้มตาหยีวารีคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย เตรียมเอาของที่สองมือซ่อนไว้ด้านหลังออกมา“พี่มีอะไรจะให้ค่ะ”“หืม?” ม
นับตั้งแต่คุยเรื่องแต่งงาน และได้ข้อสรุปว่า ฤกษ์แต่งงานจะมีขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า ทางด้านมุกดาก็หันมาดูแลตัวเองมากกว่าเดิม เพราะอยากให้ภาพวันนั้นออกมาสวยงามที่สุด จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่ควรทำ เพื่อให้ออร่าเจ้าสาวเปล่งประกาย แต่ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนไม่ชอบเอาซะเลยที่แฟนตัวเองหันมาดูแลตัวเองจนสวยวันสวยคืนมากขึ้น พักหลังมานี้วารีจึงตามติดมุกดามากกว่าเดิม ถ้าเมื่อก่อนแทบจะสิง ตอนนี้คงต้องเรียกว่า แทบจะกลืนกิน ถึงขนาดที่ว่า คนงานในฟาร์มยังไม่กล้ามองมุกดาตรง ๆ เพราะมักจะเจอกับสายตาดุ ๆ ของวารีอยู่เสมอ ส่วนมุกดานั้นไม่ได้ถือสาอะไรกับท่าทีของแฟนตัวเอง เธอมองว่าวารีเหมือนโกลเด้นตัวโตที่อยากให้เจ้าของสนใจก็เท่านั้นวันนี้แดดในช่วงบ่ายคล้อยกำลังอ่อนแรง เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังแผ่วเบาเหมือนเพลงกล่อม วารีเดินออกจากห้องประชุมในศูนย์การเรียนรู้ของฟาร์ม ด้วยสีหน้าตึงเครียดหลังการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากกรมทรัพยากรฯ เสร็จ เธอถอดเสื้อคลุมพาดไหล่ออก เหลือเพียงเสื้อยืดสีขาวตัวเรียบที่เปียกชื้นจากเหงื่อเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าจากการทำงานเริ่มแผ่ซึมผ่านท่าทางทุกอณูแต่ทันทีที่