ตอนที่
[8] บ้านใหม่ หญิงชราสองคนชะงักมือที่กำลังทำบางอย่างลง สายตาทอดมองไปยังต้นเสียงด้วยความสงสัยก่อนจะพบกับสตรีสองคนที่อยู่ในอาภรณ์สีเข้มปกปิดร่างกายมิดชิด และทันทีที่สตรีที่เป็นผู้เอ่ยเสียงเรียกพวกนางในตอนแรกถอดหมวกม่านแพรที่ปิดบังใบหน้าออก ทันใดนั้นหญิงชราทั้งสองก็พบว่าบริเวณนี้คล้ายมีเหล่ามวลบุปผชาติแข่งกันเบิกบานชูช่ออย่างคึกคัก ทั้งที่ที่นี่ไม่มีบุปผาที่ว่าแม้แต่ดอกเดียว ช่างงดงามยิ่ง แม้ว่าช่วงชีวิตจะเคยได้พบเจอกับสตรีงดงามมามากมายหลายคนแต่สตรีตรงหน้าล้วนแตกต่างโดยสิ้นเชิง ทว่าเมื่อคิดได้ว่าสตรีผู้งดงามมาทำอันใดที่เรือนห่างไกลผู้คนเช่นนี้ ความระแวดระวังก็เกิดขึ้นโดยทันที อีกฝ่ายมีจุดประสงค์อันใดกันแน่ จื่อหรานรู้ว่าทั้งสองกำลังคิดสิ่งใดจึงถือวิสาสะก้าวข้ามเขตประตูเรือนเข้าไปเพื่อเข้าไปแนะนำตัวกับทั้งคู่ทันที “ท่านยายทั้งสอง ข้ามีนามว่าจื่อหรานส่วนนี่คือบ่าวของข้านามว่าอ้ายมี่….” เมื่อครู่นางเห็นว่าประตูเรือนของพวกเขาปิดไม่สนิทเท่าใดจึงสามารถมองเห็นได้ว่าในเรือนนี้มีสตรีสองคนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ ทำบางอย่างอยู่และเรือนหลังนี้ช่างตรงความต้องการของนางเหลือเกิน พื้นที่ก็มีพอสมควร แม้ภายนอกและตัวเรือนจะทรุดโทรมมากแล้วก็ตาม แต่หลายอย่างดู ๆ แล้วมันเหมาะกับสิ่งที่นางต้องการทำมากจริง ๆ “ท่านยายกำลังจะปลูกผักหรือเจ้าคะ ให้ข้าช่วยดีหรือไม่” “เจ้าปลูกผักเป็นหรือ” เป็นท่านยายผู้หนึ่งที่ดูมีรัศมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดาเอ่ยถามขึ้น “เป็นเจ้าค่ะ” ทันใดนั้นนางก็พบรอยยิ้มอันสดใสของท่านยายทั้งสอง ราวกับพบแสงสว่างบางอย่าง “เช่นนั้นเจ้าสอนข้าได้หรือไม่ ข้าปลูกอย่างไรก็ไม่ขึ้น” “ได้เจ้าค่ะ แต่อันดับแรกเราต้องเตรียมดินให้เหมาะสมก่อน” คิดแล้วจึงได้หมุนกายออกจากเรือนไปพร้อมกับอ้ายมี่โดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก หญิงชราทั้งสองได้แต่งุนงงสงสัยเหตุใดกล่าวเพียงเท่านั้นแล้วก็รีบออกไปเล่า ทว่าเวลาผ่านไปไม่นาน หญิงชราก็พบว่าสตรีอายุน้อยทั้งสองกลับมาแล้วพร้อมกับในมือถือบางอย่างมาด้วย ซึ่งมันส่งกลิ่นเหม็นไม่น้อย “นั่นเจ้าเอาอันใดมาด้วย” “นี่คือมูลสัตว์หลายอย่างเจ้าค่ะ หากเอามาหมักไว้เพียงเจ็ดวันก็สามารถกลายเป็นปุ๋ยชั้นดีปลูกอะไรก็ขึ้น ทั้งยังงามมากเจ้าค่ะ” “วิเศษถึงเพียงนั้น!! ว่าแต่เจ็ดวันเลยหรือ” ใบหน้าที่ดีใจเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเสียดายอย่างฉับพลัน “เจ้าค่ะ ระหว่างนี้เราก็มากำจัดวัชพืชและเตรียมดินเอาไว้สำหรับปลูกผัก พอใกล้วันปลูกก็ค่อยแช่เมล็ดพันธุ์ผักเอาไว้เพื่อช่วยให้มันงอกดีขึ้นเจ้าค่ะ” หลังจากฟังดูแล้วพบว่ามันมีหลายขั้นตอนเหลือเกิน พวกตนทำกันสองคนจะรอดหรือไม่ หญิงชราคิดแล้วก็มองหน้ากัน พลางสงสัยคุณหนูจากบ้านใดกันทั้งงดงามและมีความรู้ด้านการปลูกพืชถึงเพียงนี้ ด้านจื่อหรานนั้นกล่าวแล้วก็ไม่รอช้ารีบจับอุปกรณ์แล้วพาอ้ายมี่ไปแผ้วถางหญ้าให้สบายตาและพรวนดินให้เป็นกองที่สูงขึ้นเหมาะสำหรับการเพาะปลูกทันที สองหญิงชราเบิกตากว้างขึ้น ไม่คิดว่าจื่อหรานนอกจากพูดอธิบายแล้วจะลงมือทำด้วย อ้ายมี่ที่ไม่เคยทำเช่นนี้ก็ได้แต่ทำอย่างเก้ ๆ กัง ๆ พลางมองวิธีการจากนายสาวไปด้วย ยามที่อยู่เรือนตระกูลฉีแม้จะต้องทำอาหารกินเองแต่ก็ไม่เคยต้องปลูกผักกินเองเช่นนี้ ยามนี้จึงได้หยิบจับไม่ถนัดนัก หากแต่ไม่นานก็เริ่มคุ้นชิน เมื่อกำจัดวัชพืชและเตรียมดินเสร็จ จากนั้นก็เป็นงานที่หลายคนได้แต่เบือนหน้าหนี เพราะเป็นการทำปุ๋ยมูลสัตว์ที่หญิงสาวว่าในตอนแรก หากแต่หญิงสาวโฉมสะคราญกลับมีใบหน้าเรียบเฉยยามที่ต้องใช้อุปกรณ์ในการผสมมูลสัตว์น้ำและเศษใบไม้เข้าด้วยกัน ก่อนจะหาบางอย่างมาคลุมเอาไว้ซึ่งก็เป็นใบไม้ใบหญ้าแถวนั้น หมักเอาไว้เพียงแค่เจ็ดวันปุ๋ยหมักที่ทรงประสิทธิภาพก็สามารถใช้งานได้แล้ว เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยามการเตรียมดินสำหรับการปลูกผักและการทำปุ๋ยหมักก็เสร็จสิ้นโดยฝีมือของสตรีอายุน้อยทั้งสองคน ยามนี้ทั้งสองมีเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผาก หนึ่งในหญิงชราเห็นดังนั้นจึงได้รีบไปเตรียมน้ำชามาให้ทั้งสองดื่มแก้กระหาย “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านยาย” จื่อหรานยิ้มอ่อนโยนแล้วผงกศีรษะขอบคุณหลังจากดื่มชาเสร็จแล้ว จากนั้นจึงได้เอ่ยถามสตรีชราทั้งสอง “ท่านยายหิวหรือยังเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะไปทำอาหารให้กินเจ้าค่ะ” “เจ้าทำอาหารเป็นด้วยหรือ” นอกจากแผ้วถางหญ้าเตรียมดินแล้ว ยังทำอาหารเป็นด้วยหรือ พวกนางชักอยากจะรู้จริง ๆ แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคุณหนูบ้านใด “เช่นนั้นท่านยายรอสักครู่นะเจ้าคะ” ไม่ทันจะได้ถามสิ่งใดหญิงสาวก็เอ่ยขึ้นแล้วรีบเดินเข้าไปในเรือนหลังเล็กทันที หญิงชราทั้งสองจะห้ามเอาไว้ก็ไม่ทันเสียแล้ว มือเรียวขาวเมื่อเปิดประตูเข้าไปด้านในก็แปลกใจเล็กน้อย ด้านนอกแม้จะทรุดโทรมแต่ด้านในนั้นกลับสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ แต่ที่นางสงสัยคือเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ดูเหมือนไม่ใช่สิ่งที่ชาวบ้านธรรมดาจะใช้กัน หากแต่นางเก็บความสงสัยลงไปและเดินไปยังส่วนของห้องครัวตอนพิเศษ[2]พร้อมหน้าพร้อมตา วันเวลาผันผ่านไปนานหลายปีหากแต่แคว้นตี้ยังมีแต่ความสงบสุข ไร้ซึ่งความวุ่นวาย นอกจากนั้นยามนี้ยังกลายเป็นผู้นำในด้านสมุนไพรหายากและล้ำค่าอีก เซี่ยจื่อหรานกลายเป็นที่ปรึกษาพิเศษของสำนักหมอหลวง ไม่ว่าหัวขาวหัวดำต่างเรียกนางว่า ‘ท่านอาจารย์’ แทบทั้งสิ้น แม้ไม่อยากจะรับแต่ก็ต้องรับไว้ ไทเฮากล่าวว่าลับหลังนางพวกเขาก็เรียกขานนางว่าท่านอาจารย์อยู่ดี สู้ทำให้กลายเป็นที่ประจักษ์กันไปเลย ผู้ใดจะคิดว่าสตรีอายุน้อยจะมีความรู้แตกฉานในด้านสมุนไพรเช่นนี้ ทั้งสามารถนำสมุนไพรเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารจานเด็ดได้ด้วยผู้ใดได้กินก็ล้วนแต่ติดใจ หากแต่มีโอกาสได้กินน้อยนัก เพราะชินอ๋องซื่อจื่อหวงภรรยายิ่งกว่าสิ่งใด คงมีแต่ชินอ๋องซื่อจื่อและเชื้อพระวงศ์ที่สนิทกระมังถึงจะได้กินฝีมือของท่านอาจารย์เซี่ย และก็เป็นจริงดังนั้น วันนี้เป็นวันจะเข้าคืนวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนตกลงกันว่าจะมารวมตัวกันและเฉลิมฉลองปีใหม่กันที่เรือนซิ่งฝู ดังนั้นเซี่ยจื่อหรานจึงต้องเตรียมอาหารที่ทุกคนลงความเห็นว่าอร่อยหาที่ใดเทียม อาหารที่ว่าก็คือ ไก่ผัดเซียงเหมา นอกจากนั้นยังมีปลาผัดกันเจียง (ขิง) เนื้อแกะตุ๋นส
ตอนพิเศษ[1]ถูกกลั่นแกล้ง สองขาแข็งแกร่งก้าวไปอย่างมั่นคงไม่มีซวนเซเลยแม้แต่น้อยแม้จะดื่มสุรามงคลเข้าไปเพียงใดก็ตาม ค่ำคืนนี้เขาจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับสตรีในดวงใจแล้วจะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร ทว่ายิ่งเร่งรีบเหตุใดปลายทางก็ยิ่งห่างไกล หรือว่าเขากำลังตื่นเต้นเกินไป จึงรู้สึกว่าทุกอย่างเชื่องช้าไปเสียหมด แต่สุดท้ายก็สามารถพาตนเองไปอยู่ที่หน้าห้องที่ประดับตกแต่งด้วยผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในขณะที่มือหนากำลังจะเอื้อมมือไปเปิดบานประตู จู่ ๆ องครักษ์ก็มารายงานว่าฝ่าบาทมีรับสั่งให้เขาไปทำภารกิจเร่งด่วนในคืนนี้ หากเป็นวันทั่วไปเขาก็คงไปโดยไม่อิดออด แต่คืนนี้เป็นคืนสำคัญของเขา คิดได้อย่างเดียวว่านี่ต้องเป็นการกลั่นแกล้งจากเสด็จลุงเป็นแน่ ไม่สิ อาจจะมีเสด็จย่าเข้าร่วมด้วย “ข้าไม่ไป” ชายหนุ่มปฏิเสธเตรียมจะเปิดประตูเข้าห้องหออีกครั้ง “เอ่อ ฝ่าบาทรับสั่งว่าหากซื่อจื่อไม่ไปจะทำการโยกย้ายพระองค์ไปประจำการที่แดนใต้ตั้งแต่คืนนี้โดยไม่ให้ฮูหยินติดตามไปด้วยขอรับ” “ฮึ่ม นี่มันเกินไปจริง ๆ” ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกัดฟันกรอดแม้จะรู้สึกขัดใจเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องไป มาดูกันว่าเสด็จลุงจะกลั่นแกล้
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็นภาพทุกอย่างตัดกลับไปที่ฉีจื่อหรานยังคงเป็นทารกน้อยครานี้เสิ่นเจียงร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ นั่นสิ นางเป็นแม่แบบใดกัน อุ้มท้องมาตั้งเก้าเดือน กว่าจะคลอดออกมา จื่อหรานในยามเป็นทารกก็น่ารักน่าชังยิ่ง นางทำกับเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นนั้นได้อย่างไร สวรรค์ลงโทษแล้ว เป็นนาง นางเป็นมารดาที่ชั่วช้า เหล่าคนตระกูลฉีเริ่มรู้แล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นผลจากการกระทำที่ตนได้กระทำกับฉีจื่อหรานอย่างโหดร้ายในชาติก่อน ชาตินี้ก็ยังกระทำซ้ำรอบเดิมอีก ไม่แปลกที่จะได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจเช่นนี้ บัดนี้ความรู้สึกโกรธแค้น ความรู้สึกไม่เข้าใจ ไม่ยินยอมได้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดมาจากใจจริง “หรานเออร์พวกเราขอโทษเจ้า โปรดให้อภัยพวกเราด้วย”เหล่าผู้ที่รับหน้าที่คุมตัวตระกูลฉีไปส่งที่แดนเหนือ รีบลงมาจากรถม้าเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ไม่นานพวกเขาก็ต้องถอนหายใจออกมาเพราะยามนี้เบื้องหน้าปรากฏเพียงร่างไร้วิญญาณของพ่อแม่ลูกตระกูลฉีเท่านั้น ใบหน้าของพวกเขายังมีคราบน้ำตาติดอยู่มากมายราวกับคนที่ร้องไห้ด้วยความทรมานจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต โดยเฉพาะคนผู้หนึ่งที
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็น “เหตุใดจึงแต่งงานกันไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ยามนี้ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกำลังเอ่ยถามพระอัยยิกาพร้อมทั้งมีสีหน้าบึ้งตึงด้วยไม่พอใจอย่างยิ่งยวด “ย่าอนุญาตให้คบหากันนั่นก็ที่สุดแล้ว แล้วนี่เพิ่งคบกันได้หนึ่งเดือนจะแต่งงานกันเลยได้อย่างไร เวลาน้อยไป หรานเออร์หลานย่า ย่าไม่ยอมให้คบผู้ใดเพียงแค่ผิวเผินแน่นอน” เซี่ยไทเฮาว่าพลางดึงหลานสาวให้ไปอยู่ด้านหลังตน “แล้วหลานมิใช่หลานของเสด็จย่าเช่นเดียวกันหรือ อีกอย่างหลานหาใช่คนชั่วร้ายอันใด จะให้รอไปถึงเมื่อใดกัน เสด็จย่าอย่าใจร้ายกับหลานเลย” ว่าแล้วพลางส่งสายตาที่น่าสงสารไปให้คนรักที่อยู่ด้านหลังผู้เป็นย่า หวังว่านางจะเห็นใจเขาและช่วยพูดกับเสด็จย่า หากแต่นางกลับมีเพียงรอยยิ้มน้อย ๆ และไม่กล่าวอันใดอีก “ระยะเวลาไม่กำหนด แต่หากซื่อจื่อทำให้ย่าเห็นว่าเจ้าสามารถดูแลหรานเออร์ได้ดี เมื่อนั้นย่าจะอนุญาตเอง” “โธ่ แล้วหากว่ากว่าจะเป็นที่ถูกใจเสด็จย่ามันก็ผ่านไปหลายปีแล้วเล่า” “หลายปีก็หลายปีสิ ซื่อจื่อรอไม่ไหวหรือ เช่นนั้นย่าจะได้ให้หรานเออร์ไปแต่งกับผู้อื่นที่ความอดทนมีมากกว่า” “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!! เฮ้อ เช่นนั้น รอก็ร
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด ใช้เวลากว่าแรมเดือนกว่าที่นางจะสามารถจัดการธุระสำคัญทั้งหมดเสร็จสิ้น หลังจากที่เหตุการณ์อันตรายผ่านพ้นไป ไทเฮาจึงได้ชวนเชื้อพระวงศ์ไปพักผ่อนที่ตำหนักซินหยานอีกครา แม้อากาศจะเริ่มเหน็บหนาวแล้วแต่ยังสามารถเดินทางออกไปได้อยู่ ยามนี้ที่นั่นคงงดงามไม่น้อย “จื่อหราน รอบนี้เราไปปีนเก็บผลไม้กันมาเยอะ ๆ อย่าให้พี่ใหญ่จับได้” ท่านหญิงเสวี่ยเร่อมากระซิบข้างหูนางด้วยความซุกซนเช่นเคย นั่นสินะ ผลไม้หลายอย่างที่เติบโตในอากาศหนาวคงกำลังออกผลผลิตเต็มต้น หากแต่สิ่งที่นางตื่นเต้นนั้นมิใช่แค่การเก็บผลไม้เหล่านั้นอย่างเดียว หากแต่เป็นสิ่งที่คนผู้นั้นกล่าวว่ามีบางอย่างจะพูดคุยกับนาง “หรานเออร์ พี่มีบางอย่างจะพูดคุยกับเจ้า” เพียงแค่ถึงตำหนัก เขาก็ไม่รอช้าที่ลากนางเข้าไปในป่า ในป่าที่เป็นป่าจริง ๆ หาใช่สวนบุปผาที่สวยงามแต่อย่างใด ลากมาอย่างรวดเร็วและไกลชนิดที่ว่าเสวี่ยเร่อตามไม่ทันกันเลยทีเดียว พร้อมทั้งคำเรียกขานที่เปลี่ยนไปทั้งหมด “เจ้าหนาวหรือไม่” เขาว่าพร้อมถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้นางโดยไม่รอคำตอบ แต่เขาควรจะถามว่าเหนื่อยหรือไม่ก่อนสิ ก็เล่นลากกันมาไกลเช่นนี้ “เจ้า
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด โทษของตระกูลฉีสามารถทำให้ร้ายแรงไปจนถึงขั้นประหารชีวิตเฉกเช่นองค์ชายห้าได้ แต่เพราะนางอยากให้พวกเขาได้ลิ้มรสความสิ้นหวังและการถูกทอดทิ้งว่าเป็นอย่างไร เมื่อไม่สามารถกลับบ้านและกลับมาสู่จุดเดิมที่เคยอยู่ ตกต่ำไร้คนเหลียวแล แบบนั้นคงจะเจ็บแสบกว่าการประหารและลิ้มรสความเจ็บปวดเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ ที่จริงแล้วตระกูลฉีไม่ได้ฉลาดล้ำโดยการไปร่วมมือวางแผนการกับองค์ชายห้าถึงเพียงนั้น แต่เพราะพวกเขาถูกหลอกใช้ ว่าจะมอบยารักษาให้รวมถึงช่วยแก้แค้นหากพวกเขาสามารถเผาที่เก็บยาสมุนไพรของนางได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น เพราะสมุนไพรทั้งหมดนางเก็บเอาไว้ที่เรือนที่ถูกสร้างขึ้นใกล้กันกับเรือนซิ่งฝู แต่เมื่อลงมือทำแล้วก็ต้องรับผลของการกระทำ ชีวิตหลังจากนี้ของพวกเขาจะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่โชคชะตากำหนดก็แล้วกัน ด้านองค์ชายห้าผู้ที่เป็นต้นเหตุและต้นตอของความวุ่นวายในเมืองหลวงที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายวัน และเป็นคลื่นใต้น้ำในราชสำนักมาหลายปีก็ถูกจับกุมตัวและถูกสั่งโทษประหารเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวเริ่มต้นที่องค์ชายห้าผู้ที่มักวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แท้จริงกลั