"พี่คะ ฉันเอาอาหารมาให้ค่ะ"
"พี่หนิงหลง อาหารสำหรับพี่ค่ะ"
"สามี ฉันเอาอาหารมาให้คุณค่ะ"
แค๊ก! แค๊ก!
เจิ้งซิงอีสำลักน้ำลายตัวเองจนหน้าแดง รีบยกฝ่ามืออ่อนนุ่มขึ้นลูบหน้าลูบอก ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นเพราะความกระดากอาย เมื่อลองเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมา
ตลอดเส้นทางที่เดินมาบ้านเสิ่น เธอเรียบเรียงคำพูดที่จะเอ่ยกับสามีเอาไว้มากมาย แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างไรดี ไม่คิดว่าการพูดประโยคง่ายๆ เพียงหนึ่งประโยคจะยากเย็นถึงเพียงนี้
ด้วยทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสามี เธอไม่เคยที่จะเอ่ยกับเขาก่อนเลยด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าย่อมไม่เคยที่จะเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ด้วยเช่นกัน หากจะพูดด้วยก็มีเพียงแค่คำด่าทอ พูดจาหาเรื่องชวนทะเลาะ
คำพูดของเธอนั้นจะมีเพียงคำถากถาง จิกกัดและคำต่อว่าเท่านั้น ไม่มีคำพูดดีๆ เลยสักครั้ง คิดๆ ดูแล้วเธอจะพูดดีๆ กับเขาก็ในตอนที่ต้องการบางอย่างจากเขาเท่านั้น แต่คำพูดพวกนั้นก็ล้วนแต่เสแสร้งหาความจริงใจไม่เจอ
และท่าทีของเธอที่มีต่อผู้เป็นสามีก็มักจะเป็นการแสดงออกว่ารังเกียจ เมินเฉย และมักจะหลีกเลี่ยงเขาเสียด้วยซ้ำ จู่ๆ มาเดินเข้าไปพูดจาอ่อนหวาน ทั้งยังทำอาหารไปให้ อีกฝ่ายจะไม่นึกระแวงว่าเธอคิดจะวางยาพิษเขาหรอกหรือ
เจิ้งซิงอีถึงกับคิดไม่ตก รู้ตัวอีกทีเธอก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านเสิ่นเสียแล้ว
เอาวะ! คงต้องลองดูกันสักตั้ง
คิดได้เช่นนั้นหญิงสาวก็ก้าวเท้าแผ่วเบาเข้าไปประชิดประตูรั้วที่ปิดไม่สนิท แนบดวงตากลมโตฉ่ำวาวกับช่องประตู มองลอดเข้าไปด้านใน พยายามกวาดสายตามองหาเจ้าของบ้านตัวโตเท่าที่จะทำได้ กระทำตัวราวกับโจรย่องเบา
แต่เธอก็มองเห็นเพียงลานบ้านที่มีต้นหญ้าสูงปกคลุมจนแทบจะมองไม่เห็นทางเดิน และมองเห็นบ้านอิฐหลังเก่าที่ถูกทิ้งร้างตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัด ส่วนคนที่เธอต้องการพบยังไม่เห็นแม้แต่เงา
หญิงสาวจึงตัดสินใจผลักบานประตูไม้ที่มีสีซีดจางไปตามกาลเวลา จากการถูกทิ้งร้างเอาไว้นานหลายปีให้เปิดออกเพียงเล็กน้อย พอให้เธอเดินผ่านเข้าไปด้านในได้ ก่อนจะปิดมันจนแนบสนิท
แม้ประตูจะดูเก่าแต่ความแข็งแรงทนทานของบานประตูนั้นไม่อาจดูเบา เพราะทำมาจากไม้เนื้อดี ส่วนรั้วบ้านเสิ่นนั้นก็เป็นรั้วอิฐที่สูงเกือบสองเมตร สมกับเป็นบ้านที่หลังใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน
เจิ้งซิงอีก้าวเท้าไปตามทางเดินที่ปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าและเศษไม้ระเกะระกะ จนมาหยุดอยู่หน้าบ้านอิฐหลังใหญ่
หญิงสาวเหม่อมองตัวบ้านและรอบๆ บริเวณ มันช่างแตกต่างกันมากกับความทรงจำครั้งสุดท้าย เธอไม่คิดเลยว่าบ้านที่สวยงามและน่าอยู่จะเคยรกร้างเช่นนี้มาก่อน
แต่นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใดเพราะในชาติก่อนหลังจากเธอขับไล่สามีออกจากบ้านเจิ้ง เธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องของเขาอีก และไม่เคยเหยียบเข้ามาบ้านหลังนี้เลยสักครั้ง หากไม่ใช่เพราะผู้อื่นชักนำ เธอก็ไม่เคยคิดที่จะเข้ามาอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ และในตอนที่ย้ายมาอยู่ บ้านหลังนี้ก็ถูกปรับปรุงจนสวยงามและน่าอยู่มากๆ แล้ว
เจิ้งซิงอีมองสำรวจบ้านที่ดูทรุดโทรมและรกร้าง แต่กระนั้นก็ยังดูแข็งแรง มีวัชพืชและต้นหญ้าขึ้นปกคลุมไปตามผนัง ด้านข้างมีต้นไม้ปกคลุมหนาแน่นจนรกทึบและมืดครึ้ม แม้บริเวณด้านหน้าของตัวบ้านจะถูกถากถางออกไปบ้างแล้ว แต่บรรยากาศที่ห่อหุ้มมันไว้ก็ยังให้ความรู้สึกเยือกเย็นและชวนขนลุก
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกเรียกกำลังใจให้กับตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะเดินเข้าไปภายในบ้าน เดินผ่านหน้าต่างที่แตกและกรอบประตูที่ผุพัง ผนังที่เคยทาสีสดใสได้ลอกล่อนและซีดจางลงตามกาลเวลา
อย่างที่บอกว่าบ้านเสิ่นนับได้ว่าเป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน ภายในบ้านมีห้องถึงเจ็ดห้อง ประกอบไปด้วยห้องโถงซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในบ้าน ใช้สำหรับรับแขกและรับประทานอาหาร มีห้องนอนใหญ่สองห้องและห้องนอนเล็กอีกสองห้อง มีห้องครัวที่กว้างขวาง และห้องน้ำห้องอาบน้ำที่แยกเป็นสัดส่วน
แต่สภาพบ้านตอนนี้กลับมืดมัวและเต็มไปด้วยฝุ่นละออง แสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างที่แตกทำให้เห็นเศษซากของเฟอร์นิเจอร์ที่พังทลายและผนังที่ลอกล่อน ฝุ่นหนาเกาะอยู่บนทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้มองเห็นได้ยากว่าครั้งหนึ่งบ้านหลังนี้เคยสวยงามเพียงใด
อากาศภายในบ้านอับชื้นและมีกลิ่น กลิ่นของความชื้นและความเน่าเปื่อยทำให้หายใจลำบากราวกับว่าอากาศภายในบ้านนั้นหนาแน่นจนแทบจะจับต้องได้ หยากไย่เกาะอยู่ตามมุมห้องและบนเฟอร์นิเจอร์ที่พังทลาย ความเงียบปกคลุมไปทั่วบ้าน เสียงเพียงอย่างเดียวที่ได้ยินคือเสียงลมที่พัดผ่านหน้าต่างที่แตก สร้างบรรยากาศที่น่าขนลุก
เมื่อได้มาเห็นสภาพเช่นนี้ เธอยิ่งรู้สึกละอายใจและเกลียดตัวเอง เพราะมันทำให้ได้รู้ว่าความสะดวกสบายและความสวยงามที่เธอเห็นในตอนนั้น ผู้เป็นสามีทุ่มเทขนาดไหนเพื่อปรับปรุงบ้านหลังนี้ ทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่ทำเพื่อเธอ เพราะอยากให้เธอได้อยู่อย่างสุขสบายและมีความสุข ทั้งที่ความทรงจำในวัยเด็กของเขาเกี่ยวกับบ้านหลังนี้นั้นเลวร้ายและไม่น่าจดจำเอาเสียเลย
เจิ้งซิงอีคิดถึงเรื่องราวที่ได้รู้เมื่อครั้งเป็นวิญญาณแล้วรู้สึกเศร้าโศก และรู้สึกสงสารสามีจับใจ
สาเหตุที่เสิ่นหนิงหลงเกลียดบ้านหลังนี้ เกลียดชังบิดาตัวเองและซูหลันมารดาของหวังลู่เสียน นั่นก็เพราะบิดาของเขาคบชู้กับซูหลันซึ่งในขณะนั้นอีกฝ่ายเองก็มีสามีมีลูกอยู่แล้ว แต่ก็ยังลักลอบมีความสัมพันธ์กันในบ้านหลังนี้ มารดาของเขาที่ร่างกายอ่อนแอมาพบเข้าจึงได้จากไปเพราะความเสียใจ
เขาต้องจมอยู่กับความทรงจำเลวร้ายในบ้านที่มารดาของเขารักมากที่สุด บ้านที่มีความทรงอันสวยงามกับมารดา และความทรงจำอันเจ็บปวดและขมขื่นกับสิ่งที่บิดากระทำ
บาดแผลนั้นทิ้งรอยแผลเป็นฝังลึกเอาไว้ ภายหลังเธอกลับกรีดซ้ำลงบนรอยแผลเป็นนั้นจนเหวอะหวะยากจะรักษา สร้างความทรงจำที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่าเดิม โดยการเล่นชู้กับหวังลู่เสียนภายในบ้าน ตอกย้ำทำร้ายเขาให้ยิ่งตายทั้งเป็น
หญิงสาวกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ปาดน้ำตาแห่งความรู้สึกผิดออกจากแก้มนวล
ชีวิตใหม่นี้มันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว ครั้งนี้เธอจะอยู่กับเขาด้วยความเต็มใจ เธอจะอยู่กับเขาที่บ้านหลังนี้ และจะเป็นผู้ลบภาพความทรงจำที่น่ารังเกียจเหล่านั้นให้กับเขาเอง จะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเขา เป็นภรรยาที่ดีที่สุดให้เขา
"มาทำอะไรที่นี่"
แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบใบหน้ายิ้มแย้มของคู่สามีภรรยาที่กำลังประคับประคองกันเดินเข้ามาในตลาดยามเช้า พวกเขาทั้งสองยืนมองตลาดสดที่คึกคักไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อข้าวของกันอย่างคับคั่ง บรรดาพ่อค้าแม่ค้าขายของกันมือเป็นระวิง เสียงหัวเราะและการพูดคุยเจื้อยแจ้วของผู้คนดังก้องไปทั่วบริเวณ เรือนร่างที่ดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลขึ้นของเจิ้งซิงอีเดินตามการประคองของสามี หญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แต่ใบหน้างามกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ เจิ้งซิงอีมองไปรอบๆ ตลาดแห่งนี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ นี่คือตลาด 'สร้างสุข' ตลาดสดที่สร้างขึ้นด้วยมือและน้ำพักน้ำแรงของทุกคน ตอนนี้มันกำลังเติบโตขึ้นมาอย่างมั่นคงตลาดแห่งนี้เปิดให้บริการมาได้กว่าสามเดือนแล้ว และเป็นสามเดือนที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับทุกคนจนน่าตกใจ เจิ้งซิงอีลูบหน้าท้องของตัวเองที่นูนเด่นออกมาด้วยความรักใคร่ วันนี้เธอจะพาเจ้าก้อนแป้งมาเดินชมตลาดของครอบครัว ดวงหน้างามระบายไปด้วยรอยยิ้ม ตลาดแห่งนี้เติบโตมาพร้อมๆ กับบุตรในท้องของเธอที่ตอนนี้กำลังย่างเข้าเดือนที่สี่แล้ว และนี่นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเห็นตลาดแห่งนี้ด้ว
เจิ้งซิงอีลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ทันทีที่รู้สึกตัวฝ่ามือบางรีบวางทาบลงบนหน้าท้องแบนราบของตนในทันที แต่เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อตอนนี้เธอไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บปวดตามร่างกายจากการหกล้มหรืออาการเจ็บหน่วงบริเวณท้องน้อย ราวกับว่าก่อนหน้านี้เธอไม่เคยได้รับความเจ็บปวดใดๆ มาก่อนหญิงสาวกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ เมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติ พลันรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งกายเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า เธอมองเห็นเพียงหมอกหนาทึบโอบล้อมอยู่รอบๆ เพียงเท่านั้น ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นอย่างพยายามระงับความหวาดกลัวที่กัดกินใจ เอ่ยเรียกสามีน้ำเสียงสั่น เธอหวังอย่างยิ่งว่าจะได้ยินเสียงของเขาตอบกลับมา"พี่หนิงหลง สามีคะ พี่อยู่ไหน"แต่เหมือนว่าเธอต้องพบกับความผิดหวัง เพราะทันทีที่เปล่งเสียงออกไป เธอกลับได้ยินเพียงเสียงสะท้อนของตัวเองตอบกลับมาเท่านั้นเจิ้งซิงอีชันกายลุกขึ้นยืน พยายามมองฝ่าหมอกหนาด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เหตุใดถึงได้มาอยู่ในสถานที่นี้ได้ หรือเธอจะตายไปแล้วและกลายมาเป็นวิญญาณอีกครั้งดวงตาหวาดหวั่นหันมองความว่างเปล่ารอบกาย ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่
เจิ้งซิงอีเนื้อตัวสั่นเทา เอ่ยอ้อนวอนคนตรงหน้าที่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองแดงก่ำเต็มไปด้วยโทสะ เธออยากจะขยับหนีแต่ไม่อาจทำได้ เพราะรู้สึกเจ็บร้าวไปหมดทั้งตัว และบริเวณข้อเท้าก็รู้สึกเจ็บแปลบ คงทำได้แค่ถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่านั้น ภาวนาให้คนเป็นสามีรู้ว่าเธอหายตัวไปโดยเร็วหวังลู่เสียนในตอนนี้ดูน่ากลัวมาก เขาคล้ายกับคนเสียสติ เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปทำอะไรมาถึงได้มีสภาพเช่นนี้ หยาดเลือดที่ไหลซึมจากบาดแผล ทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่มกลายเป็นสีแดงฉาน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนเธอรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียน"ซิงอีทำไมพูดแบบนั้น ไม่รักกันแล้วหรือ ทำไมละ เธออยากจะอยู่กับพี่มาตลอดไม่ใช่หรอกหรือ"ดวงตาของหวังลู่เสียนไหววูบกับคำอ้อนวอนนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มเอ่ยถามเสียงเย็น ท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่นและความเกลียดชังในแววตาของหญิงสาวทำให้ภายในใจรู้สึกไม่พอใจและไม่ยินยอมทำไมล่ะ เธอรักเขา อยากอยู่กับเขามาตลอดนี่ ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนใจ ทำไมเธอถึงจะทิ้งเขาไปล่ะ ชีวิตของเขาในตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว คำถามมากมายเกิดขึ้นภายในใจของหวังลู่เสียน ภาพของเด็กหญิงที่คอยอยู่ข้างกายเขา คอยปกป้อง คอยปลอบใจเขายามเมื่อทุกข์ใจผุดขึ้นม
ในที่สุดตำรวจก็คลี่คลายปมคดีการตายของเสิ่นจงได้ เขาไม่ได้ป่วยตายอย่างที่คิดจริงๆ แต่ตายเพราะถูกฆาตกรรมตำรวจสืบเสาะจนกระทั่งพบหลักฐานสำคัญที่ชี้ไปยังตัวฆาตกรว่าเป็นซูหลันผู้เป็นภรรยาและหวังลู่เสียนลูกเลี้ยงของเขาเอง และหลักฐานสำคัญคือผลตรวจเนื้อเยื่อในซอกเล็บของผู้ตายที่ส่งมาจากปักกิ่ง ชี้ชัดว่าเป็นของหวังลู่เสียนเมื่อพร้อมด้วยพยานหลักฐาน หยางตงฟง นายตำรวจหนุ่มผู้รับผิดชอบคดีจึงนำกำลังเข้าจับกุมสองแม่ลูกมาดำเนินคดี หลังจากนั้นจึงค่อยส่งข่าวให้เสิ่นหนิงหลงพี่ชายคนสนิทผู้เป็นเจ้าทุกข์รับทราบแต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อไปถึงบ้านเช่าของสองแม่ลูก กลับพบกับกลุ่มชาวบ้านหลายสิบคนภายในบ้าน พวกเขากำลังมุงดูและวิพากษ์วิจารณ์บางอย่างด้วยอาการตื่นตกใจเหล่าชาวบ้านเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต่างพากันหลีกทางให้ แล้วมายืนสังเกตการณ์กันอยู่ห่างๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นหยางตงฟงนำกำลังเข้าไปในบ้านทันที เมื่อเข้าไปตรวจสอบก็พบว่าภายในบ้านนั้นมีร่องรอยการต่อสู้ ข้าวของถูกรื้อค้นกระจุยกระจายจนกระทั่งเดินลึกเข้าไปภายในตัวบ้านนายตำรวจหนุ่มมีสีหน้าตึงเครียดในทันที เมื่อพบกับร่างไร้วิญญาณของซูหลันถูกฆ่าตายด้วยอาวุ
ยิ่งตลาดใกล้จะเปิดให้บริการเจิ้งซิงอีก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ในตอนนี้ทุกคนต่างก็มีงานล้นมือและยุ่งจนหัวหมุน สามีของเธอต้องออกจากบ้านพร้อมกับพี่ใหญ่และพี่รองตั้งแต่เช้าทุกวัน กว่าจะได้กลับบ้านก็มืดค่ำ ส่วนพี่สามแม้จะกลับค่ายทหารไปแล้วแต่ก็นำเงินเก็บที่มีมอบไว้ให้เธอส่วนตัวเธอเองก็มีหน้าที่จัดการงานเกี่ยวกับเอกสาร บัญชีรายจ่ายในการก่อสร้างตลาดทั้งหมด และรายรับในส่วนของค่าเช่าแผงที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้ามาวางมัดจำเอาไว้ แม้ว่าเธอจะทำงานอยู่กับบ้านแต่ก็ยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุนเหมือนกัน และจากหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้เจิ้งซิงอีหลงลืมทุกอย่างและแทบจะไม่มีเวลาให้ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยทางด้านหนึ่งที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจการการงานที่กำลังเติบโต อีกด้านหนึ่งก็กำลังเกิดความโกลาหลขึ้นเช่นเดียวกัน แต่เป็นความโกลาหลที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!ฝ่ามือใหญ่รื้อค้นข้าวของภายในบ้านก่อนจะจับทุ่มลงกับพื้นอย่างแรงจนมันแตกกระจัดกระจาย ใบหน้าดำคล้ำบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น ดวงตาสีดำสนิทฉายแววอันตราย อาวุธปืนในมือกวัดแกว่งไปมาชี้หน้าสองแม่ลูกที่กำลังกอดกันตัวสั่นเทาหวังลู่เสียนไม่คิดเลยว
หวังลู่เสียนกลับบ้านมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เขาอารมณ์ดีอย่างที่สุดที่สามารถกำจัดคนพวกนั้นไปได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่หยวนเดียว ไม่เสียแรงที่เขาต้องเค้นสมองวางแผนการอยู่หลายวัน"ไอ้ชั่วพวกนั้นมันถูกตำรวจจับไปหมดแล้วหรือ ดีจริงๆ"ซูหลันหลังจากที่ได้รู้เรื่องจากปากบุตรชาย ว่าพวกในบ่อนถูกตำรวจจับเข้าซังเตในข้อหาค้ายาเสพติดไปแล้ว ใบหน้าที่มืดครึ้มมาตั้งแต่เช้าหลังจากที่บุตรชายบอกกับนางว่าจะเอาเงินไปใช้หนี้ให้บ่อนก็ปรากฏรอยยิ้มกระจ่างเต็มหน้า นางดีอกดีใจยกใหญ่จนแทบจะจุดพลุฉลอง ซูหลันรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง โชคดีเหลือเกินที่กำจัดอุปสรรคใหญ่ในชีวิตออกไปได้หลายวันมานี้แม้ว่าจะได้เงินประกันมาก้อนโต แต่นางก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ซักคืนเดียว และไม่มีความยินดีเลยสักนิด เพราะความเสียดายเงิน เงินที่ได้มาเกือบทั้งหมดต้องเอาไปจ่ายหนี้ให้กับบ่อน หากจะไม่จ่ายก็ไม่ได้ เพราะยังรักชีวิต ไม่อย่างนั้นก็ถูกคนพวกนั้นตามรังควานไม่เลิกพอเรื่องกลับกลายมาเป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางรู้สึกยินดีได้อย่างไร ช่างโชคดีเหลือเกินที่บุตรชายยังไม่ทันได้เอาเงินให้พวกมันไป พวกมันก็ถูกจับเสียก่อน สมน้ำหน้าคนพวกนั้นจริงๆ ซูหล