Masukออด...แอด...ออด...แอด...!
เสียงรถม้าเก่า ๆ ที่ล้อไม้เริ่มผุพังกับเสียงกุบกับของการย่ำเท้าจากม้าเทียมที่อายุนับว่าไม่น้อยแล้วดังระคนปนเปไปกับเสียงจอแจของผู้คนเมื่อรถม้าเริ่มผ่านตลาดใหญ่ในตัวเมืองฉางเหอแคว้นเยว่หาน ซึ่งเป็นแคว้นที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ เป็นรองเพียงแคว้นเซี่ยงหยวน
เมืองฉางเหอเป็นเมืองใต้อาณัติของหานอ๋องอนุชาสุดที่รักของฮ่องเต้ในรัชศกปัจจุบันของแคว้นเยว่หาน แต่ไม่มีใครเคยยลโฉมพักตร์ชัด ๆ สักครั้ง เพราะไม่ว่าจะพบปะผู้คน หรือว่าจะออกว่าราชการพร้อมฮ่องเต้ทุกคนจะได้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าและดวงตาเท่านั้นจากหน้ากากเงินรูปพยัคฆ์ที่ปิดบังเอาไว้ แต่กระนั้นเขาก็ยังเป็นที่ใฝ่ฝันหาของเหล่าสตรีในเมืองหลวงแคว้นเยว่หาน
แต่ทว่านานทีปีหนเขาจะได้กลับไปเมืองหลวงสักครั้ง ดังนั้นจึงไม่มีใครเคยได้รับรู้ใบหน้าแท้จริงของหานอ๋องสักคนเว้นเพียงคนที่สนิทเท่านั้นซึ่งดูเหมือนจะมีเพียงสองคนในแคว้น คือโอรสสวรรค์กับองครักษ์ข้างกายนามว่าหลี่เฟิง
เสียงรถม้าเก่า ๆ นี้ภายในมีสตรีนั่งอยู่ด้านในพร้อมสาวใช้นามว่าซูซินวัยสิบหกหนาวกับ น้องชายนามว่าซูหมิงวัยห้าหนาว กับคนขับรถม้าที่นั่งบังคับม้ามีใบหน้าละม้ายคล้ายกันเนื่องจากเป็นบ่าวที่เกิดในเรือนตระกูลจาง
นอกจากเสียงรถม้าเก่า ๆ ที่ดังระคายหูแล้วยังมีเสียงร้องจ๊อก ๆ ของท้องจากความหิวโหยของทุกคนดังอยู่ด้วย ไม่เว้นแม้แต่จางม่านอวี้ก็เช่นกัน
ในรถม้าแม้จะเก่าเพียงใดแต่ยังคงมีกลิ่นสะอาดของเบาะที่บุด้วยผ้ายัดด้วยฝ้ายบาง ๆ ที่บ่าวรับใช้ของตระกูลจางต่างขยันทำความสะอาดเอาออกมาซักและตากแดดทุกวันทำให้นางรู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายกับว่าในโชคร้ายก็ยังมีโชคดีเหลืออยู่ ทำให้นางสงบใจได้
แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ม่านอวี้เอนหลังพิงกับเบาะรองพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าโบกพัดเบา ๆ อย่างเชื่องช้าเนื่องด้วยไอร้อนในเดือนแปด ที่ส่งบรรยากาศในรถม้าช่างร้อนอบอ้าวเสียเหลือเกิน ไม่ได้ต่างอะไรกับการนั่งอยู่ในเตาเผาเหล็กร้อน ๆ ของโรงตีเหล็กสักนิด
แม้หน้าร้อนของเมืองฉางเหออากาศช่างโหดร้าย แต่สิ่งที่ร้อนยิ่งกว่านั้นคือไฟหนี้ที่กำลังเผาผลาญตระกูลจาง
นางหลับตาลงพยายามจะลืมความจริงที่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่นางกำลังสวมใส่อยู่นี้ เป็นชุดสุดท้ายที่ยังดูดีพอจะใส่ไปพบปะผู้คน ไม่ใช่เพราะนางยากจนอย่างเดียวนะ แต่เสื้อผ้าดี ๆ ส่วนใหญ่ถูกขนไปขายจนเกลี้ยงเรือนหมดแล้วเพราะอะไรน่ะเหรอ...ฮึ!
เดี๋ยวจะเท้าความในชีวิตบัดซบนี้ให้ฟังก็แล้วกัน
อันที่จริงจางม่านอวี้คือสตรีจากอีกโลกที่เทคโนโลยีนำหน้าจนมีเจ้าสิ่งที่เรียกว่าเอไอสามารถสร้างสรรค์สิ่ง ต่าง ๆ ได้มากมาย ไม่เว้นแม้แต่ตัวละครในนิยายจนเกิดระบบโลกเสมือน StoryWeaver ขึ้นมา
และใช่ม่านอวี้ผู้เป็นสาวน้อยวัยสิบเจ็ดในยุคปัจจุบันเป็นวัยรุ่นเจนซีผู้มีฝันหรือจะไม่ชื่นชอบโปรแกรมนี้ และแน่นอนว่าเธอได้สร้างตัวละครที่มีชื่อแซ่เดียวกับตัวเองคือจางม่านอวี้ขึ้น เพื่อให้เป็นนางเอกผู้สมบูรณ์แบบในโลกเสมือนแห่งนี้หวังเติมฝันให้เป็นจริง ครั้นเมื่อจะกดตกลงระบบเฮงซวยนำพาเธอเข้ามาในโลกเสมือนนี้และใช้ชีวิตแทนตัวละครที่สร้างขึ้นมา
แน่นอนว่าคำสั่งทั้งหมดติดบั๊ก! จากชีวิตนางเอกผู้สมบูรณ์แบบกลายเป็นตัวประกอบสุดน่าเวทนา
ร่างกายของเธอเป็นเหมือนในสิ่งที่เธอป้อนคำสั่งทุกประการ รูปร่างงดงามดั่งหยกขาวเจียระไนสมชื่อม่านอวี้ ผิวขาวราวหิมะแรก ใบหน้าอ่อนหวานน่ารัก ริมฝีปากจิ้มลิ้มพริ้มเพรา หน้าอกอวบอิ่มเต็มไม้เต็มมือ เอวคอดกิ่วรับกับสะโพกผายผึ่งดั่งนาฬิกาทราย แต่ความสวยดันเป็นอย่างเดียวที่ดีในโลกนี้ของเธอเท่านั้น
ที่เหลือสารเลว!
เพิ่งรู้ว่าความสวยกินไม่ได้ก็ตอนต้องเอาชีวิตรอดให้ได้นี่แหละ แต่เมื่อใจอยากสงบก็สงบได้ไม่สุดยามคิดถึงชะตาชีวิตของตัวเอง
ไอ้บ้าเอ๊ย...มาใช้ชีวิตในโลกนิยายทั้งที แทนที่จะได้สบายนอนบนกองเงินกองทอง แต่งหน้าแต่งตัวเป็นคุณหนูชิล ๆ บนตั่งเตียงรอพระเอกหรือตัวร้ายที่หล่อ ๆ เหลือรับประทานมาฉุด ข้ากลับต้องมาวิ่งดิ้นรนหาเงินไปใช้หนี้หัวหมุน เพื่อไม่ให้เจ้าหนี้มายึดบ้านจนกลายเป็นขอทานข้างถนน!!
ไอ้พ่อตัณหากลับกับนังดอกบัวขาวตัวดีนั่นด้วย...พอกันทั้งคู่เลย!
เพราะชีวิตติดบั๊ก จากครอบครัวนางเอกแสนอบอุ่น เป็นคุณหนูผู้เพียบพร้อมอยู่ในเมืองหลวงนั่งกินนอนกิน รอพระเอกที่มีชาติตระกูลหรือเชื้อพระวงศ์มาสู่ขอกลายร่างเป็นตัวประกอบเฮงซวยลูกสาวพ่อค้าเกลือในเมืองฉางเหอที่มีดีแค่ความสวย แต่สกิลใด ๆ ก็ไม่มีติดตัวสักนิด
บิดานามว่า จางหงเหยียน หลงเมียเด็กที่เคยเป็นลูกบุญธรรมซึ่งบิดาตั้งใจรับมาเป็นพี่สาวของนาง สุดท้ายกลายเป็นแม่เลี้ยงที่อายุห่างจากนางแค่สองปี
ช่างดีเหลือเกินรับนางมาเลี้ยงหนึ่งปีก็เลื่อนฐานะจากลูกบุญธรรมกลายเป็นเมียบุญธรรม!
แต่หากชีวิตจะบัดซบแค่นี้...ก็คงไม่ใช่ตัวประกอบติดบั๊กสินะ สงสัยระบบคงกลัวว่านางจะสบายเกินไป จึงสร้างให้นางเสียมารดาไปหลังจากนังพี่สาวตัวแสบเปิดเผยตัวว่าเป็นเมียอีกคนของบิดา
ท่านแม่คงอยู่ไม่สู้ตายจึงตรอมใจ เพียงข้ามคืนจากผมสีน้ำหมึกก็กลายเป็นสีเงินและหลังจากนั้นหนึ่งเดือนก็ค่อย ๆ หมดลมหายใจทิ้งให้ลูกสาวน่ารัก ๆ อย่างนางต้องเผชิญชะตากรรมลำพัง
หลังจากมารดาตายนางเพิ่งรับรู้ว่าการค้าขายเกลือนั้นเงินทองไม่เคยนำกลับเข้าสู่ตระกูลไม่พอ บิดายังเอาไปปรนเปรอเมียเด็กจนหมด และที่สำคัญนางได้ติดพนันจนเป็นหนี้หัวโตและหนีกลับบ้านเดิมไป
บิดาที่กินไม่ได้นอนไม่หลับรีบหอบสมบัติที่เหลือไม่กี่อย่างตามเมียเด็กที่แสนมารยาอย่าง เม่ยเหลียน ที่ชื่อสวนทางกับนิสัยใจคอจนสิ้น จนอยากไปบีบคอถามคนตั้งชื่อให้นางว่าอะไรเข้าฝัน
เม่ยเหลียน...แม่ดอกบัวหรือ...ดอกทองสิไม่ว่า!
เม่ยเหลียนกับบิดาช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก ห่อหมกใบยอแต่ก็อาจจะยังไม่ใช่นะ
มันต้อง...
ตะกร้อกับรองเท้า ผีเน่ากับโลงผุเท่านั้น!
‘อย่าให้ข้าเจอหน้า...จะกระทืบให้จมดิน’
ผัวะ!
จู่ ๆ รถม้าก็กระแทกเข้ากับหลุมตรงทางเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนทิศไปยังร้านรับแลกเงินตระกูลเฉิน จนตัวม่านอวี้
กระดอนเด้งลอยขึ้นไปเล็กน้อยก่อนจะร่วงกลับลงมา ทำให้นางต้องรีบคว้าขอบหน้าต่างที่กรอบแกรบจวนเจียนจะพังเต็มทนเอาไว้แน่น“คุณหนู...ไม่เป็นไรนะขอรับ”
เสียงคนขับรถม้าที่เป็นบ่าวรับใช้ชายของตระกูลดังลอดเข้ามา นางไม่ได้ตอบในทันทีแต่ว่าหันมองเจ้าเด็กน้อยซูหมิงที่ลูบหัวป้อย ๆ กับซูซินสาวใช้ที่ไม่ทันได้ระวังหัวโขกกับรถม้า จนอดสงสารพวกเขาไม่ได้
นางกำมือแน่นจนเล็บที่ทำความสะอาดอย่างดีจิกเข้าฝ่ามือและใช้ความคิดซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งซูซินจับขานางเขย่า
“เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะคุณหนู”
นางพลันได้สติ ก่อนถอนลมหายใจออกมาหนึ่งสายส่ายหน้าแล้วยิ้มบาง ๆ ให้พวกนาง
ตัวประกอบติดบั๊กคนนี้มีเจ้าหนี้เก่าที่ไม่กล้าเข้าหาเพราะเสี่ยงต่อการเสียตัว ตาแก่เหล่านั้นไม่ได้สนเงินทองสนแต่เรือนร่างของนาง
และเป้าหมายวันนี้นางต้องกู้เงินจากคุณชายเฉิน พ่อค้าคหบดีคนใหม่เจ้าของโรงรับแลกเงินตระกูลเฉินเพื่อปิดหนี้เก่าให้หมด อย่างน้อยเหลือลูกหนี้แค่คนเดียวให้จัดการยังพอรับมือได้ง่ายกว่า
ม่านอวี้เงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างบานเล็ก คิดสภาพตัวเองที่มีรูปลักษณ์ดั่งสตรีงามล่มเมือง กับเคราะห์กรรมของคนสวย มันต่างอะไรกับตั๋วแลกเนื้อในสายตาเจ้าหนี้ชั้นต่ำเหล่านั้น
นางเอามือกุมหน้าอกอวบอิ่มที่เต็มไม้เต็มมือพลางคิด ‘ถ้าความสวยของข้าแลกข้าวสารได้ก็ดีน่ะสิ ข้าคงไม่ต้องนั่งรถม้าผุ ๆ พัง ๆ แบกหน้าไปพึ่งพาคนแปลกหน้าอย่างนี้หรอก’
ออด...แอด...ออด...แอด เสียงรถม้ายังคงดำเนินต่อไปเมื่อเส้นทางเริ่มหดสั้นลงทีละน้อยสู่ชะตากรรมบทใหม่ที่หวังว่าคุณชายเฉินโยว่เหวย ผู้เป็นดั่งความหวังของตระกูลจางของนางจะเมตตาคนน่ารักน่าเอ็นดูอย่างนางนะ
ยิ่งมองตาแป๋ว ๆ ของซูหมิงยิ่งปวดใจ เจ้าเด็กน้อยผู้นี้แม้มีเนื้อที่สุดในบ้าน แต่ยังมีเสียงท้องร้องดังเป็นระยะพาให้อดสงสารไม่ได้
แต่นางคงลืมคิดว่าตัวประกอบติดบั๊กชีวิตล้วนไม่ง่ายดายเท่าไหร่นัก
หลังจากแต่งงานได้เก้าเดือน ลูกหงส์และมังกรก็ มาเกิดในตำหนักหานอ๋องสร้างความปีติยินดีมากมายให้ กับเหล่าประชาชนในแคว้น รวมทั้งเสด็จลุงอย่างฮ่องเต้ เยว่อันคังประทานของรับขวัญหลานจนต้องสร้างห้องเก็บสมบัติเพิ่ม จางม่านอวี้ท้องลูกแฝดแต่เป็นแฝดชายหญิง โดยคนเป็นบิดาอย่างหานอ๋องก็ตั้งชื่อให้ด้วยตนเอง ลูกชายผู้เป็นแฝดพี่มีนามว่าเยว่เฟยเทียน แฝดน้องเป็นลูกสาวมีนามว่าเยว่เฟยเซียง ท่านอ๋องทรงหลงรักลูกชายและลูกสาวทั้งสองมากถึงขนาดอุ้มไปด้วยทุกที่ แม้แต่ออกไปทำงานก็ตาม ยิ่งลูกสาวตัวน้อยอย่างเยว่เฟยเซียงติดการหลับบนอกผู้เป็นบิดาที่สุด “แง้งงงงง!” เสียงร้องของแฝดน้องดังขึ้นทีไร เหล่าพี่เลี้ยงและหานเฟยต่างรีบมาดู เพราะหนูน้อยช่างเอาแต่ใจมาก ๆ หากง่วงจะไม่นอนดี ๆ ที่เปลหรือเตียงนอน แต่จะนอนบนอกบิดา! เยว่เค่อไท่แทบจะยกงานทุกอย่างมาทำที่บ้าน เมื่อลูกสาวติดตนเองมากมายขนาดนี้ แต่ก็ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อหานเฟยบอกให้เขาหักดิบมิเช่นนั้นลูกจะไม่ยอมนอนโดยให้คนอื่นกล่อม แต่ใครอยากให้คนอื่นกล่อมกันเล่า ลูกเขาทำเองกับมือย่อมกล่อมให้นอนเองอยู่แล้ว และเมื่อลูกร้ององครักษ์เงา
คืนนี้เยว่เค่อไท่ไม่ได้รังแกหานเฟยของเขาหนักมาก เพียงแค่ตั้งใจจะมีลูกกับนางในค่ำคืนนี้ให้จงได้ ฤกษ์หยิน หยางบรรจบกันไม่ใช่จะมีได้ในทุกปี เขาจึงไม่ปล่อยให้ความพิเศษนี้ผ่านไปเพียงเปล่าประโยชน์ ด้านนอกแขกที่เชิญมาล้วนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ขุนนางสำคัญในเมือง ไร้ขุนนางสอพลอในเมืองหลวงมาร่วมงานสักคนเดียว จางม่านอวี้ไม่มีญาติที่ไหน เขาก็ไม่มีญาติที่ไหน ดังนั้นมีแค่เราต่อจากนี้ก็เพียงพอ ริมฝีปากนุ่มบรรจงจูบอย่างทะนุถนอมและหวานที่สุด นางกินพุทราเชื่อมไปยิ่งทำให้รสชาติหวานติดลิ้นนางเสียจนเขาห้ามใจไม่ได้จูบนางอย่างเอาเป็นเอาตายจนนางเกือบลืมหายใจ “อึก...สวามีเพคะ...ช้าหน่อยเพคะ” เสียงเล็กท้วงทำให้เขาลดความรุนแรงลง เปลี่ยนจากจูบดูดดื่มมาเคล้าคลึงริมฝีปากนุ่นนิ่มหยอกล้อนางระหว่างปลุกเร้าความปรารถนาในกายของนางให้ลุกโชน จนกระทั่งนางทักท้วงบางอย่าง “สามี...ยังไม่ได้ดื่มสุรามงคลเลยเพคะ” สองมือเล็กดันอกแกร่งตะปบมือหนาให้ยับยั้งการกระทำ เพราะเขาเริ่มจะคลายสายคาดเอวแล้ว หากถึงจุดนั้นแม้แต่สุรามงคลก็ไม่ได้ดื่ม “เจ้าแน่ใจหรือว่าอยา
เมื่อตัวประกอบหลุดจากบั๊กสู่ตำแหน่งชายาเอกหนึ่งเดียวของหานอ๋องจากแคว้นเยว่หาน... วันมงคลสมรสของจางม่านอวี้และหานอ๋องเยว่เค่อไท่ถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่สิบสองเดือนสิบสองรัชศกเยว่คังที่สิบสอง ซึ่งเป็นวันมงคลที่สิบสองปีจะมีครั้ง คือวันที่หยินหยางสมดุลพร้อมให้พลังแด่คู่รักชายหญิง ถือว่าวันนี้หากเป็นวันที่ขอลูกชายก็จะได้ลูกชะตามังกรมาเกิด หากขอลูกสาวก็จะได้ลูกชะตาหงส์มาเกิด แม้จะเป็นวันที่อากาศเย็นแต่ทว่าชาวเมืองต่างออกมาแสดงความยินดีกับหานอ๋องอย่างคึกคัก การแต่งงานครั้งนี้นับว่าเป็นการแต่งงานระหว่างสตรีสามัญชนกับเชื้อพระวงศ์ครั้งแรกในรัชศกนี้ ซึ่งต้องบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางในเมืองหลวงต่างก็ไม่ขัดข้องสิ่งใด เพราะหานอ๋องเดิมถือเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ในความคิดของพวกเขา เมื่อแต่งงานกับสตรีไร้การหนุนหลังยิ่งทำให้พวกเขาสบายอกสบายใจว่าบัลลังก์จะไม่เกิดการเปลี่ยนมือในเร็ววันจนพวกเขาตั้งตัวไม่ทัน แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าทั้งหานอ๋องและฝ่าบาทต่างรักใคร่กลมเกลียวกัน แต่ทำตัวห่างเหินกันเพื่อให้คนนอกได้เห็นและเพื่อคานอำนาจเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดใช้เ
จางม่านอวี้มองไปยังคนที่จะมาเก็บดอกเบี้ยนางพลางน้ำตารื้น...ดวงตากลมโตของนางเลอะไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเสียอกเสียใจ แต่ทว่ากลับไม่ทำให้นางขยับเขยื้อนกาย นางไม่คิดว่าชีวิตนี้จะพบกับบุรุษใจร้ายผู้นี้อีกแล้ว แต่นางก็พบ! ทั้งยังหนีไม่พ้นอีกด้วย “ท่านเป็นใคร...ข้าไม่รู้จักท่าน” จางม่านอวี้ขยับตัวหนีร่างใหญ่ที่เขามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเตียงนอนของนาง โดยที่มือใหญ่กำลังเอื้อมมือมาคล้ายจะแตะต้องตัว แต่นางรีบขยับหนี! “ท่านเป็นใคร...ออกไปนะ...ข้าไม่รู้จักท่าน” นางแสร้งเล่นบทโศกความจำเสื่อมเสียเลย อย่างไรเขาจะมาเก็บดอกเบี้ยนางไม่ได้แน่นอน เยว่เค่อไท่ขมวดคิ้วทั้งมองดวงตาของนางที่ไหวระริกพลางกดมุมปาก จากนั้นเขานั่งลงมองคนที่กำลังขวัญเสีย “ข้าคือเยว่เค่อไท่ หานอ๋องที่ปกครองเมืองฉางเหอและเป็นเจ้าหนี้ของเจ้า” จางม่านอวี้ยิ่งได้ฟังยิ่งสับสน นี่ถ้าหากเกิดใหม่เขาจะแนะนำตัวตนจริง ๆ ของเขาทำไม ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ “ข้าไม่รู้จัก” นางส่ายหน้าพรืดทั้งขยับตัวแต่ทว่า...ว้าย! ร่างของนางกำลังจะตกลงกับพื้นแต่ทว่ากลับมีมือใหญ่รั้งเอาไ
จางม่านอวี้มีเงินจากที่ท่านอ๋องให้เอาไว้อยู่หลายตำลึงจึงเอาไปให้ซูซินซื้อกระดาษมานั่งแต่งหนังสือประโลมโลก และไม่ออกจากบ้านเลยจนกระทั่งนางเขียนได้สิบเรื่องคิดว่าควรจะเอาไปขายที่ร้านขายหนังสือประโลมโลกหน้าหอหยกเร้นจันทร์เพื่อหาเงินเข้าบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง แต่ทว่าดันไปช่วงเวลาที่หานอ๋องแต่งตั้งชายาเอกพอดี! เป๋งๆๆๆ ! เสียงฉาบทองเหลืองอันใหญ่ถูกคนเข็นไปพร้อมกับมีคนตีตะโกนป่าวประกาศลั่นถนน จนนางและซูซินต้องหลบทางให้ขบวนคนที่ตีฆ้องร้องป่าว “อีกเดี๋ยวขบวนแห่พระชายาจะผ่านทางนี้...ทุกคนที่รอชมโฉมพระชายาต้องคุกเข่าเข้าใจหรือไม่” จางม่านอวี้รีบเอาหนังสือสิบเล่มขายให้กับเถ้าแก่ร้านหนังสือทันที “เถ้าแก่ข้าคิดไม่แพงเล่มละสามตำลึง” เถ้าแก่ดีใจแทบเนื้อเต้นปกติเรื่องดี ๆ เช่นนั้นพวกลูกหลานคนมีตระกูลชอบซื้อไปอ่านเขาขายเล่มละสิบห้าตำลึง และยังเอาไปคัดลอกได้อีกด้วย “นี่คุณหนูจางต่อไปท่านมาขายที่ร้านข้าห้ามไปขายร้านอื่นเด็ดขาดนะ ข้าเพิ่มให้หนึ่งตำลึง” จางม่านอวี้พยักหน้ารับเงินมาทั้งหมดสามสิบเอ็ดตำลึงก่อนจะรีบหลบเข้าไปในหอหยกเร้นจันทร์เพื่อ
จางม่านอวี้เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในที่ของตนเอง เพราะไม่อยากออกไปเดินเฉียดใกล้ท่านหญิงหลินรั่วเหวิน แต่ทว่าสายข่าวเคลื่อนที่เร็วของนางก็มารายงานข่าวทุกวัน “พี่อวี้...หมิงไปสืบมาอย่างดีแล้ว ท่านอ๋องส่งสตรีเก้าสิบแปดคนกลับเมืองหลวงจนหมด เหลือเพียงท่านหญิงเพียงคนเดียว ท่านว่าท่านอ๋องมีใจให้ท่านหญิงหรือไม่” ซูหมิงไม่รู้ว่าท่านอ๋องออกไปรบ ส่วนคนที่นั่งเป็นท่านอ๋องอยู่ในตำหนัก และยามออกไปด้านนอกใส่หน้ากากเงินนั้นน่ะตัวปลอม นางไม่รู้ว่าฝ่าบาทกับท่านอ๋องทำได้อย่างที่แปลงโฉมทั้งเปลี่ยนเสียงได้ แต่นางเคยอ่านมาว่าในจีนโบราณทำได้ด้วยการใช้วิชาเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนเสียง แต่เรื่องนี้ก็แพร่งพรายไม่ได้เช่นเดียวกัน “ไม่รู้สิ” จางม่านอวี้จะตอบอะไรได้อีกนอกเสียจากว่าช่วงนี้นางไม่ไปพบท่านอ๋องชั่วคราวก็แล้วกัน ประหนึ่งนางกำลังแง่งอนเขาที่เขารับสตรีอื่นเข้ามาในตำหนัก นอกจากนางที่รู้เรื่องนี้แม้แต่ซูซินเองก็ไม่รับรู้เช่นกัน และซูซินยังเอาแต่ทำหน้าตาเศร้าซึมที่ท่านอ๋องไม่มานอนกับนางหลายวัน คล้ายกับจะหลงท่านหญิงหลิน “คุณหนู...หากท่านอ๋องไม่รักไม่เอ็นดูท่านแล้วไม่สู้







