บทที่3 คนไข้ของคุณหมอ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เคาะประตูสามครั้งอย่างมีมารยาท
“เชิญครับ” เจ้าของห้องเอ่ยอนุญาต รดารีบเปิดประตูเข้าไปด้านในโดยไม่ทันสังเกตป้ายที่ติดอยู่ประตูหน้าห้อง
“ทานข้าวหรือยัง” ประโยคทักทายที่เจ้าของห้องเอ่ยขึ้นโดยที่สายตายังจ้องอยู่ที่แฟ้มเอกสารตรงหน้า
“ทานแล้วค่ะ เอ่อ..คือว่า หนู..หนูกลับบ้านได้ไหมคะวันนี้” รดาเอ่ยถามออกไปกล้าๆ กลัวๆ มือเรียวเล็กที่ประสานกันอยู่หน้าขาบัดนี้กำเข้าหากันแน่น
“อยากกลับแล้วเหรอ ไหนเมื่อวานบอกว่าถ้าหมอหล่อยอมป่วยนอนโรงพยาบาลหลายวันยังได้” กองทัพแกล้งแซวสีหน้าเรียบนิ่ง มือยังตวัดปลายปากกาเซ็นเอกสารไม่หยุด
“เอ่อ..แต่หนูไม่ได้เป็นอะไรแล้วนี่คะ จะให้นอนโรงพยาบาลทำไม อีกอย่างหนูก็ต้องไปเรียนด้วยวันนี้ก็ขาดเรียนวันหนึ่งแล้ว” รดาพยายามอธิบายเหตุผล ถึงเธอจะไม่ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลครั้งนี้เองแต่ก็ไม่ควรมานอนอยู่ให้คนอื่นสิ้นเปลืองแบบนี้ทั้งที่มันไม่ได้มีความจำเป็นอะไร
“พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้าน นอนที่นี่อีกสักคืนแผลบวมที่หัวยังไม่ยุบเลย” กองทัพให้คำตอบกลับไป รดาที่ได้ยินถึงกับทำหน้าผิดหวัง
“ค่ะ”
เมื่อได้รับคำตอบแล้วจึงหันหลังเพื่อเดินกลับห้องไป แต่ก็ต้องหยุดชะงัก
“ถ้าเบื่อก็อ่านหนังสือ ในตู้มีหนังสือเกี่ยวกับบทความเรื่องการบริหารธุรกิจอยู่ลองไปเลือกดู” ปกติถ้าเป็นเด็กทั่วไปต้องเอาขนมหรือของกินล่อ แต่สำหรับรดามีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถหลอกล่อเธอได้..นั่นคือหนังสือ ยิ่งเป็นบทความเกี่ยวกับเรื่องการบริหารธุรกิจแล้ว ให้นั่งอยู่เฉยๆ ทั้งวันพร้อมกับหนังสือกองโตเธอก็ไม่ปริปากบ่นว่าเบื่อสักคำ
“จริงเหรอคะ หนูหยิบมาอ่านได้จริงเหรอ” จากตอนแรกที่ทำหน้าหงอยๆ ตอนนี้ดูตื่นเต้นราวกับคนละคน
“นั่งอ่านเงียบๆ อย่าเสียงดังก็พอ ผลไม้กับขนมอยู่ในตู้เย็นในห้องเปิดประตูเข้าไปหยิบมาทานได้เลย หรืออยากเข้าไปอ่านในห้องก็ได้” ในห้องทำงานของกองทัพมีห้องนอนห้องใหญ่อีกห้องที่ทำไว้เวลาที่ทำงานดึกๆ แล้วขี้เกียจกลับคอนโดก็จะนอนที่นี่ ซึ่งในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบทุกอย่าง
“ขอบคุณค่ะ รดานั่งอ่านตรงนี้ก็ได้ค่ะ” เท้าเล็กเดินไปยังมุมห้องที่มีชั้นเล็กๆ ตั้งอยู่และมีหนังสือวางอยู่สี่ห้าเล่ม ส่วนใหญ่จะเป็นบทความหรือวารสารของนักธุรกิจเก่งๆ ต่างประเทศ สายตาไปสะดุดเข้ากับรูปถ่ายที่อยู่ในกรอบรูปราคาแพงวางตั้งอยู่ คนในรูปเป็นใครไม่ได้นอกจากคุณหมอเจ้าของห้องแต่สิ่งที่สะดุดสายตานั้น คือวิวตึกด้านหลังซึ่งเป็นที่เดียวกันกับรูปที่รดาเคยได้รับจากคนแปลกหน้าใจดีให้ไว้เป็นที่ระลึกเมื่อ5ปีก่อน
“อยากไปเที่ยวที่นั่นเหรอ” กองทัพสังเกตเห็นว่าเด็กสาวยืนมองรูปนั้นอยู่นานจึงเอ่ยถามขึ้น
“คุณหมอไปเที่ยวมาเหรอคะ”
“เปล่า ผมเคยไปเรียนหมอที่นั่น” รูปที่กองทัพถ่ายขณะที่เรียนแพทย์อยู่ที่โปรแลนด์
“นานหรือยังคะ”
“น่าจะ5ปีได้นะ ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นคลินิกปีสุดท้ายพอดี ก่อนจะบินไปเรียนต่อ Fellow(แพทย์เฉพาะทาง) ที่อเมริกา” รดายืนนิ่งอย่างคนกำลังคิดอะไรสักอย่างอยู่ในหัว ก่อนจะดึงสติตัวเองกลับมาสนใจหนังสือตรงหน้า
กองทัพนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะสลับกับมองเด็กสาวเป็นระยะ แฟ้มเอกสารมากมายที่วางกองอยู่บนโต๊ะตอนเช้าถูกเคลียร์ออกไปบางส่วน ยังเหลืออีกสิบกว่าแฟ้มที่กองทัพต้องเคลียร์ให้เสร็จ ตามตารางงานวันนี้ชายหนุ่มต้องเข้าบริษัทแต่เพราะติดคนไข้คนสำคัญจึงสั่งเลขาให้เอาเอกสารมาให้ที่โรงพยาบาล
“รดา เที่ยงแล้วทานข้าวจะได้ทานยา” เด็กสาวกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ขนาดแม่บ้านที่เปิดประตูนำอาหารเข้ามาจัดขึ้นโต๊ะเธอยังไม่รู้สึกตัว
“ค่ะ ขออีก5นาทีนะคะ หนูขออ่านหน้านี้ให้จบก่อน” เด็กสาวในชุดคนไข้ยังสนใจหนังสือในมือ กลิ่นหอมของอาหารที่โชยไปทั่วห้องยังไม่สามารถเรียกความสนใจจากเธอได้ นั่งอ่านหนังสือมาจะสามชั่วโมงติดไม่มีแม้แต่จะลุกไปเข้าห้องน้ำ
“รดา ลุกมาทานข้าวก่อน หนังสือพวกนั้นค่อยอ่านต่อก็ได้” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกเป็นครั้งที่สอง ร่างอรชรจำต้องวางหนังสือในมือลง ลุกขึ้นสาวเท้าเดินตรงไปยังโซฟาที่มีชายหนุ่มนั่งรออยู่ก่อน พร้อมกับอาหารน่ารับประทานอยู่เต็มโต๊ะ
“หนูขอแค่5นาที ทำไมคุณหมอต้องดุด้วยคะ” สะโพกเล็กกระแทกนั่งลงโซฟา ใบหน้าเรียวเล็กง้ำงอเล็กน้อยเอ่ยถามเสียงกระเง้ากระงอด
“ผมเรียกคุณครั้งแรกตอนเที่ยงห้านาที ตอนนี้เที่ยงสิบห้านาทีกับอีกสามสิบวิ..ตรงไหนที่บอกว่าแค่ห้านาที” กองทัพตอบกลับเสียงเรียบเน้นเสียงประโยคสุดท้าย พร้อมกับลงมือทานข้าวโดยมีเด็กสาวนั่งหน้างอไม่พอใจอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ดุจังเลยนะ อยากรู้จริงๆ ว่าเวลาอยู่กับแฟนจะดุแบบนี้ไหม” รดาบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว สายตาคมเข้มตวัดขึ้นมอง ริมฝีปากบางหุบเข้าหากันทีเมื่อโดนดุครั้งที่สองทางสายตา มือเรียวเล็กยื่นไปหยิบแอปเปิลเข้าปากและเบนสายตามองไปทางอื่น
“กินข้าวก่อน แล้วค่อยกินผลไม้” กองทัพดุเป็นครั้งที่สาม
“กินอะไรก่อน ก็ไปรวมกันอยู่ในท้องเหมือนกันนั่นแหละค่ะ” รดาเถียงกลับทันควัน
“ทำไมเดี๋ยวนี้เถียงเก่งจัง”
“คุณหมอพูดเหมือนเราเคยรู้จักกันมาก่อนเลยนะคะ”
“รีบกินข้าวรดา เพื่อนคุณมารออยู่ที่ห้องแล้ว” ก่อนหน้าเขาได้รับสายจากเจ้าหน้าที่ด้านล่างโทรมาแจ้งว่ามีคนมาขอเยี่ยมคนไข้พิเศษของเขา จึงสั่งให้ขึ้นมารออยู่บนห้องเพราะตอนนี้ได้เวลาทานอาหารเที่ยงพอดี ขืนปล่อยให้ไปเจอเพื่อนตอนนี้มีหวังคุยกันเพลินข้าวปลาไม่ได้กินกันพอดี
“เพื่อนหนูมาแล้วเหรอคะ ทำไมคุณไม่บอกหนูล่ะคะ” รดาถามกลับอย่างร้อนรน
“ทานข้าวทานยาให้เสร็จก่อน แล้วค่อยออกไป” เสียงเรียบสั่งปนดุออกไป ทำให้เด็กสาวที่กำลังตั้งท่าจะลุกต้องนั่งกลับลงที่เดิม
รดานั่งลงทานข้าวต่อย่างเงียบๆ กุ้งแม่น้ำทอดกระเทียมตัวใหญ่ถูกแกะโดยฝีมือคุณหมอหนุ่ม ตักมาวางบนจานของเด็กสาว
“หนูไม่ทานไข่นะคะ เดี๋ยวแผลจะเป็นแผลเป็น” ไข่เจียวปูคำโตถูกเขี่ยไปไว้ด้านข้างจานโดยไม่นึกเสียดายเนื้อปูก้อนโตแม้แต่น้อย
“เอาความคิดนี้มาจากไหน ไข่ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เกิดคีลอยด์ แต่ไข่มีโปรตีนช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างหาก ส่วนอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือน้ำตาล คาเฟอีน อาหารที่มีไนเตรทสูง” กองทัพอธิบายให้เด็กสาวฟังอย่างละเอียด เพราะจะได้ไม่เข้าใจผิดๆ แบบนั้นอีก
“เข้าใจแล้วค่ะ คุณหมอ..” รดาตอบกลับลากเสียงยาวพร้อมกับตักไข่เจียวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ
“หนูทานข้าวทานยาเสร็จแล้ว ไปได้หรือยังคะ” รดาเอ่ยถามขึ้นเมื่อวางแก้วน้ำลงหลังทานยาเสร็จ
“เชิญครับ..คนไข้”
“ขอบคุณค่ะคุณหมอ แล้วหนังสือเล่มนั้นหนูขอเอากลับไปอ่านต่อที่ห้องได้ไหมคะ” ฝีเท้าเล็กหยุดชะงัก เอี้ยวตัวหันกลับมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมสิ่งสำคัญไว้
“ถ้าอยากอ่านก็มาอ่านที่นี่” รดาทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย เดินกระทืบเท้าไม่พอใจออกจากห้องไป
“งอนเก่งชะมัด” กองทัพถึงกับส่ายหัว นั่งบ่นอยู่คนเดียวเมื่อคนตัวเล็กก้าวเท้าพ้นขอบประตูห้องออกไป
แอ๊ด……
“สวัสดีพวกแก มานานหรือยัง” รดาเอ่ยทักทายกลุ่มเพื่อนที่นั่งดูทีวีรออยู่โซฟาห้องรับแขก
“นานมากค่ะชะนี นึกว่าไปกินข้าวที่ฝั่งธน” เป็นเชอรี่ที่ตอบกลับเสียงดัง
“นี่ก็รีบมากแล้ว ไหนบอกว่ามาบ่ายไงนี่พึ่งเที่ยงเองนะ”
“อาจารย์ยกคลาส แล้วนี่แกไปกินข้าวที่ไหนมา ทำไมเขาไม่ยกข้าวมาส่งแกที่ห้อง โรงพยาบาลก็ดูใหญ่โตหรูหราทำไมถึงให้คนไข้เดินไปกินข้าวเอง..ฉันล่ะงง” เชอรี่บ่นออกไปเมื่อมาแล้วไม่เจอเพื่อน ดีนะที่เขาอนุญาตให้เข้ามานั่งรอในห้องได้
“ปกติเขาก็เอามาส่งที่ห้องแหละ แต่พอดีฉันอ่านหนังสืออยู่ห้องคุณหมอเขาเลยยกไปส่งที่โน่น” รดาตอบกลับเพื่อนตามความจริงเพราะไม่อยากให้เพื่อนเข้าใจผิด ทางโรงพยาบาลจะเสียหายเอา
“ฮะ! อะไรนะ แกไปอ่านหนังสือที่ห้องคุณหมอแล้วแกก็นั่งกินข้าวกับหมอที่ห้องของหมอ” ทุกคนอุทานร้องเสียงหลงจนรดาเองก็ตกใจ
“ทำไมพวกแกต้องเสียงดังขนาดนั้น นี่ฉันพูดอะไรผิด”
“แกเป็นคนไข้ แล้วทำไมถึงไปนั่งอ่านหนังสือในห้องหมอได้ ที่สำคัญคนไข้กับหมอเขานั่งทานข้าวด้วยกันหรือไง แกรู้จักเขามาก่อนเหรอรดา” เชอรี่ถามขึ้นอย่างแปลกใจ จ้องหน้ารดาเพื่อเอาคำตอบ
“หมอแก่โรคจิตหรือเปล่าแก หลอกคนไข้ไปทำมิดีมิร้ายในห้องตัวเอง” ระหว่างที่เพื่อนๆ ต่างพากันจินตนาการไปต่างๆ นานา เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“รดา คุณลืมหยิบผลไม้มาด้วย” กองทัพในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสแลคสีดำเดินถือจานผลไม้เข้ามาในห้อง มือหนาวางจานผลไม้ลงบนโต๊ะท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองไปยังชายหนุ่ม
“เอ่อ..พวกแก นี่คุณหมอเธียรวิชญ์ เป็นคุณหมอที่ช่วยรักษาฉัน” รดารีบเอ่ยแนะนำทันทีเพราะเพื่อนๆ มัวแต่จ้องหน้าชายหนุ่ม
“สวัสดีค่ะคุณหมอ” ทุกคนต่างพากันยกมือไหว้คุณหมอที่อายุเยอะกว่าอย่างมีมารยาท
“สวัสดีครับ ผมขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะครับ” เมื่อพูดจบกองทัพก็หันหลังเดินเปิดประตูกลับออกไปทันที
“ชะนี หมอหล่อขนาดนี้ทำไมแกไม่บอกพวกฉัน ปล่อยให้พวกฉันใส่ร้ายเขาตั้งนาน”
“แล้วพวกแกปล่อยให้ฉันอธิบายหรือเปล่าล่ะ เอาแต่มโนไปต่างๆ นานา” รดาว่าให้เพื่อนก่อนจะหยิบสตอเบอรี่สีแดงสดเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย
“แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ดูจากผลไม้จานนี้แล้ว แกกับหมอต้องมีซัมติงอะไรบางอย่างแน่นอน”
“แกรู้จักเขาเหรอรดา” เพื่อนๆ ต่างพากันรัวคำถามใส่รดากันใหญ่
“เปล่า แต่คุ้นๆ เหมือนเคยรู้จักที่ไหน แต่ฉันจำไม่ได้” รดาเองก็คุ้นเสียงชายหนุ่มเหมือนกันแต่พยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก
“แล้วแกได้ถามคุณหมอหรือเปล่า ว่าเขาเคยรู้จักแกหรือเปล่า”
“ถามแล้ว เขาบอกว่าถ้าฉันจำไม่ได้ก็แสดงว่าไม่เคยรู้จัก”
“เออ..รดา แล้วใครจ่ายค่าโรงพยาบาลให้แก ดูจากห้องพักแล้วราคาต่อคืนคงหลายหมื่น” อิงเอยถามขึ้นเพราะห้องพักระดับนี้น่าจะตกคืนละหลายหมื่นเพื่อนเธอคงไม่มีเงินจ่าย แค่ลำพังหาเงินส่งตัวเองเรียนก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด
“คุณหมอบอกว่า คู่กรณีฉันเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดน่ะ” คำตอบของรดาเมื่อเพื่อนทุกคนได้ฟังต่างสบายใจ เพราะก่อนหน้านั้นก็พากันเครียดว่าเพื่อนจะไม่มีเงินจ่าย
“คู่กรณีแกรวยมากเหรอ รถที่เฉี่ยวแกเป็นรถอะไร”
“รถเก๋งธรรมดานะ ตอนแรกเขาบอกว่าเขาไม่ค่อยมีเงิน รถมอเตอร์ไซค์ฉันเขายังขอผ่อนค่าซ่อมคืนให้ทีหลังเลย แต่พอฉันมาถึงโรงพยาบาลคุณหมอกลับบอกฉันว่าคู่กรณีรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ฉันเองก็ยังงงอยู่” รดาเองก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็สงสารคู่กรณีเหมือนกันที่ต้องหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เธอ
“ไม่ต้องสงสัยค่ะชะนีทั้งหลาย เชอรี่คนสวยจะหาคำตอบให้เอง”
ตอนที่34 งานแต่งงาน 5 เดือนผ่านไปหลังจากที่ญาดาพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนานนับเดือนก็ได้กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้าน จนมาถึงวันนี้ร่างกายเริ่มดีขึ้นใกล้จะกลับมาเป็นปกติเกือบร้อยเปอร์เซ็นทางด้านผู้ใหญ่ของกองทัพก็รับรู้และยินดีที่ลูกชายคนเล็กของบ้านจะมีแฟน ที่สำคัญที่บ้านคุณหมอหนุ่มยังรู้ดีตั้งแต่ต้นว่าลูกชายตัวเองแอบหลงรักเด็กผู้หญิงที่อยู่เมืองไทย เพราะตลอดระยะเวลาที่ชายหนุ่มไปเรียนเมืองนอกกว่าสิบปีไม่เคยมีแฟนเลยสักคน ชีวิตมีแต่เรียนกับสนามแข่งรถ และยังแอบพกรูปเด็กผู้หญิงผมเปียติดตัวตลอดเวลาถึงขนาดใส่กรอบเล็กๆ วางไว้ในห้องนอนการคบหาระหว่างทั้งสองคนอยู่ในการรับรู้และยินดีจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย แต่มีอีกหนึ่งคนที่จะดีใจมากเป็นพิเศษคงหนีไม้พ้น..ทัพบก ผู้ที่ใฝ่ฝันอยากมีน้องสาวเป็นของตัวเอง และหลงรักเด็กสาวตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรกเมื่อตอนสั่งอาหารแล้วไรเดอร์สาวขับรถมอเตอร์ไซค์ฝ่าสายฝนที่ตกหนักเพื่อนำอาหารมาส่ง เด็กสาวที่เปียกปอนไปทั่วตัวแต่ก็ยังยิ้มร่า เด็กสาวที่มีรอยยิ้มสดใสให้ทุกครั้งที่เจอกัน เด็กสาวที่อยากได้มาเป็นน้องสาวที่น่ารัก อ้อนเก่ง“รดา อาทิตย์หน้าตารางงานพี่ว่างเราพาคุณแม่ท่าน
ตอนที่33 คำตอบจากแม่ยาย ครืด ครืด ครืด เสียงโทรศัพท์รดาที่วางอยู่โต๊ะข้างหัวเตียงดังขึ้น“สวัสดีครับ” กองทัพหยิบมากดรับสายเมื่อเห็นว่าคนที่โทรเข้ามานั้นคือพี่ชายของเด็กสาว“คุณหมอเหรอครับ”“ครับ ตอนนี้รดาหลับอยู่ครับ คุณธนามีธุระด่วนจะคุยกับรดาไหมครับ ผมจะปลุกเธอให้”“ไม่มีครับ แค่ผมกลับมาที่ห้องพักแล้วไม่เจออยู่ที่นี่เลยโทรหานะครับ”“รดาหลับอยู่ที่ห้องทำงานผมครับ ช่วงเย็นคุณป้าน่าจะย้ายขึ้นมาพักฟื้นที่ห้องนี้นะครับ”“ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ ผมไม่รบกวนแล้ว สวัสดีครับ”หลังจากที่วางสายเสร็จกองทัพก็ลุกเดินออกจากห้องไปและลงไปยังชั้นสามเป็นแผนกหัวใจและทรวงอก ห้อง ICU ที่อยู่ติดกับเคาน์เตอร์พยาบาลซึ่งมีคนไข้ชื่อญาดานอนรอดูอาการอยู่หลังการผ่าตัด“คนไข้เป็นอย่างไรบ้างครับ” กองทัพเดินเข้าไปในห้องพร้อมหยิบชาร์จที่เสียบอยู่ที่ปลายเตียงขึ้นมากวาดสายตาอ่าน“ความดันปกติ ชีพจรเต้นคงที่ คนไข้ฟื้นแล้วหลังจากออกจากห้องผ่าตัด ปฏิกิริยาทุกอย่างปกติและพึ่งหลับไปเมื่อสักครู่ค่ะ”“ร่างกายตอบสนองต่อการรักษาดี ช่วงเย็นรายงานอาการให้ผมทราบอีกที ถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงผมจะย้ายคนไข้ขึ้นไปพักฟื้นด้านบน” เหมือนยกภ
ตอนที่32 รางวัลคนเก่ง “รางวัลพี่ล่ะครับ” เมื่อทั้งสองกลับขึ้นมาบนห้องพักส่วนตัวยังไม่ทันที่ประตูปิดสนิทดีคุณหมอหนุ่มก็ทวงถามหารางวัลทันที“รางวัลอะไรของคุณ รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วค่ะมีแต่กลิ่นแอลกอฮอล์” มือเล็กออกแรงผลักตรงหลังให้เดินไปยังห้องน้ำเพราะตอนนี้เธอแทบจะทนดมกลิ่นแอลกอฮอล์ในตัวชายหนุ่มไม่ไหว"นวดไหล่ให้พี่หน่อย ผ่าตัดตั้งหลายชั่วโมง..เมื่อยมาก" ยังไม่ทันที่รดาจะหันหลังออกจากห้องน้ำก็เจอเสียงอ้อนของคุณหมอหนุ่ม“อาบเสร็จแล้วเดี๋ยวหนูนวดให้นะคะ” รดาไม่ได้ปฏิเสธเลยทีเดียวแต่เลือกที่จะยื่นข้อเสนอต่อรองหรือเรียกอีกอย่างว่าการเอาตัวรอด“ต้องแช่น้ำอุ่นแล้วนวดไปด้วยกล้ามเนื้อถึงจะผ่อนคลาย” หลักการทางกายภาพถูกงัดขึ้นมาต้อนเด็กสาวให้จนมุม“เดี๋ยวเสื้อผ้าหนูเปียก ไม่มีชุดใหม่เปลี่ยน”“พี่สั่งให้เอกซื้อมาให้หนูใหม่แล้วสิบชุด อยู่ในตู้” เกมโอเวอร์สุดท้ายรดาก็เป็นฝ่ายแพ้ เดินไปเปิดน้ำอุ่นและผสมสบู่ลงในอ่างกุชชี่ขณะที่กองทัพจัดการถอดเสื้อผ้าออกจนหมดและตอนนี้มีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่พันรอบเอว“ว๊าย! คุณจะทำอะไรคะ” เชือกที่ผูกอยู่ที่เอวคอดถูกดึงออกโดยฝีมือของชายหนุ่มที่ตอนนี้ยืนซ้อน
ตอนที่31 หน้าห้องผ่าตัด“ขอโทษครับผมลืมเคาะประตู” ทั้งสองผละออกจากกันอัตโนมัติเหมือนเกิดแรงผลักของประจุไฟฟ้าขั้วบวกกับขั้วบวกหน้าห้องผ่าตัดเจ้าหน้าที่เข็นเตียงผู้ป่วยออกจากห้องพักหลังจากเตรียมความพร้อมก่อนทำการผ่าตัดมายังห้องผ่าตัดแผนกศัลยกรรม หญิงวัย 58 ปีนอนหน้าซีดปากซีดไร้เลือดฝาดอยู่บนเตียงสีหน้าเป็นกังวล“แม่คะ แม่ต้องสู้นะคะหนูกับพี่ธนาจะรอแม่อยู่ด้านนอก คุณหมอเก่งมากแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ” มือเรียวเล็กทั้งสองข้างยื่นไปกุมมือผู้เป็นมารดาด้านที่มีสายน้ำเกลือเสียบคาอยู่และอีกข้างก็มีเครื่องวัดออกซิเจนติดอยู่“จ๊ะลูก” ญาดาตอบกลับบุตรสาวเสียงแผ่วใบหน้าฝืนยิ้ม ยกมืออีกข้างมากุมมือบุตรสาวและบุตรชายออกแรงบีบเล็กน้อย“ผมกับน้องรอแม่อยู่ด้านนอกนะครับ” เสียงทุ้มอ่อนนุ่มสั่นเครือเล็กน้อยของชายหนุ่มคนที่ดูแลแม่มาตั้งแต่ผู้เป็นบิดาเสียไป ถึงข้างนอกจะดูเข้มแข็งแต่ข้างในก็แอบกลัวอยู่ไม่น้อยเพราะรู้ถึงสุขภาพร่างกายของผู้เป็นมารดาอย่างดีว่าตอนนี้เข้าขั้นวิกฤตแค่ไหน“ธนาอย่าลืมที่สัญญากับแม่นะลูก” ก่อนเข้าไปด้านในยังไม่ลืมย้ำเตือนบุตรชายคนโตอีกรอบ“ครับแม่ แม่ก็อย่าลืมที่สัญญากับผมไว้นะครับ ว่าแม่
ตอนที่30 สู่ขอไม่เป็นทางการ“รดา พี่เอาหนังสือมาให้เผื่อหนูอยากอ่าน” กองทัพเปิดประตูเข้ามาได้จังหวะได้ยินตอนที่รดาคุยกับพี่ชายพอดี“ถามผมก็ได้ครับ ผมยินดีแสดงความบริสุทธิ์ใจทุกอย่าง” กองทัพเดินเข้าหยุดยืนขนาบข้างเด็กสาว ในมือยังถือหนังสือวารสารด้านธุรกิจของต่างประเทศที่รดาชอบอ่าน ซึ่งเล่มนี้เป็นเล่มใหม่ที่เขาฝากเพื่อนซื้อมาพึ่งส่งมาถึงเมื่อวันก่อน"ความจริงผมก็ไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของพวกคุณหรอกนะครับ แต่ฐานะการใช้ชีวิตของพวกเรากับคุณมันต่างกันมาก” ธนาชี้แจงเหตุผลให้คุณหมอหนุ่มฟังอย่างนอบน้อมและมีเหตุผล“ผมเข้าใจครับ และก็ไม่แปลกใจที่คุณจะเป็นห่วงรดา เราไม่เคยเจอกันหรือรู้จักกันมาก่อน พอเจอกันครั้งแรกผมก็มาแนะนำตัวในฐานะคนรักของน้องสาวคุณ เป็นใครก็ตกใจครับ แต่ผมอยากจะบอกคุณว่าผมกับรดารู้จักกันตั้งแต่ห้าปีก่อนตอนที่ผมยังเรียนแพทย์อยู่ที่โปแลนด์ แค่ขาดการติดต่อกันไปช่วงที่ผมไปต่อfellowที่อเมริกา มาเจอกันอีกครั้งตอนที่รดาเกิดอุบัติเหตุเมื่อสี่เดือนก่อนและได้เรียนรู้กันอย่างจริงจังช่วงที่รดาไปฝึกงานที่บริษัท คุณอาจจะมองว่าระยะเวลามันสั้นแต่เชื่อเถอะครับว่าผมรักเธอจริงๆ ผมรีบทำหน้าที่ของ
ตอนที่29 พบแม่ยายในฐานะแฟนของลูกสาวช่วงสายของอีกวัน“รดาตื่นได้แล้วครับ สายแล้วนะ” กองทัพเดินมาหย่อนสะโพกข้างขอบเตียง เสียงทุ้มนุ่มก้มลงกระซิบข้างหูคนตัวเล็กที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียง“อือ..หนูขออีกห้านาที” เสียงครางงึมงำในลำคอ ตาสองข้างยังปิดสนิท“หมดแรงขนาดลุกไม่ขึ้นเลยเหรอ หืม” หนวดเคราที่กำลังขึ้นเป็นตอสีดำเสียดสีกับลำคอใต้ซอกใบหูจนคนที่นอนหลับอยู่รู้สึกจักจี้จากการรบกวน“พี่หมอ หนูขออีกห้านาทีนะคะ” เสียงหวานเอ่ยอ้อนคว้ามือหนาที่วางพาดอยู่บนตัวเข้ามากอดแนบใบหน้า จนกองทัพทำตัวไม่ถูกจำต้องจำยอมตามคำขอและทำได้เพียงนั่งนิ่งๆ รอเวลา“หนูครับ วันนี้พี่จะพาหนูไปเยี่ยมคุณแม่ที่โรงพยาบาล ถ้าไม่ยอมตื่นคุณแม่ท่านจะรอนานเอานะครับ” สิ้นคำพูดรดาก็ดีดตัวลุกขึ้นจากที่นอนทันที“คุณจะพาหนูไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลจริงๆ เหรอคะ” ร่างบางโผเข้ากอดชายหนุ่มอย่างลืมตัว หน้าอกคัพB ใต้เสื้อนอนตัวเล็กเสียดสีกับอกแกร่งจนกองทัพสัมผัสถึงความนุ่มเด้งได้“ถ้ายังอยากไปเยี่ยมแม่ พี่แนะนำให้ปล่อยพี่ก่อนครับ ก่อนที่หนูจะต้องนอนหมดแรงอยู่บนเตียงจนออกไปไหนไม่ได้” เสียงกระท่อนกระแท่นเอ่ยบอกติดๆ ขัด ขณะที่จิตสำนึกกำล