ตอนที่
[5] หน้าหนาดูสักครา “ไม่ได้!!” ครานี้เป็นเหล่าพี่สาวที่ยังไม่ออกเรือนทั้งหลายเอ่ยขึ้นพร้อมกัน หากให้ฉีจื่อหรานได้ของสวยงามเหล่านี้นั่นจะไม่เป็นการยิ่งส่งเสริมให้งามยิ่งขึ้นไปอีกหรือ “นี่พวกท่านหวงของกับข้าถึงเพียงนี้ พวกท่านดูเถิด อาภรณ์ของข้าก็ล้วนแต่เป็นของเก่าของพวกท่านที่เบื่อแล้ว ไม่ก็ใส่ไม่ได้ ไหนเลยจะเคยได้ของใหม่เฉกเช่นของบนโต๊ะนั่น…” กล่าวแล้วก็แสดงสีหน้าเศร้าสร้อยเหลือคณนา หากแต่ได้รับสายตาดูแคลนกลับมา “พี่ใหญ่ ของเหล่านั้นท่านเอามาหรือเจ้าคะ แบ่งให้ข้าบ้างได้หรือไม่” ยามนี้สายตาที่ราวกับกวางน้อยของฉีจื่อหรานกำลังมีน้ำตาคลอดูแล้วน่าสงสารยิ่ง ดวงตานั้นกำลังส่งสายตาอ้อนวอนไปยังพี่สาวคนโต ด้านฉีเยว่สือกลับใช้สายตาลึกล้ำมองกลับไปยังน้องสาว ฉีจื่อหรานที่นางรู้จักไหนเลยจะกล้าหน้าหนามาขอข้าวของผู้อื่นเช่นนี้ วัน ๆ เอาแต่อยู่ที่เรือนไม่ออกมาพบปะผู้ใด คนผู้หนึ่งเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ เปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใด สุดท้ายเป็นฉีฮูหยินที่ทนไม่ไหว จึงได้เอ่ยขึ้นว่าจะมอบอาภรณ์และเครื่องประดับให้ฉีจื่อหรานเอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บุตรสาวคนอื่นมองไปที่มารดาด้วยความไม่พอใจ ฉีฮูหยินจึงได้สบตาเหล่าบุตรสาวว่าให้วางใจ ฉีจื่อหรานไม่มีทางได้ของดีอันใดไปอย่างแน่นอน และก็เป็นจริง อาภรณ์ที่เสิ่นเจียงมอบให้ฉีจื่อหรานก็ล้วนแต่เป็นอาภรณ์เก่าเก็บของทั้งตนและบุตรสาวคนอื่น ๆ รวมถึงเครื่องประดับก็เช่นกัน แต่ที่นางไม่คาดคิดก็คือ นอกจากฉีจื่อหรานจะไม่มีท่าทางไม่พอใจอันใด บุตรสาวผู้นั้นยังกวาดเอาอาภรณ์และเครื่องประดับไปทั้งหีบ เดิมจากที่จะมอบให้เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น แม้จะไม่ใช่ของดีของใหม่ แต่หากเทียบกับคนภายนอกที่ไม่ใช่ตระกูลขุนนางของเหล่านี้ล้วนถือว่าดีมาก และนี่ก็เป็นสิ่งที่ฉีจื่อหรานคิดเช่นกัน แม้ไม่ใช่ของดีมาก แต่หากรวมกันหลายชิ้นก็สามารถทำเงินได้มากโข การที่จะออกไปใช้ชีวิตเงินนั้นสำคัญหนักหนา มีโอกาสเก็บเกี่ยวเท่าใดนางก็ควรทำให้มากที่สุด ยามได้มาก็รีบให้อ้ายมี่แอบออกจากจวนเอาไปขายและฝากตั๋วเงินที่ร้านเอาไว้ และนี่ไม่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่คนตระกูลฉีพานพบเพียงแค่ครั้งเดียว เพราะก่อนจะถึงวันจัดงานเลี้ยงปรากฏว่า นางสามารถไปรีดไถมารดาและเหล่าพี่สาวเหล่านั้นได้เงินมาพอสมควร นอกจากนั้นนางยังสร้างแรงกระเพื่อมให้กับคนตระกูลฉีอีกเล็กน้อย ในยามที่ทุกคนกำลังกินข้าวเย็นและพูดคุยถึงเรื่องงานเลี้ยงที่จะมาถึงในช่วงเย็นของวันพรุ่งนี้อย่างคึกคัก ฉับพลันใบหน้างดงามก็ปรากฏขึ้น พร้อมกับเสียงคึกคักที่เริ่มเงียบลง “เจ้ามาทำอันใดอีก!” เสียงของฉีหวังเอ่ยขึ้น สีหน้านั้นดูน่ากลัวไม่น้อย หากแต่ฉีจื่อหรานกลับไม่สะทกสะท้านอันใด ใบหน้างดงามกลับแย้มยิ้มและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “ข้าได้ยินว่าพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงที่เมืองหลวง และครอบครัวของเราก็ได้รับเชิญให้ไปงานนี้ด้วย ข้าขอไปด้วยนะเจ้าคะ ข้าไม่เคยไปวังหลวงเลย” ยิ่งกล่าวน้ำเสียงยิ่งแสดงถึงความตื่นเต้น หากแต่… “ไม่ได้!! วังหลวงหาใช่ที่ที่คนเช่นเจ้าจะไปได้” เสียงตวาดของบิดาดังกึกก้อง “คนเช่นข้าทำไมหรือเจ้าคะท่านพ่อ” คนตาแป๋วเอ่ยอย่างไม่รู้สึกรู้สา ฉีหวังอยากจะกล่าวออกมาเหลือเกินว่า ‘ตัวซวย!!” ในด้านพี่น้องคนอื่น ๆ เมื่อได้ยินว่าฉีจื่อหรานอยากจะไปงานเลี้ยงด้วย ก็เกิดความกังวลขึ้นในจิตใจพลางลอบสบตากันและหันไปสบตามารดา ก่อนที่ทั้งหมดจะสาดความไม่พอใจไปที่สตรีเพียงคนเดียว ซึ่งพวกนางลืมไปแล้วกระมังว่านี่ก็คือสมาชิกผู้หนึ่งในครอบครัว ฉีจื่อหรานรับรู้ได้ถึงสายตาของทุกคนก่อนจะยกมุมปากขึ้น เริ่มแล้วสินะ ไม่สิ จะสานต่อแล้วสินะ “เอาเถอะเจ้าค่ะ ข้าสัญญาว่าจะทำตัวดี ๆ อย่างไรข้าขอกลับไปเตรียมตัวที่เรือนก่อนนะเจ้าคะ” ไม่รอให้ทุกคนกล่าวสิ่งใดร่างบางก็รีบหมุนกายเพื่อกลับไปที่เรือนของตนทันที และก็เป็นไปตามคาดไม่นานพวกเขาส่งคนมาเฝ้าที่เรือนของนางไว้ คงกลัวว่าพรุ่งนี้นางจะไปงานด้วยสินะ แต่จะเฝ้าก็เฝ้าไปเถิด อย่างไรพรุ่งนี้นางก็จะออกจากเรือนนี้อยู่ดี อ้อ แล้วอีกอย่าง ยามนี้อ้ายมี่ก็ไม่อยู่ในเรือนด้วย หากแต่พวกเขาไม่ได้สงสัยสักนิด เพราะพวกเขาไม่ได้ใส่ใจนางถึงเพียงนั้น และแล้ววันที่นางรอคอยก็มาถึง…. วันที่หลายตระกูลรวมถึงตระกูลฉีเตรียมตัวที่จะไปร่วมงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ในวังหลวง เช้านี้ดูเหมือนว่าคนคุ้มกันหน้าเรือนนางจะมีมากกว่าเมื่อคืนเสียอีก หึ หวาดกลัวแม้กระทั่งสตรีตัวเล็ก ๆ ที่เป็นบุตรสาวและน้องสาวของตนเอง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำราวกับขังนางไว้ นางก็หาทางออกไปสืบเสาะเรื่องราวในจวนนี้ได้อยู่ดี และเช้านี้นางก็ได้ข่าวคราวการมาถึงของใครบางคนแล้ว ถงเจี้ยน! บุรุษชั่วช้าสามานย์ผู้นั้น!!ตอนพิเศษ[2]พร้อมหน้าพร้อมตา วันเวลาผันผ่านไปนานหลายปีหากแต่แคว้นตี้ยังมีแต่ความสงบสุข ไร้ซึ่งความวุ่นวาย นอกจากนั้นยามนี้ยังกลายเป็นผู้นำในด้านสมุนไพรหายากและล้ำค่าอีก เซี่ยจื่อหรานกลายเป็นที่ปรึกษาพิเศษของสำนักหมอหลวง ไม่ว่าหัวขาวหัวดำต่างเรียกนางว่า ‘ท่านอาจารย์’ แทบทั้งสิ้น แม้ไม่อยากจะรับแต่ก็ต้องรับไว้ ไทเฮากล่าวว่าลับหลังนางพวกเขาก็เรียกขานนางว่าท่านอาจารย์อยู่ดี สู้ทำให้กลายเป็นที่ประจักษ์กันไปเลย ผู้ใดจะคิดว่าสตรีอายุน้อยจะมีความรู้แตกฉานในด้านสมุนไพรเช่นนี้ ทั้งสามารถนำสมุนไพรเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารจานเด็ดได้ด้วยผู้ใดได้กินก็ล้วนแต่ติดใจ หากแต่มีโอกาสได้กินน้อยนัก เพราะชินอ๋องซื่อจื่อหวงภรรยายิ่งกว่าสิ่งใด คงมีแต่ชินอ๋องซื่อจื่อและเชื้อพระวงศ์ที่สนิทกระมังถึงจะได้กินฝีมือของท่านอาจารย์เซี่ย และก็เป็นจริงดังนั้น วันนี้เป็นวันจะเข้าคืนวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนตกลงกันว่าจะมารวมตัวกันและเฉลิมฉลองปีใหม่กันที่เรือนซิ่งฝู ดังนั้นเซี่ยจื่อหรานจึงต้องเตรียมอาหารที่ทุกคนลงความเห็นว่าอร่อยหาที่ใดเทียม อาหารที่ว่าก็คือ ไก่ผัดเซียงเหมา นอกจากนั้นยังมีปลาผัดกันเจียง (ขิง) เนื้อแกะตุ๋นส
ตอนพิเศษ[1]ถูกกลั่นแกล้ง สองขาแข็งแกร่งก้าวไปอย่างมั่นคงไม่มีซวนเซเลยแม้แต่น้อยแม้จะดื่มสุรามงคลเข้าไปเพียงใดก็ตาม ค่ำคืนนี้เขาจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับสตรีในดวงใจแล้วจะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร ทว่ายิ่งเร่งรีบเหตุใดปลายทางก็ยิ่งห่างไกล หรือว่าเขากำลังตื่นเต้นเกินไป จึงรู้สึกว่าทุกอย่างเชื่องช้าไปเสียหมด แต่สุดท้ายก็สามารถพาตนเองไปอยู่ที่หน้าห้องที่ประดับตกแต่งด้วยผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในขณะที่มือหนากำลังจะเอื้อมมือไปเปิดบานประตู จู่ ๆ องครักษ์ก็มารายงานว่าฝ่าบาทมีรับสั่งให้เขาไปทำภารกิจเร่งด่วนในคืนนี้ หากเป็นวันทั่วไปเขาก็คงไปโดยไม่อิดออด แต่คืนนี้เป็นคืนสำคัญของเขา คิดได้อย่างเดียวว่านี่ต้องเป็นการกลั่นแกล้งจากเสด็จลุงเป็นแน่ ไม่สิ อาจจะมีเสด็จย่าเข้าร่วมด้วย “ข้าไม่ไป” ชายหนุ่มปฏิเสธเตรียมจะเปิดประตูเข้าห้องหออีกครั้ง “เอ่อ ฝ่าบาทรับสั่งว่าหากซื่อจื่อไม่ไปจะทำการโยกย้ายพระองค์ไปประจำการที่แดนใต้ตั้งแต่คืนนี้โดยไม่ให้ฮูหยินติดตามไปด้วยขอรับ” “ฮึ่ม นี่มันเกินไปจริง ๆ” ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกัดฟันกรอดแม้จะรู้สึกขัดใจเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องไป มาดูกันว่าเสด็จลุงจะกลั่นแกล้
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็นภาพทุกอย่างตัดกลับไปที่ฉีจื่อหรานยังคงเป็นทารกน้อยครานี้เสิ่นเจียงร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ นั่นสิ นางเป็นแม่แบบใดกัน อุ้มท้องมาตั้งเก้าเดือน กว่าจะคลอดออกมา จื่อหรานในยามเป็นทารกก็น่ารักน่าชังยิ่ง นางทำกับเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นนั้นได้อย่างไร สวรรค์ลงโทษแล้ว เป็นนาง นางเป็นมารดาที่ชั่วช้า เหล่าคนตระกูลฉีเริ่มรู้แล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นผลจากการกระทำที่ตนได้กระทำกับฉีจื่อหรานอย่างโหดร้ายในชาติก่อน ชาตินี้ก็ยังกระทำซ้ำรอบเดิมอีก ไม่แปลกที่จะได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจเช่นนี้ บัดนี้ความรู้สึกโกรธแค้น ความรู้สึกไม่เข้าใจ ไม่ยินยอมได้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดมาจากใจจริง “หรานเออร์พวกเราขอโทษเจ้า โปรดให้อภัยพวกเราด้วย”เหล่าผู้ที่รับหน้าที่คุมตัวตระกูลฉีไปส่งที่แดนเหนือ รีบลงมาจากรถม้าเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ไม่นานพวกเขาก็ต้องถอนหายใจออกมาเพราะยามนี้เบื้องหน้าปรากฏเพียงร่างไร้วิญญาณของพ่อแม่ลูกตระกูลฉีเท่านั้น ใบหน้าของพวกเขายังมีคราบน้ำตาติดอยู่มากมายราวกับคนที่ร้องไห้ด้วยความทรมานจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต โดยเฉพาะคนผู้หนึ่งที
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็น “เหตุใดจึงแต่งงานกันไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ยามนี้ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกำลังเอ่ยถามพระอัยยิกาพร้อมทั้งมีสีหน้าบึ้งตึงด้วยไม่พอใจอย่างยิ่งยวด “ย่าอนุญาตให้คบหากันนั่นก็ที่สุดแล้ว แล้วนี่เพิ่งคบกันได้หนึ่งเดือนจะแต่งงานกันเลยได้อย่างไร เวลาน้อยไป หรานเออร์หลานย่า ย่าไม่ยอมให้คบผู้ใดเพียงแค่ผิวเผินแน่นอน” เซี่ยไทเฮาว่าพลางดึงหลานสาวให้ไปอยู่ด้านหลังตน “แล้วหลานมิใช่หลานของเสด็จย่าเช่นเดียวกันหรือ อีกอย่างหลานหาใช่คนชั่วร้ายอันใด จะให้รอไปถึงเมื่อใดกัน เสด็จย่าอย่าใจร้ายกับหลานเลย” ว่าแล้วพลางส่งสายตาที่น่าสงสารไปให้คนรักที่อยู่ด้านหลังผู้เป็นย่า หวังว่านางจะเห็นใจเขาและช่วยพูดกับเสด็จย่า หากแต่นางกลับมีเพียงรอยยิ้มน้อย ๆ และไม่กล่าวอันใดอีก “ระยะเวลาไม่กำหนด แต่หากซื่อจื่อทำให้ย่าเห็นว่าเจ้าสามารถดูแลหรานเออร์ได้ดี เมื่อนั้นย่าจะอนุญาตเอง” “โธ่ แล้วหากว่ากว่าจะเป็นที่ถูกใจเสด็จย่ามันก็ผ่านไปหลายปีแล้วเล่า” “หลายปีก็หลายปีสิ ซื่อจื่อรอไม่ไหวหรือ เช่นนั้นย่าจะได้ให้หรานเออร์ไปแต่งกับผู้อื่นที่ความอดทนมีมากกว่า” “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!! เฮ้อ เช่นนั้น รอก็ร
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด ใช้เวลากว่าแรมเดือนกว่าที่นางจะสามารถจัดการธุระสำคัญทั้งหมดเสร็จสิ้น หลังจากที่เหตุการณ์อันตรายผ่านพ้นไป ไทเฮาจึงได้ชวนเชื้อพระวงศ์ไปพักผ่อนที่ตำหนักซินหยานอีกครา แม้อากาศจะเริ่มเหน็บหนาวแล้วแต่ยังสามารถเดินทางออกไปได้อยู่ ยามนี้ที่นั่นคงงดงามไม่น้อย “จื่อหราน รอบนี้เราไปปีนเก็บผลไม้กันมาเยอะ ๆ อย่าให้พี่ใหญ่จับได้” ท่านหญิงเสวี่ยเร่อมากระซิบข้างหูนางด้วยความซุกซนเช่นเคย นั่นสินะ ผลไม้หลายอย่างที่เติบโตในอากาศหนาวคงกำลังออกผลผลิตเต็มต้น หากแต่สิ่งที่นางตื่นเต้นนั้นมิใช่แค่การเก็บผลไม้เหล่านั้นอย่างเดียว หากแต่เป็นสิ่งที่คนผู้นั้นกล่าวว่ามีบางอย่างจะพูดคุยกับนาง “หรานเออร์ พี่มีบางอย่างจะพูดคุยกับเจ้า” เพียงแค่ถึงตำหนัก เขาก็ไม่รอช้าที่ลากนางเข้าไปในป่า ในป่าที่เป็นป่าจริง ๆ หาใช่สวนบุปผาที่สวยงามแต่อย่างใด ลากมาอย่างรวดเร็วและไกลชนิดที่ว่าเสวี่ยเร่อตามไม่ทันกันเลยทีเดียว พร้อมทั้งคำเรียกขานที่เปลี่ยนไปทั้งหมด “เจ้าหนาวหรือไม่” เขาว่าพร้อมถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้นางโดยไม่รอคำตอบ แต่เขาควรจะถามว่าเหนื่อยหรือไม่ก่อนสิ ก็เล่นลากกันมาไกลเช่นนี้ “เจ้า
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด โทษของตระกูลฉีสามารถทำให้ร้ายแรงไปจนถึงขั้นประหารชีวิตเฉกเช่นองค์ชายห้าได้ แต่เพราะนางอยากให้พวกเขาได้ลิ้มรสความสิ้นหวังและการถูกทอดทิ้งว่าเป็นอย่างไร เมื่อไม่สามารถกลับบ้านและกลับมาสู่จุดเดิมที่เคยอยู่ ตกต่ำไร้คนเหลียวแล แบบนั้นคงจะเจ็บแสบกว่าการประหารและลิ้มรสความเจ็บปวดเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ ที่จริงแล้วตระกูลฉีไม่ได้ฉลาดล้ำโดยการไปร่วมมือวางแผนการกับองค์ชายห้าถึงเพียงนั้น แต่เพราะพวกเขาถูกหลอกใช้ ว่าจะมอบยารักษาให้รวมถึงช่วยแก้แค้นหากพวกเขาสามารถเผาที่เก็บยาสมุนไพรของนางได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น เพราะสมุนไพรทั้งหมดนางเก็บเอาไว้ที่เรือนที่ถูกสร้างขึ้นใกล้กันกับเรือนซิ่งฝู แต่เมื่อลงมือทำแล้วก็ต้องรับผลของการกระทำ ชีวิตหลังจากนี้ของพวกเขาจะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่โชคชะตากำหนดก็แล้วกัน ด้านองค์ชายห้าผู้ที่เป็นต้นเหตุและต้นตอของความวุ่นวายในเมืองหลวงที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายวัน และเป็นคลื่นใต้น้ำในราชสำนักมาหลายปีก็ถูกจับกุมตัวและถูกสั่งโทษประหารเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวเริ่มต้นที่องค์ชายห้าผู้ที่มักวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แท้จริงกลั