Masukจางม่านอวี้ สูดหายใจลึกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่รถม้าจะหยุดลงตรงหน้าโรงรับแลกเงินที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ใกล้กับประตูเมืองฝั่งตะวันตก ตึกรามโออ่านี้ช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหวเมื่อเทียบกับบ้านตระกูลจางที่กำลังพังพาบลง แม้แต่บานประตูไม้ก็ดูหนาและหนักแน่นมั่นคงจนน่าขนลุก
ประตูไม้มะค่าสีแดงสวยแกะสลักรูปพยัคฆ์ขี่เมฆาเป็นสัญลักษณ์ประจำของโรงรับแลกเงินตระกูลเฉิน ที่ทั้งดุดันและเหนือชั้นกว่าผู้ใดในเมืองฉางเหอ จนดวงตาใสแป๋วที่หอบความมั่นใจมาเต็มกระเป๋าเริ่มฝ่อนิด ๆ
‘ข้ารู้สึกก้าวขาไม่ออกเสียอย่างนั้น’
นางคิดว่าไม่มีสิ่งใดน่ากลัวกว่าความจนอีกแล้วในโลกใบนี้ แต่ว่านางกลับกลัวที่จะก้าวเข้าไปด้านในเสียอย่างนั้น รู้สึกว่าด้านในมีไอเย็นแปลก ๆ ชอบกลทั้งที่เดือนแปดนี้ร้อนตับแทบแตก
“คุณหนูเจ้าคะ...ท่าน” ซูซินกระซิบเรียกคุณหนูเมื่อเห็นสีหน้าลำบากใจของผู้เป็นนายสาว พลันสงสารจับใจ
จางม่านอวี้หันมองบ่าวรับใช้แล้วก็ถอนหายใจ นางสมควรจะเป็นผู้นำตระกูลในเวลานี้ ดังนั้นไม่มีสิ่งใดจะเสียแล้ว เพื่ออีกยี่สิบชีวิตที่รอคอยนางอยู่ นางไม่กล้าทำให้พวกเขาผิดหวัง
“ข้าจะเข้าไปในร้านรับแลกเงินเอง”
“ให้พวกเราติดตามไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ” ซูซินที่เป็นห่วงนายสาวไม่อยากให้เข้าไปเพียงผู้เดียวเอ่ยขึ้น และนั่นทำให้จางม่านอวี้พยักหน้าทันที นางหรือจะเก่งกาจอะไร คุณชายเฉินก็ไม่เคยพบสักครั้ง เขามีนิสัยใจคออย่างไรนางก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ จะให้นางเข้าไปคนเดียวไม่มีทางหรอก
ร่างอรชรเดินเข้าไปในโรงรับแลกเงิน ด้านหน้ามีคนของร้านรับแลกเงินยิ้มแย้มต้อนรับพวกนางอย่างดี ทำให้นางเลิกคิ้วขึ้น
“ไม่ทราบว่าคุณหนูมีธุระอันใดหรือ”
“เถ้าแก่...ข้าอยากพบคุณชายของพวกท่าน ไม่ทราบว่าคุณชายสะดวกพบหรือไม่” จางม่านอวี้เปล่งเสียงเข้มแข็ง อย่างไรก็มาถึงนี่แล้ว แม้ว่าต้องทำตัวให้ใบหน้าหนาสักนิดก็ช่างมันเถอะ ดีกว่าปล่อยให้ทุกคนอดตาย
“คุณหนู...” เถ้าแก่เห็นท่าทางขึงขังแล้วผงะ
“พวกเราจะมากู้เงิน” ซูหมิงไม่อยากให้เวลายืดเยื้อ เขาหิวไส้จะกิ่วอยู่แล้ว หากได้เงินกลับไปแบ่งส่วนใช้หนี้หมดและที่เหลือซื้อข้าวสารกลับไปต้มโจ๊กเนื้อขาวข้นกินสักมื้อเถอะ
เขาไม่มีอาหารดี ๆ ตกถึงท้องมาสองเดือนแล้ว
จางม่านอวี้ยิ้มเขิน ๆ แล้วนางส่งสายตาแป๋วแหววซุกซน
ไปให้เถ้าแก่ร้านแลกเงิน พยายามทำท่าทางออดอ้อนตามที่เคยฝึกมากับกระจก เพื่อให้เถ้าแก่ใจอ่อนและนำความไปบอกต่อคุณชายของเขา จากนั้นเมื่อเห็นแววตาอ่อนโยนของเถ้าแก่พลันรู้สึกใจชื้นขึ้นเล็กน้อยจากนั้นพวกนางถูกเชิญให้เข้าไปยังห้องรับรอง ก่อนจะมีบ่าวรับใช้ชายยกน้ำชากับขนมจานโตมาวางให้พวกเรา
“เชิญพวกท่านกินขนมสักครู่ นายท่านของพวกเรากำลังจัดการธุระส่วนตัวอยู่เล็กน้อย” เถ้าแก่บอกด้วยรอยยิ้ม
จางม่านอวี้และบ่าวรับใช้ทั้งสามคนคล้ายหูดับไปแล้ว!
เมื่อได้กลิ่นหอมของชาดอกไม้ที่คล้ายจะผสมน้ำผึ้งลงไปด้วยกับขนมตรงหน้า ส่งกลิ่นหอมหวานอบอวลจนลืมไปชั่วขณะว่ากำลังนั่งอยู่ในโรงรับแลกเงินที่น่าเกรงขาม และด้านข้างกันนั้นมีผลไม้เชื่อมหลากสี และขนมไหว้พระจันทร์ไส้เม็ดบัวกับไส้ถั่วแดงอีกอย่างละสี่ชิ้นวางเรียงกันอย่างสวยงามซูหมิงตัวน้อยทำตาโตเท่าไข่ห่าน
เขาทำท่าจะคว้าขนมไส้ถั่วแดงชิ้นใหญ่ที่สุดแต่ถูกซูซินตีมือเบา ๆทำให้เจ้าเด็กน้อยต้องมองคุณหนูของตนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหิวระคนขอร้องให้คุณหนูหยิบกินเร็ว ๆอึก!
จางม่านอวี้กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ นางพยายามทำตัวเป็นคุณหนูผู้เพียบพร้อมด้วยการหยิบขนมไส้เม็ดบัวขึ้นมาช้า ๆ อย่างมีจริตจะก้าน แต่สุดท้ายก็ทนความหิวไม่ไหว
นางคว้าขนมขึ้นกัดหนึ่งชิ้นเต็มคำพร้อมกับพริ้มตาหลับลิ้มรสชาติหอมหวานของมันอย่างไม่สนใจใคร‘อร่อยที่สุดตั้งแต่ข้ามีชีวิตในโลกนี้มาเลย!’
ความรู้สึกนี้ทำให้นางเกือบลืมไปแล้วว่ากำลังจะถูกเรียกตัวไปพบกับผู้ที่กำลังจะเป็นเจ้าหนี้ผู้ที่น่าเกรงขามที่สุดในเมือง
เมื่อซูหมิงเห็นนายสาวจัดการขนมอย่างมีความสุข เขาก็ไม่รอช้า
คว้าขนมไส้ถั่วแดงยัดใส่ปากทันทีเคี้ยวแก้มตุ้ยจนตาหยีด้วยความอร่อย ทั้งสี่คนในห้องรับรองต่างตกอยู่ในภวังค์ของน้ำชาและขนมหวานราวกับพวกเขากำลังหนีจากความเป็นจริงอันโหดร้ายเข้าสู่โลกแห่งความสุขชั่วคราว...
ซึ่งเป็นสิ่งที่หรูหราที่สุดในชีวิตติดบั๊กของม่านอวี้จนกระทั่งทุกอย่างบนโต๊ะหมดลงอย่างรวดเร็ว แต่พวกเรายังรู้สึกว่าไม่อิ่มและราวกับมีคนอ่านใจพวกนางออก เมื่อถ้วยน้ำแกงเนื้อกับเนื้อตุ๋นชิ้นใหญ่ ๆ เต็มชามสี่ถ้วยพร้อมกับข้าวสวยหุงสุกร้อน ๆ ถูกนำมาวางตรงหน้าของพวกเขาอีกครั้ง
จางม่านอวี้มองภาพตรงหน้าอย่างระแวงเล็กน้อย คล้ายกับพวกนางมานั่งกินข้าวในร้านเหลาอาหารชื่อดังของเมืองฉางเหอแต่ความหิวหรือจะเข้าใครออกใคร ทั้งสี่คนจัดการอาหารตรงหน้าหมดเกลี้ยงภายในเวลาหนึ่งเค่อ!
และนั่นนำมาซึ่งสติในการฉุกคิดของสมองน้อย ๆ ของจางม่านอวี้ เมื่อมีอาหารเต็มท้อง
‘เจ้าหนี้ผู้นี้จะเลี้ยงดูปูเสื่อพวกนางดีเกินไปหรือไม่?’
ใจดีแปลก ๆ แฮะ!
เมื่อท้องอิ่มสีหน้าก็อิ่มเอิบขึ้น ใบหน้าที่เคยเศร้าหมองซับสีเลือดจนทำให้ยิ่งกระจ่างใสเสียจนคนมองถึงกับเคลิ้ม แต่คนถูกมองรู้สึกขวยเขินพิกล ยิ่งบ่าวรับใช้ทั้งร้านแลกเงินมีแต่บุรุษ ทำให้นางคือจุดวางสายตาเพียงจุดเดียวของร้านในตอนนี้ กระทั่งต้องหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจ
“เถ้าแก่...ไม่ทราบว่ามีห้องน้ำหรือไม่ ข้าอยากล้างหน้าผัดแป้งใหม่เล็กน้อย”
ใช่นางจะให้ตัวเองที่ปากมันแผลบไปพบเจ้าหนี้สภาพนี้ได้ที่ไหนกัน อย่างน้อย ๆ นางควรรักษาภาพลักษณ์คุณหนูตระกูลพ่อค้าเอาไว้เล็กน้อย
“เชิญคุณหนูด้านนี้ เดี๋ยวข้าน้อยจะให้บ่าวรับใช้หญิงพาไป”
บ่าวรับใช้หญิงหรือ...ที่นี่มีด้วยหรือ นางเห็นแต่บุรุษเต็มไปหมดจนกระทั่งมีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวทะมัดทะแมงเหมือนบุรุษ หากบอกว่าเป็นนักฆ่านางยังจะเชื่อมากกว่า แต่นางดูใบหน้างดงามอยู่ไม่น้อยริมฝีปากแดงเรื่อด้วยสีชาด คาดว่านางก็รักสวยรักงามในแบบสตรี ติดก็แต่นางพกกระบี่สั้นด้วย!
จางม่านอวี้ทำเป็นมองไม่เห็นอาวุธร้ายนั้น ยิ้มให้นางส่งสายตาน่าเอ็นดูที่สุดเปิดทางก่อน จากนั้นเดินตามนางไปผ่านห้องหลายห้องจนกระทั่งผ่านไปยังเรือนหลัง มีน้ำตกจำลองไหลจ๊อก ๆ ทำให้บรรยากาศแสนร่มรื่นจนอดชื่นชมเจ้าของไม่ได้ แต่ทว่าเสียงที่นางเผลอได้ยินนี่สิ
“ซี๊ด...อ่าห์...อื้อ...”
จางม่านอวี้เบิ่งตากว้าง“O.O” นั่นเสียงอะไร...ไม่ใช่ว่า...
“กดมาแรง ๆ เจ้าค่ะ...อื้อ...ซี๊ด...แรงอีกเจ้าค่ะ ข้ายังรับไหว”
นางยกมือขึ้นทาบอกทันทีและคิดว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดใช่หรือไม่ ทั้งจินตนาการไปถึงคำว่า กดมาแรง ๆ คืออะไรเหรอ
‘ไม่ใช่หรอก...ข้าคงคิดไปเอง ไม่น่าจะมีสิ่งใด’
นั่นคือสิ่งที่ปลอบใจตัวเองได้ดีที่สุดในยามนี้ และนางก็รีบเดินไปให้ทันสาวใช้และจัดการล้างหน้าและทาแป้งบาง ๆ กับแต้มชาดให้ปากสวยงามพลางยิ้มกับกระจกอันเล็กที่พกติดตัวมาด้วย
แค่นี้ก็สวยแล้ว...นางพร้อมจะพบเจ้าหนี้คนใหม่ และจะทำตัวน่ารักว่าง่ายให้เจ้าหนี้สงสารนางแหละ
แต่เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำผ่านไปยังเส้นทางเดิมจนกระทั่งถึงห้องหนึ่ง นางสบเข้ากับคนที่เพิ่งเดินออกมาที่เห็นแต่แผ่นหลังก็ทำให้นางชะงักค้าง จนเกือบลืมหายใจ แต่ทว่าคนที่ตามออกมานี่สิทำให้นางรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว
“ขอตัวลาเจ้าค่ะคุณชาย โอกาสหน้าข้าจะมารับใช้ท่านใหม่”
สตรีในชุดสีแดงเพลิง ใบหน้าสวยงามเกลี้ยงเกลาริมฝีปากทาชาดสีสวย ยิ่งมีไฝจุดเล็ก ๆ ที่มุมปากล่างด้านซ้ายยิ่งเสริมเสน่ห์ให้นางยิ่งนัก จนทำให้รู้สึกว่าสตรีผู้นี้งดงามน่ามอง ทั้งยังดูน่าดึงดูดเสียจนละสายตาไม่ได้
แต่ว่า...ห้องที่พวกเขาออกมา ใช่ห้องที่นางเดินผ่านมาได้ยินเสียงแปลก ๆ เมื่อครู่หรือเปล่านะ นางยกมือจิ้มแก้มตัวเองเอียงคอคิดอย่างสงสัย จนไม่รู้เลยว่าบุรุษผู้นั้นกำลังมองนางด้วยสายตาแบบใด
หลังจากแต่งงานได้เก้าเดือน ลูกหงส์และมังกรก็ มาเกิดในตำหนักหานอ๋องสร้างความปีติยินดีมากมายให้ กับเหล่าประชาชนในแคว้น รวมทั้งเสด็จลุงอย่างฮ่องเต้ เยว่อันคังประทานของรับขวัญหลานจนต้องสร้างห้องเก็บสมบัติเพิ่ม จางม่านอวี้ท้องลูกแฝดแต่เป็นแฝดชายหญิง โดยคนเป็นบิดาอย่างหานอ๋องก็ตั้งชื่อให้ด้วยตนเอง ลูกชายผู้เป็นแฝดพี่มีนามว่าเยว่เฟยเทียน แฝดน้องเป็นลูกสาวมีนามว่าเยว่เฟยเซียง ท่านอ๋องทรงหลงรักลูกชายและลูกสาวทั้งสองมากถึงขนาดอุ้มไปด้วยทุกที่ แม้แต่ออกไปทำงานก็ตาม ยิ่งลูกสาวตัวน้อยอย่างเยว่เฟยเซียงติดการหลับบนอกผู้เป็นบิดาที่สุด “แง้งงงงง!” เสียงร้องของแฝดน้องดังขึ้นทีไร เหล่าพี่เลี้ยงและหานเฟยต่างรีบมาดู เพราะหนูน้อยช่างเอาแต่ใจมาก ๆ หากง่วงจะไม่นอนดี ๆ ที่เปลหรือเตียงนอน แต่จะนอนบนอกบิดา! เยว่เค่อไท่แทบจะยกงานทุกอย่างมาทำที่บ้าน เมื่อลูกสาวติดตนเองมากมายขนาดนี้ แต่ก็ใจอ่อนทุกครั้งเมื่อหานเฟยบอกให้เขาหักดิบมิเช่นนั้นลูกจะไม่ยอมนอนโดยให้คนอื่นกล่อม แต่ใครอยากให้คนอื่นกล่อมกันเล่า ลูกเขาทำเองกับมือย่อมกล่อมให้นอนเองอยู่แล้ว และเมื่อลูกร้ององครักษ์เงา
คืนนี้เยว่เค่อไท่ไม่ได้รังแกหานเฟยของเขาหนักมาก เพียงแค่ตั้งใจจะมีลูกกับนางในค่ำคืนนี้ให้จงได้ ฤกษ์หยิน หยางบรรจบกันไม่ใช่จะมีได้ในทุกปี เขาจึงไม่ปล่อยให้ความพิเศษนี้ผ่านไปเพียงเปล่าประโยชน์ ด้านนอกแขกที่เชิญมาล้วนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ขุนนางสำคัญในเมือง ไร้ขุนนางสอพลอในเมืองหลวงมาร่วมงานสักคนเดียว จางม่านอวี้ไม่มีญาติที่ไหน เขาก็ไม่มีญาติที่ไหน ดังนั้นมีแค่เราต่อจากนี้ก็เพียงพอ ริมฝีปากนุ่มบรรจงจูบอย่างทะนุถนอมและหวานที่สุด นางกินพุทราเชื่อมไปยิ่งทำให้รสชาติหวานติดลิ้นนางเสียจนเขาห้ามใจไม่ได้จูบนางอย่างเอาเป็นเอาตายจนนางเกือบลืมหายใจ “อึก...สวามีเพคะ...ช้าหน่อยเพคะ” เสียงเล็กท้วงทำให้เขาลดความรุนแรงลง เปลี่ยนจากจูบดูดดื่มมาเคล้าคลึงริมฝีปากนุ่นนิ่มหยอกล้อนางระหว่างปลุกเร้าความปรารถนาในกายของนางให้ลุกโชน จนกระทั่งนางทักท้วงบางอย่าง “สามี...ยังไม่ได้ดื่มสุรามงคลเลยเพคะ” สองมือเล็กดันอกแกร่งตะปบมือหนาให้ยับยั้งการกระทำ เพราะเขาเริ่มจะคลายสายคาดเอวแล้ว หากถึงจุดนั้นแม้แต่สุรามงคลก็ไม่ได้ดื่ม “เจ้าแน่ใจหรือว่าอยา
เมื่อตัวประกอบหลุดจากบั๊กสู่ตำแหน่งชายาเอกหนึ่งเดียวของหานอ๋องจากแคว้นเยว่หาน... วันมงคลสมรสของจางม่านอวี้และหานอ๋องเยว่เค่อไท่ถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ในวันที่สิบสองเดือนสิบสองรัชศกเยว่คังที่สิบสอง ซึ่งเป็นวันมงคลที่สิบสองปีจะมีครั้ง คือวันที่หยินหยางสมดุลพร้อมให้พลังแด่คู่รักชายหญิง ถือว่าวันนี้หากเป็นวันที่ขอลูกชายก็จะได้ลูกชะตามังกรมาเกิด หากขอลูกสาวก็จะได้ลูกชะตาหงส์มาเกิด แม้จะเป็นวันที่อากาศเย็นแต่ทว่าชาวเมืองต่างออกมาแสดงความยินดีกับหานอ๋องอย่างคึกคัก การแต่งงานครั้งนี้นับว่าเป็นการแต่งงานระหว่างสตรีสามัญชนกับเชื้อพระวงศ์ครั้งแรกในรัชศกนี้ ซึ่งต้องบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ ถึงกระนั้นเหล่าขุนนางในเมืองหลวงต่างก็ไม่ขัดข้องสิ่งใด เพราะหานอ๋องเดิมถือเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ในความคิดของพวกเขา เมื่อแต่งงานกับสตรีไร้การหนุนหลังยิ่งทำให้พวกเขาสบายอกสบายใจว่าบัลลังก์จะไม่เกิดการเปลี่ยนมือในเร็ววันจนพวกเขาตั้งตัวไม่ทัน แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่าทั้งหานอ๋องและฝ่าบาทต่างรักใคร่กลมเกลียวกัน แต่ทำตัวห่างเหินกันเพื่อให้คนนอกได้เห็นและเพื่อคานอำนาจเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดใช้เ
จางม่านอวี้มองไปยังคนที่จะมาเก็บดอกเบี้ยนางพลางน้ำตารื้น...ดวงตากลมโตของนางเลอะไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเสียอกเสียใจ แต่ทว่ากลับไม่ทำให้นางขยับเขยื้อนกาย นางไม่คิดว่าชีวิตนี้จะพบกับบุรุษใจร้ายผู้นี้อีกแล้ว แต่นางก็พบ! ทั้งยังหนีไม่พ้นอีกด้วย “ท่านเป็นใคร...ข้าไม่รู้จักท่าน” จางม่านอวี้ขยับตัวหนีร่างใหญ่ที่เขามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงเตียงนอนของนาง โดยที่มือใหญ่กำลังเอื้อมมือมาคล้ายจะแตะต้องตัว แต่นางรีบขยับหนี! “ท่านเป็นใคร...ออกไปนะ...ข้าไม่รู้จักท่าน” นางแสร้งเล่นบทโศกความจำเสื่อมเสียเลย อย่างไรเขาจะมาเก็บดอกเบี้ยนางไม่ได้แน่นอน เยว่เค่อไท่ขมวดคิ้วทั้งมองดวงตาของนางที่ไหวระริกพลางกดมุมปาก จากนั้นเขานั่งลงมองคนที่กำลังขวัญเสีย “ข้าคือเยว่เค่อไท่ หานอ๋องที่ปกครองเมืองฉางเหอและเป็นเจ้าหนี้ของเจ้า” จางม่านอวี้ยิ่งได้ฟังยิ่งสับสน นี่ถ้าหากเกิดใหม่เขาจะแนะนำตัวตนจริง ๆ ของเขาทำไม ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ “ข้าไม่รู้จัก” นางส่ายหน้าพรืดทั้งขยับตัวแต่ทว่า...ว้าย! ร่างของนางกำลังจะตกลงกับพื้นแต่ทว่ากลับมีมือใหญ่รั้งเอาไ
จางม่านอวี้มีเงินจากที่ท่านอ๋องให้เอาไว้อยู่หลายตำลึงจึงเอาไปให้ซูซินซื้อกระดาษมานั่งแต่งหนังสือประโลมโลก และไม่ออกจากบ้านเลยจนกระทั่งนางเขียนได้สิบเรื่องคิดว่าควรจะเอาไปขายที่ร้านขายหนังสือประโลมโลกหน้าหอหยกเร้นจันทร์เพื่อหาเงินเข้าบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง แต่ทว่าดันไปช่วงเวลาที่หานอ๋องแต่งตั้งชายาเอกพอดี! เป๋งๆๆๆ ! เสียงฉาบทองเหลืองอันใหญ่ถูกคนเข็นไปพร้อมกับมีคนตีตะโกนป่าวประกาศลั่นถนน จนนางและซูซินต้องหลบทางให้ขบวนคนที่ตีฆ้องร้องป่าว “อีกเดี๋ยวขบวนแห่พระชายาจะผ่านทางนี้...ทุกคนที่รอชมโฉมพระชายาต้องคุกเข่าเข้าใจหรือไม่” จางม่านอวี้รีบเอาหนังสือสิบเล่มขายให้กับเถ้าแก่ร้านหนังสือทันที “เถ้าแก่ข้าคิดไม่แพงเล่มละสามตำลึง” เถ้าแก่ดีใจแทบเนื้อเต้นปกติเรื่องดี ๆ เช่นนั้นพวกลูกหลานคนมีตระกูลชอบซื้อไปอ่านเขาขายเล่มละสิบห้าตำลึง และยังเอาไปคัดลอกได้อีกด้วย “นี่คุณหนูจางต่อไปท่านมาขายที่ร้านข้าห้ามไปขายร้านอื่นเด็ดขาดนะ ข้าเพิ่มให้หนึ่งตำลึง” จางม่านอวี้พยักหน้ารับเงินมาทั้งหมดสามสิบเอ็ดตำลึงก่อนจะรีบหลบเข้าไปในหอหยกเร้นจันทร์เพื่อ
จางม่านอวี้เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในที่ของตนเอง เพราะไม่อยากออกไปเดินเฉียดใกล้ท่านหญิงหลินรั่วเหวิน แต่ทว่าสายข่าวเคลื่อนที่เร็วของนางก็มารายงานข่าวทุกวัน “พี่อวี้...หมิงไปสืบมาอย่างดีแล้ว ท่านอ๋องส่งสตรีเก้าสิบแปดคนกลับเมืองหลวงจนหมด เหลือเพียงท่านหญิงเพียงคนเดียว ท่านว่าท่านอ๋องมีใจให้ท่านหญิงหรือไม่” ซูหมิงไม่รู้ว่าท่านอ๋องออกไปรบ ส่วนคนที่นั่งเป็นท่านอ๋องอยู่ในตำหนัก และยามออกไปด้านนอกใส่หน้ากากเงินนั้นน่ะตัวปลอม นางไม่รู้ว่าฝ่าบาทกับท่านอ๋องทำได้อย่างที่แปลงโฉมทั้งเปลี่ยนเสียงได้ แต่นางเคยอ่านมาว่าในจีนโบราณทำได้ด้วยการใช้วิชาเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนเสียง แต่เรื่องนี้ก็แพร่งพรายไม่ได้เช่นเดียวกัน “ไม่รู้สิ” จางม่านอวี้จะตอบอะไรได้อีกนอกเสียจากว่าช่วงนี้นางไม่ไปพบท่านอ๋องชั่วคราวก็แล้วกัน ประหนึ่งนางกำลังแง่งอนเขาที่เขารับสตรีอื่นเข้ามาในตำหนัก นอกจากนางที่รู้เรื่องนี้แม้แต่ซูซินเองก็ไม่รับรู้เช่นกัน และซูซินยังเอาแต่ทำหน้าตาเศร้าซึมที่ท่านอ๋องไม่มานอนกับนางหลายวัน คล้ายกับจะหลงท่านหญิงหลิน “คุณหนู...หากท่านอ๋องไม่รักไม่เอ็นดูท่านแล้วไม่สู้







