เจิ้งซิงอีอ้าปากค้าง มองค้อนอีกฝ่ายตาแทบพลิกก่อนจะคว้าตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเหล่านั้นเข้าปาก
"ทีนี้จะกินได้หรือยัง"
เสิ่นหนิงหลงมองสตรีที่ขึงตามองเขา ใบหน้าสวยงอง้ำอย่างไม่พอใจ แต่ดวงตากลมโตกลับปรากฏประกายแง่งอนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ปฏิกิริยาเหล่านั้นจะทำให้หัวใจคันยุบยิบ กระนั้นความคลางแคลงสงสัยก็ยังคงไม่จางหาย เพราะนี่ไม่ใช่วิสัยปกติของคนเป็นภรรยา หากในยามปกติคาดว่าถ้อยคำแสลงหูคงได้หลุดออกมาจากปากเล็กๆ นั่น และอาหารบนโต๊ะคงได้ถูกเก็บกลับไปตั้งแต่เขาเอ่ยจบประโยคแล้ว
แต่ถึงแม้จะไม่รู้ว่าภรรยามีจุดประสงค์ใดที่มาทำดีด้วย เขาก็ไม่อยากให้เธอต้องรู้สึกขุ่นเคืองและอารมณ์เสียไปมากกว่านี้อีก เพราะอาจจะเป็นเขาเองที่ไม่อาจทนรับได้ไหว วาจาเชือดเฉือนที่ทำให้ต้องระเห็จมาที่นี่ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางยังทำให้ใจเจ็บและจุกไม่หาย หากถูกภรรยาแสดงฤทธิ์เดชใส่อีกรอบเขาคงได้หลั่งน้ำตาเป็นแน่ จึงยอมเดินไปล้างมือแล้วกลับมานั่งลงฝั่งตรงข้ามภรรยาแต่โดยดี แต่ภาพอาหารหน้าตาน่ากินบนโต๊ะทำให้เขาต้องแปลกใจอีกครั้ง
เจิ้งซิงอีขยับตัวอย่างอึดอัดรู้สึกใจแป้วขึ้นมาเมื่อคนตรงหน้าเอาแต่จ้องมองอาหารนิ่งไม่ยอมขยับตะเกียบเสียที ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่ จึงได้แต่ตีหน้าขรึมเอ่ยเร่งเสียงอุบอิบ
"กินสิ แล้วก็กินให้หมดด้วยล่ะ แม่จะได้ไม่เสียน้ำใจที่อุตส่าห์ทำมาให้"
ความดีความชอบครั้งนี้เธอขอยกให้ผู้เป็นแม่ไปก่อนก็แล้วกัน หากจะบอกออกไปว่าตัวเองเป็นคนทำก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะยิ่งสงสัยและไม่ยอมกินอาหารที่เธอทำ
เสิ่นหนิงหลงเหลือบตามองคนที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองกดดันเขา แววตาของภรรยาที่กำลังมองมาบอกเขาว่า เธอรอคอยให้เขากินอาหารบนโต๊ะนั้นมากเพียงใด แม้จะสงสัยกับท่าทีเหล่านั้นแต่ก็ยอมขยับตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก ทันทีที่ได้ลิ้มรสชาติอาหารนั้น ริมฝีปากหยักก็เม้มเข้าหากัน ราวกับกำลังข่มความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
เจิ้งซิงอีที่เฝ้าสังเกตอีกฝ่ายอยู่ตลอด เมื่อเห็นสามียอมกินก็เผลอยิ้มออกมา แต่ก็แทบจะหุบยิ้มไม่ทันเมื่อจู่ๆ คนที่พึ่งจะคีบอาหารเข้าปากก็เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
"คิดจะทำอะไรกันแน่"
"ทำอะไร พี่หมายความว่ายังไง"
เจิ้งซิงอีถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่ภายในใจนั้นกลับสั่นไหว
"ก็ที่พยายามทำดีกับพี่อยู่นี่ไง เธอต้องการอะไรจากพี่กันแน่ อาหารพวกนี้แม่ยายไม่ได้เป็นคนทำแน่"
เสิ่นหนิงหลงกล่าวเสียงหนักแน่น นัยน์ตาคมกริบจ้องมองอีกฝ่ายนิ่ง
เขากินอาหารฝีมือแม่ยายมาตลอด เรียกได้ว่ากินมาตั้งแต่เด็กเลยก็ว่าได้ เหตุใดจะไม่รู้ว่าอาหารพวกนี้แม่ยายไม่ได้เป็นคนทำ ความจริงแค่มองหน้าตาของอาหารเขาก็สามารถรับรู้ได้โดยที่ไม่ต้องกินด้วยซ้ำ และเขาก็ยังรู้ด้วยว่าใครเป็นคนทำ แม้ว่าจะเคยกินอาหารฝีมือภรรยาเพียงแค่ครั้งเดียว และมันก็นานมากแล้วแต่เขาก็จดจำรสมือของเธอได้ไม่เคยลืม
เจิ้งซิงอีจ้องมองคนที่มองมาที่เธอราวกับจะจับผิดกัน และดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าเธอเป็นคนทำอาหารพวกนี้ด้วย เมื่อไม่อาจหาคำแก้ตัวได้จึงเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว
"ฉันแค่รู้สึกผิดและอยากจะขอโทษที่เป็นต้นเหตุทำให้พี่ต้องลาออกจากการเป็นทหารก็เท่านั้น"
"แค่นั้นจริงๆ น่ะหรือ"
เสิ่นหนิงหลงหรี่ตาลงเอ่ยถามภรรยาอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอพูด
"ใช่ แค่นั้น ทำไม หากฉันเป็นคนทำแล้วพี่จะไม่กินหรือไง"
เจิ้งซิงอีเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างท้าทาย
"กินสิ"
ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ ก่อนจะก้มหน้าลงกินอาหารต่ออย่างเงียบๆ
เจิ้งซิงอีเห็นแบบนั้นก็หยิบตะเกียบอีกคู่คีบอาหารเข้าปากบ้าง ก่อนชะงักไปเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่มองมา
"ฉันก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน หิว"
บอกแบบนั้นแล้วก็หลบสายตาอีกฝ่าย ตีมึนก้มหน้าก้มตากินต่อ
ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงเล็กน้อยซ่อนรอยยิ้มจางๆ เอาไว้ภายใต้ท่าทีเคร่งขรึม จนอีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกตเห็น หัวใจของเขาเต้นแรงกับคำพูดและการเปลี่ยนแปลงของภรรยา กระนั้นเขาก็ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกดีใจนั้นเอาไว้ภายใต้เปลือกนอกที่เย็นชาและระแวดระวัง
เขาไม่รู้ว่าความจริงแล้วภรรยาต้องการอะไรกันแน่ สิ่งที่พูดออกมานั้นจริงแค่ไหน มีเหตุผลอะไรที่ทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้ เขาจึงเลือกที่จะซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงของเขาเอาไว้ เพื่อปกป้องตัวเองจากความเจ็บปวดที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
และคงต้องรอดูกันต่อไปว่าภรรยาของเขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หรือไม่ หรือมันเป็นแค่เพียงละครฉากหนึ่งเพื่อหลอกให้เขาตายใจกันแน่
ในใจของเสิ่นหนิงหลงเต็มไปด้วยความขัดแย้งและความสับสน เขารู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างมาตลอด โหยหาความรักและความใส่ใจจากภรรยา อยากใช้ชีวิตคู่กับเธออย่างมีความสุข แต่ในขณะเดียวกันก็หวาดกลัวที่จะเปิดใจให้เธอมากเกินไป เพราะเขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอแสดงออกมานั้นจริงใจหรือไม่ เขาจึงเลือกที่จะสร้างกำแพงขึ้นมาปกป้องหัวใจของตัวเอง
เจิ้งซิงอีเหลือบตามองคนที่ดูหวาดระแวงเธอ และมีท่าทีระมัดระวังตัวอยู่ตลอด แล้วได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมา
ในชีวิตก่อนทำไมถึงไม่ระแวงระมัดระวังตัวเช่นนี้บ้าง เธอเสแสร้งและร้ายกาจถึงเพียงนั้นเหตุใดจึงยังหลงเชื่อและยอมเธอทุกอย่าง แต่พอมาตอนนี้เธอกลับตัวกลับใจอยากเป็นภรรยาที่ดีกลับมาตั้งแง่จับผิดเธอเสียได้
หรือสามีของเธอจะชอบคนเลวกันนะ พูดจาหวานๆ ไม่ชอบ แต่ชอบให้ด่าทอต่อว่า
เฮ้อ! เธอก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันนะ คนเลวจะกลับตัวไม่ได้หรือยังไง
แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบใบหน้ายิ้มแย้มของคู่สามีภรรยาที่กำลังประคับประคองกันเดินเข้ามาในตลาดยามเช้า พวกเขาทั้งสองยืนมองตลาดสดที่คึกคักไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อข้าวของกันอย่างคับคั่ง บรรดาพ่อค้าแม่ค้าขายของกันมือเป็นระวิง เสียงหัวเราะและการพูดคุยเจื้อยแจ้วของผู้คนดังก้องไปทั่วบริเวณ เรือนร่างที่ดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลขึ้นของเจิ้งซิงอีเดินตามการประคองของสามี หญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แต่ใบหน้างามกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ เจิ้งซิงอีมองไปรอบๆ ตลาดแห่งนี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ นี่คือตลาด 'สร้างสุข' ตลาดสดที่สร้างขึ้นด้วยมือและน้ำพักน้ำแรงของทุกคน ตอนนี้มันกำลังเติบโตขึ้นมาอย่างมั่นคงตลาดแห่งนี้เปิดให้บริการมาได้กว่าสามเดือนแล้ว และเป็นสามเดือนที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับทุกคนจนน่าตกใจ เจิ้งซิงอีลูบหน้าท้องของตัวเองที่นูนเด่นออกมาด้วยความรักใคร่ วันนี้เธอจะพาเจ้าก้อนแป้งมาเดินชมตลาดของครอบครัว ดวงหน้างามระบายไปด้วยรอยยิ้ม ตลาดแห่งนี้เติบโตมาพร้อมๆ กับบุตรในท้องของเธอที่ตอนนี้กำลังย่างเข้าเดือนที่สี่แล้ว และนี่นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเห็นตลาดแห่งนี้ด้ว
เจิ้งซิงอีลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ทันทีที่รู้สึกตัวฝ่ามือบางรีบวางทาบลงบนหน้าท้องแบนราบของตนในทันที แต่เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อตอนนี้เธอไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บปวดตามร่างกายจากการหกล้มหรืออาการเจ็บหน่วงบริเวณท้องน้อย ราวกับว่าก่อนหน้านี้เธอไม่เคยได้รับความเจ็บปวดใดๆ มาก่อนหญิงสาวกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ เมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติ พลันรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งกายเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า เธอมองเห็นเพียงหมอกหนาทึบโอบล้อมอยู่รอบๆ เพียงเท่านั้น ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นอย่างพยายามระงับความหวาดกลัวที่กัดกินใจ เอ่ยเรียกสามีน้ำเสียงสั่น เธอหวังอย่างยิ่งว่าจะได้ยินเสียงของเขาตอบกลับมา"พี่หนิงหลง สามีคะ พี่อยู่ไหน"แต่เหมือนว่าเธอต้องพบกับความผิดหวัง เพราะทันทีที่เปล่งเสียงออกไป เธอกลับได้ยินเพียงเสียงสะท้อนของตัวเองตอบกลับมาเท่านั้นเจิ้งซิงอีชันกายลุกขึ้นยืน พยายามมองฝ่าหมอกหนาด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เหตุใดถึงได้มาอยู่ในสถานที่นี้ได้ หรือเธอจะตายไปแล้วและกลายมาเป็นวิญญาณอีกครั้งดวงตาหวาดหวั่นหันมองความว่างเปล่ารอบกาย ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่
เจิ้งซิงอีเนื้อตัวสั่นเทา เอ่ยอ้อนวอนคนตรงหน้าที่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองแดงก่ำเต็มไปด้วยโทสะ เธออยากจะขยับหนีแต่ไม่อาจทำได้ เพราะรู้สึกเจ็บร้าวไปหมดทั้งตัว และบริเวณข้อเท้าก็รู้สึกเจ็บแปลบ คงทำได้แค่ถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่านั้น ภาวนาให้คนเป็นสามีรู้ว่าเธอหายตัวไปโดยเร็วหวังลู่เสียนในตอนนี้ดูน่ากลัวมาก เขาคล้ายกับคนเสียสติ เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปทำอะไรมาถึงได้มีสภาพเช่นนี้ หยาดเลือดที่ไหลซึมจากบาดแผล ทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่มกลายเป็นสีแดงฉาน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนเธอรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียน"ซิงอีทำไมพูดแบบนั้น ไม่รักกันแล้วหรือ ทำไมละ เธออยากจะอยู่กับพี่มาตลอดไม่ใช่หรอกหรือ"ดวงตาของหวังลู่เสียนไหววูบกับคำอ้อนวอนนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มเอ่ยถามเสียงเย็น ท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่นและความเกลียดชังในแววตาของหญิงสาวทำให้ภายในใจรู้สึกไม่พอใจและไม่ยินยอมทำไมล่ะ เธอรักเขา อยากอยู่กับเขามาตลอดนี่ ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนใจ ทำไมเธอถึงจะทิ้งเขาไปล่ะ ชีวิตของเขาในตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว คำถามมากมายเกิดขึ้นภายในใจของหวังลู่เสียน ภาพของเด็กหญิงที่คอยอยู่ข้างกายเขา คอยปกป้อง คอยปลอบใจเขายามเมื่อทุกข์ใจผุดขึ้นม
ในที่สุดตำรวจก็คลี่คลายปมคดีการตายของเสิ่นจงได้ เขาไม่ได้ป่วยตายอย่างที่คิดจริงๆ แต่ตายเพราะถูกฆาตกรรมตำรวจสืบเสาะจนกระทั่งพบหลักฐานสำคัญที่ชี้ไปยังตัวฆาตกรว่าเป็นซูหลันผู้เป็นภรรยาและหวังลู่เสียนลูกเลี้ยงของเขาเอง และหลักฐานสำคัญคือผลตรวจเนื้อเยื่อในซอกเล็บของผู้ตายที่ส่งมาจากปักกิ่ง ชี้ชัดว่าเป็นของหวังลู่เสียนเมื่อพร้อมด้วยพยานหลักฐาน หยางตงฟง นายตำรวจหนุ่มผู้รับผิดชอบคดีจึงนำกำลังเข้าจับกุมสองแม่ลูกมาดำเนินคดี หลังจากนั้นจึงค่อยส่งข่าวให้เสิ่นหนิงหลงพี่ชายคนสนิทผู้เป็นเจ้าทุกข์รับทราบแต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อไปถึงบ้านเช่าของสองแม่ลูก กลับพบกับกลุ่มชาวบ้านหลายสิบคนภายในบ้าน พวกเขากำลังมุงดูและวิพากษ์วิจารณ์บางอย่างด้วยอาการตื่นตกใจเหล่าชาวบ้านเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต่างพากันหลีกทางให้ แล้วมายืนสังเกตการณ์กันอยู่ห่างๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นหยางตงฟงนำกำลังเข้าไปในบ้านทันที เมื่อเข้าไปตรวจสอบก็พบว่าภายในบ้านนั้นมีร่องรอยการต่อสู้ ข้าวของถูกรื้อค้นกระจุยกระจายจนกระทั่งเดินลึกเข้าไปภายในตัวบ้านนายตำรวจหนุ่มมีสีหน้าตึงเครียดในทันที เมื่อพบกับร่างไร้วิญญาณของซูหลันถูกฆ่าตายด้วยอาวุ
ยิ่งตลาดใกล้จะเปิดให้บริการเจิ้งซิงอีก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ในตอนนี้ทุกคนต่างก็มีงานล้นมือและยุ่งจนหัวหมุน สามีของเธอต้องออกจากบ้านพร้อมกับพี่ใหญ่และพี่รองตั้งแต่เช้าทุกวัน กว่าจะได้กลับบ้านก็มืดค่ำ ส่วนพี่สามแม้จะกลับค่ายทหารไปแล้วแต่ก็นำเงินเก็บที่มีมอบไว้ให้เธอส่วนตัวเธอเองก็มีหน้าที่จัดการงานเกี่ยวกับเอกสาร บัญชีรายจ่ายในการก่อสร้างตลาดทั้งหมด และรายรับในส่วนของค่าเช่าแผงที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้ามาวางมัดจำเอาไว้ แม้ว่าเธอจะทำงานอยู่กับบ้านแต่ก็ยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุนเหมือนกัน และจากหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้เจิ้งซิงอีหลงลืมทุกอย่างและแทบจะไม่มีเวลาให้ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยทางด้านหนึ่งที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจการการงานที่กำลังเติบโต อีกด้านหนึ่งก็กำลังเกิดความโกลาหลขึ้นเช่นเดียวกัน แต่เป็นความโกลาหลที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!ฝ่ามือใหญ่รื้อค้นข้าวของภายในบ้านก่อนจะจับทุ่มลงกับพื้นอย่างแรงจนมันแตกกระจัดกระจาย ใบหน้าดำคล้ำบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น ดวงตาสีดำสนิทฉายแววอันตราย อาวุธปืนในมือกวัดแกว่งไปมาชี้หน้าสองแม่ลูกที่กำลังกอดกันตัวสั่นเทาหวังลู่เสียนไม่คิดเลยว
หวังลู่เสียนกลับบ้านมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เขาอารมณ์ดีอย่างที่สุดที่สามารถกำจัดคนพวกนั้นไปได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่หยวนเดียว ไม่เสียแรงที่เขาต้องเค้นสมองวางแผนการอยู่หลายวัน"ไอ้ชั่วพวกนั้นมันถูกตำรวจจับไปหมดแล้วหรือ ดีจริงๆ"ซูหลันหลังจากที่ได้รู้เรื่องจากปากบุตรชาย ว่าพวกในบ่อนถูกตำรวจจับเข้าซังเตในข้อหาค้ายาเสพติดไปแล้ว ใบหน้าที่มืดครึ้มมาตั้งแต่เช้าหลังจากที่บุตรชายบอกกับนางว่าจะเอาเงินไปใช้หนี้ให้บ่อนก็ปรากฏรอยยิ้มกระจ่างเต็มหน้า นางดีอกดีใจยกใหญ่จนแทบจะจุดพลุฉลอง ซูหลันรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง โชคดีเหลือเกินที่กำจัดอุปสรรคใหญ่ในชีวิตออกไปได้หลายวันมานี้แม้ว่าจะได้เงินประกันมาก้อนโต แต่นางก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ซักคืนเดียว และไม่มีความยินดีเลยสักนิด เพราะความเสียดายเงิน เงินที่ได้มาเกือบทั้งหมดต้องเอาไปจ่ายหนี้ให้กับบ่อน หากจะไม่จ่ายก็ไม่ได้ เพราะยังรักชีวิต ไม่อย่างนั้นก็ถูกคนพวกนั้นตามรังควานไม่เลิกพอเรื่องกลับกลายมาเป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางรู้สึกยินดีได้อย่างไร ช่างโชคดีเหลือเกินที่บุตรชายยังไม่ทันได้เอาเงินให้พวกมันไป พวกมันก็ถูกจับเสียก่อน สมน้ำหน้าคนพวกนั้นจริงๆ ซูหล