หลังจากที่หลงเหยาเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปตามหานเจียเจิงผู้เป็นพ่อและหานเจี้ยนหยีพี่ใหญ่ของเขาตัวหลินเฟิงจึงค่อยๆ หยิบดินเผาที่ต้มรากบัวในนั้นมาถ้วยหนึ่งก่อนจะตักขึ้นมาเป่าให้เย็น
"ในนี้คือต้มรากบัวมันมีรสหวานอ่อนๆ เจ้าไม่ควรกินของรสจัดรากบัวนี้ไม่มีพิษเหมือนเห็ดที่เจ้ากินเข้าไปเมื่อเช้าหรอกนะ"
เธอพูดคาดโทษหญิงสาวตัวน้อยที่นั่งเอามือกุมท้องเบาๆแต่อย่างน้อยเด็กสาวก็ไม่ร้องไห้ทุรนทุรายแล้วละ
"รากบัวกินได้ด้วยเหรอพี่สะใภ้ใหญ่ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย"
หญิงสาวถามเสียงอ่อนน้ำเสียงของเธอดีขึ้นกว่าตอนที่พูดกับเธอก่อนหน้านี้มากโข จนจางหมิ่นเองยังปรับตัวด้วยไม่ทันเลย
"อืมกินได้สิอร่อยด้วยลองกินดูนะ"
เธอค่อยๆป้อนน้ำซุปของต้มรากบัวเข้าปากเด็กสาวจื่อรุ่ยอย่างอ่อนโยนแววตากลมโตของเด็กสาวก็ลุกเป็นมันวาวอย่างประหลาดใจจากน้ำซุปรสละมุน ที่ออกหวานนิดๆมันเป็นรสชาติที่เธอโหยหามาหลายปีจนแทบจะลืมว่าหวานรสชาติเป็นอย่างไร
"อร่อยจัง ท่านทำอาหารเป็นด้วยหรือข้าไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยท่านคงไม่ได้คิดจะวางยาข้าใช่มั้ย"
เมื่อจบประโยคของจื่อรุ่ยหลินเฟิงถึงกลับกั้นขำแทบตายเพราะเด็กน้อยคนนี้ไร้เดียงสาเสียจริงแต่ก็คงผ่านมรสุมชีวิตมาเยอะถึงได้หวาดระแวงเช่นนี้ หรือไม่คงจะเป็นตัวของเธอเองที่ไม่เคยประพฤติตัวดีๆกับเด็กสาวคนนี้เลยนั่นทำให้เธอยิ่งหวาดระแวงทุกการกระทำที่จางหมิ่นทำให้เธอ
ไม่นานหรงเหยาก็กลับมาพร้อมชายหน้าตาที่โมโหโกรธาจางหมิ่นก่อนหน้านี้และชายชราหลังค่อมที่สูงเพียงหน้าอกของเจี้ยนหยีเท่านั้น
ก่อนที่ชายทั้งสามคนจะเดินมานั่งล้อมโต๊ะกินข้าวเก่าๆที่หากลมพัดก็คงจะหักพังจนหมดเป็นแน่จางหมิ่นเอาถ้วยดินต้มรากบัวให้จื่อรุ่ยตักกินเองหลังจากที่เห็นว่าอาการของเธอเริ่มดีขึ้นแล้ว
มือเรียวสวยเริ่มจัดแจงถ้วยดินเผาไว้ข้างหน้าชายวัยต่างกันทั้งสามคนอย่างพร้อมเพรียงแม้นจะมีความกังวลอยู่ในใจบ้างว่าอาหารในถ้วยนี้จะมีพิษ
แต่พอมองไปที่สาวน้อยจื่อรุ่ยที่ตักกินอย่างเอร็ดอร่อยก็ทำให้พอจะวางใจได้สักหน่อยว่าอาหารนี้น่าจะปลอดภัย
ชายทั้งสามคนก็ลองกินอาหารในถ้วยดินดูชายแก่ถึงกลับน้ำตาเอ่อไหลลงอาบแก้ม จางหมิ่นเริ่มเป็นกังวลว่าชายชราจะแพ้รากบัวหรือป่าว
แต่เจี้ยนหยีที่ได้กินไปสองถึงสามคำและสังเกตเห็นสีหน้าเป็นกังวลของหลินเฟิงจึงบอกกับเธอเบาๆ
"ท่านพ่อไม่ได้เป็นอะไรเพียงแต่รสชาตินี้คล้ายที่ท่านแม่เคยทำให้กินก่อนจะล่องเรือเพื่อไปทำการค้าแต่พอท่านแม่จากไปก็ไม่เคยได้ลิ้มรสนี้อีกเลย และสระหลังบ้านก็เป็นสระบัวของท่านแม่ ท่านพ่อตัดใจขายไม่ได้จึงต้องขายเรือสินค้าแทนเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้"
ชายหนุ่มเจี้ยนหยีอธิบายหน้าตายแต่น้ำเสียงเขาถึงราบเรียบไม่มีวอนลุ่มจนน่ากลัวเเต่หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แฝงในน้ำเสียงของชายหน้าตายผู้นั้น
ตัวเธอเองถึงจะอยากรู้อยากเห็นแต่ก็ไม่กล้าถามอะไรมากเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยจะดี
"พี่สะใภ้ใหญ่หลินเฟิงอาหารยังเหลืออีกรึไม่ขอรับ"
เสียงหรงเหยาถามอย่างกล้าๆกลัวๆ และสัมผัสได้จากแววตาที่หวานเยิ้มและเป็นประกายของหนุ่มน้อย หรงเหยา หลินเฟิงก็เพียงแต่ฉีกยิ้มจางๆบนริมฝีปากให้นาง
"อยู่ในหม้อดินที่ครัวไฟไปตักเอาเถอะน่าจะเหลืออยู่ระวังด้วยนะมันร้อน"
หลงเหยาเมื่อได้ยินแบบนั้นก็รีบวิ่งเข้าครัวไฟทันทีเขาดูมีความสุขมากๆกับรสชาติใหม่ที่ได้รับเขากินแต่เห็ดจืดๆจนลิ้นแทบตายแล้ว
เขาตั้งหน้าตั้งตาตักจนน้ำต้มกระเด็นลวกมือจนร้องลั่นแต่ก็ไม่ได้หยุดความพยายามที่จะได้ลิ้มรสชาติหวานละมุนอีกครั้งพอได้น้ำต้มรากบัวแล้วก็กลับไปที่โต๊ะกินข้าวดังเดิม
ซึ่งตอนนี้การกินกำลังดำเนินต่อไปเงียบๆทุกคนไม่ได้พูดจากันแต่ก็รู้ว่ามีความสุขมากนี่เป็นคืนแรกและมื้อแรกที่ได้อิ่มท้องอย่างสมบูรณ์
สาวน้อยจอมแก่นอย่างจื่อรุ่ยก็รู้สึกรักใคร่หลินเฟิงขึ้นมาเสียแล้วถึงนางจะไม่ได้ไว้ใจอย่างสุดซึ้งก็ตาม แต่อย่างน้อยๆความสัมพันธ์ของเธอและสาวน้อยจื่อรุ่ยคงจะดีขึ้นมาสักหน่อย
หลังจากที่ทุกคนอิ่มดีแล้วน้ำชาดีบัวก็ถูกรินลงใส่แก้วใบเล็กที่ทำจากต้นไผ่ก่อนจะวางไว้ต่อหน้าทุกคน
"ชาดีบัวเจ้าค่ะบำรุงร่างกาย"
หลินเฟิงพูดอย่างอ่อนโยน และเริ่มจิบชาถึงมันจะไม่ขมมากหน้าเธอก็แอบเปลี่ยนเล็กน้อย
"ไม่คิดว่าเจ้าจะทำอาหารเป็น"
ชายสูงวัยเอ่ยปากชมเป็นครั้งแรก หลังจากที่เข้ามาที่นี่เขาพูดอะไรไม่ออกเลยเพราะรสชาติที่ทำให้ความทรงจำต่างๆในอดีตได้หวนคืนกลับมาอีกครั้ง
เธอเพียงยิ้มให้ชายชราจางๆเพียงเท่านั้นและไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป
หลังจากที่ทุกคนอิ่มท้องกันแล้วอีกทั้งเวลาตอนนี้ก็ล่วงเข้ายามห้ายเข้าไปแล้วจึงแยกย้ายกันไปนอน หลินเฟิงต้องนอนกับเจี้ยนหยีตามประเพณีสามีภรรยาปกติทั่วไป
ในห้องที่มืดพอแต่สลัวๆฟางกระจัดกระจายเต็มห้องมีแสงนวลของดวงจันทร์เล็ดเข้ามาในนี้บ้างพอแต่รำไรชายหนุ่มนั่งลงที่มุมห้องหลังพิงฝาและไม่เข้าใกล้เธอเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อหลังถึงฝาดวงตาคู่นุ่มลึกเหมือนทะเลสีเทาอันกว้างใหญ่ของเขาก็ปิดลงอย่างรวดเร็วเหมือนกลัวว่าหลินเฟิงจะทำอะไรไม่ดีไม่งามกับตนอย่างใดอย่างนั้น
"เจ้าจะนอนก็นอนเถอะอีกเพียงไม่กี่เค่อก็คงยามจื่อแล้วดึกมากแล้ว ในเมื่อวันนี้เจ้าสามารถลุกขึ้นมาเด็ดหญ้าได้พรุ่งนี้ข้าก็จะพาเจ้าขึ้นเขา"
เจี้ยนหยีพูดขณะหลับตาแต่มันก็ทำให้สาวน้อยหลินเฟิงใจเต้นตึกตัก เธออยากเห็นว่าป่าที่อยู่หลังต้นไม้ยืนต้นตายไกลๆที่เธอเห็นเมื่อกลางวันจะเป็นอย่างไรคงแห้งแล้งมากแน่ๆ หญิงสาวจินตนาการจนผล็อยหลับไปในที่สุด
รอรุ่งอรุณที่เธอจะได้เดินทางขึ้นเขาอย่างใจจดใจจ่อแม้นในฝันเธอก็ยังเก็บไปนึกคิด แม้นจะมีเสียง"โครม!" ดังแว่วเข้ามาในฝันบ้างตาม ก็มันเป็นดวงจิตสุดท้ายของเธอก่อนจะมาอยู่ที่นี่ก็ไม่แปลกหรอกที่จะมีแว่วมาบ้าง
ภาพเธอที่ค่อยๆ เดินเข้าไปในป่าลึกเริ่มปรากฏบนความคิดของเธอชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
"จางหมิ่นลูกรักลูกอยู่ที่ไหนได้ยินเสียงแม่มั้ยลูก"
เสียงของหญิงวัยกลางคนดังแว่วมาจากในป่าหญิงสาวกระวนกระวายตามหาเสียงนั่นทันทีที่ได้ยินแต่คงไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิดเพราะเสียงนั้นดังมาจากทุกทิศทุกทางจนเธอไม่สามารถที่จะจับต้นชนปลายได้เลยว่าตรงไหนคือที่มาของเสียง
"จางหมิ่นลูก แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน กลับมาหาแม่เถอะนะลูกรัก"
เสียงนั้นยังคงดังอยู่ในห้วงความคิดของหลินเฟิงไม่สิแค่อยู่ในร่างหลินเฟิงแต่นั่นคือความคิดของจางหมิ่นต่างหากเธอกำลังหลงทางในฝัน
ก่อนที่ภาพทุกอย่างในหัวจะมืดและดับไปทิ้งให้จางหมิ่นหลงทางในความฝันอันน่าค้นหานั้นและลึกลับนั้น
ตอนนี้ร่างกายของหลินเฟิงเหงื่อตกเป็นเม็ดลงบนฟางทั่วร่างกายน้ำตาค่อยๆไหลลงจากแก้มนวลราวลูกพลับสุกที่ปิดสนิทของเธอ
สี่ผ่านไปตอนนี้หลินเฟิงมีลูกสาวสมใจลูกชายฝาแฝดอายุหกขวบส่วนลูกสาวอยู่ในวัยกำลังอายุสองขวบซึ่งกำลังดื้อจนนางเองก็ปวดหัวไม่น้อย “ท่านแม่” เด็กน้อยซูฮวาวิ่งมาหาท่านแม่ด้วยใบหน้าที่มอมแมมคงจะโดนพี่ชายทั้งสามแกล้งมาอีกจึงรีบวิ่งมาฟ้องนางแบบนี้ “เด็กน้อยของแม่เจ้าไปเล่นซนที่ไหนมา” หลินเฟิงอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตักและเช็ดใบหน้าให้ลูกสาวพร้อมกับหอมแก้มไปหนึ่งที “ท่านพี่แกล้ง” ได้ทีจึงรีบฟ้องท่านแม่แต่เด็กน้อยก็ไม่ร้องไห้งอแงตั้งคลอดจนถึงตอนนี้ซูฮวาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายและฉลาดกว่าเด็กในวัยเดียวกัน “น้องหญิงพี่กลับมาแล้ว” เจี้ยนหยีเดินเข้ามาในจวนเห็นนางกำลังเช็ดตัวให้ลูกสาวที่เจี้ยนหยีหวงยิ่งกว่าอะไร “ท่านพี่กลับมาเร็วจังเจ้าค่ะ” หลินเฟิงให้เจี้ยนหยีออกไปซื้อสมุนไพรเพื่อเตรียมไว้สำหรับคนไข้ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้เพราะยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม “พี่คิดถึงน้องกับลูกๆ ใช่ไหมเด็กน้อย” “ท่านพ่อ อุ้มๆ” เด็กน้อยชูแขนให้เจี้ยนหยีอุ้มเขาไม่รอช้าที่จะอุ้มลูกสาวขึ้นมาแนบอกและหอมแก้มซ้ายขวาจนซูฮวาหัวเราะอย่างชอบใจ “คิก คิก คิก”
หกเดือนหลังจากนั้นหลินเฟิงก็ได้ให้กำเนิดลูกชายฝาแฝดเจี้ยนหยีดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ตอนนี้ได้แต่นั่งมองลูกชายทั้งสองที่เพิ่งกินนมแล้วหลับไป “เจ้าจะให้ชื่อว่าอะไร” หานเจียเจิงถามลูกชายที่ดูเหมือนจะไม่ได้คิดชื่อนี้ไว้ “ข้ายังไม่ได้คิดเลยท่านพ่อ” เพราะมัวแต่เป็นห่วงหลินเฟิงไปหน่อยจึงไม่ได้คิดชื่อไว้ให้ลูกชายทั้งสอง “นั้นข้าจะให้ชื่อ พี่คนโตชื่อ จางซิงอี ส่วนคนเล็กชื่อ จางซีห่าวเจ้าว่าดีหรือไม่” หานเจียเจิงหันไปถามลูกชายที่พยักหน้ารับหน้าช่างน่าเกลียดน่าชังยิ่งนัก “ซิงอี แปลว่า คนดีและมีความสุข ส่วน ซีห่าว คือเหมือนฮีโร่ โตขึ้นมาให้เจ้าทั้งสองดูแลพ่อและแม่” “ขอบใจท่านพ่อมาก” “พี่สะใภ้ฟื้นแล้ว” จื่อรุ่ยรีบวิ่งมารายงานพี่ชายและท่านพ่อที่รออยู่หลังจากคลอดลูกหลินเฟิงก็สลบไปเพราะเสียเลือดมาก เจี้ยนหยีเมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงรีบวิ่งไปหานาง “น้องหญิง น้องฟื้นแล้ว” เจี้ยนเข้ามานั่งข้างกายของนางตอนนี้สีหน้าของนางเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อยหมอให้ต้มยากินจนกว่าจะแข็งแรง “น้องอยากเห็นหน้าลูกเหลือเกิน” ถึงแม้จะยังเจ็บปวดอยู่แต่ก็อย
“ข้าแค่มาเยี่ยมน้องสาวของข้า” ซูหรานมองไปที่หลินเฟิงที่ตอนนี้สวยยิ่งกว่าอะไร ในความคิดหลินเฟิงคงตากแดดจนตัวดำและดูผิวนางสิ ขาวเนียนไม่มีที่ติ “พี่หญิงมาหาข้ามีเรื่องอันใด” “เจ้าได้ดีแล้วไม่หันไปดูแลพ่อที่แก่ชราบ้างเลยหรือตอนนี้ทางบ้านมีหนี้สินไปหมด” ตอนนี้ซูหรานกำลังลำบากเพราะที่บ้านมีหนี้สินรัดตัวจากที่เคยมั่งมีตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว “แล้วตอนที่ไล่ข้าออกมาละพวกท่านคิดอะไรกัน เพราะตระกูลหานยากจนท่านจึงให้ข้าแต่งงานแทนและห้ามให้ข้ากลับไปเหยียบที่นั่น” ไม่รู้ว่าทำไมหลินเฟิงถึงมีความทรงจำนั้นภาพต่างๆ ฉายชัดเข้ามาจนหลินเฟิงเองก็แปลกใจ “เจ้ามันเนรคุณ” “หุบปากซะ! แล้วไสหัวออกไป” เจี้ยนหยีมองใบหน้าที่ซูบผอมของซูหรานครอบครัวเขารู้ดีว่านางนั้นร้ายกาจแค่ไหนและยังเคยมาทำร้ายท่านพ่อของเขาอีก “เจ้าคนชั้นต่ำ! กล้าไล่ข้าหรือ” “เจ้าด่าตัวเองหรือเปล่าดูสภาพเจ้าตอนนี้สิดูไม่ได้เลยคุณผู้สูงศักดิ์ทำไมถึงกลายมาเป็นสภาพนี้” หลินเฟิงไม่รู้เรื่องราวอะไรมากกว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แต่งงานออกเรือนมาก็ไม่เคยกลับไปพบหน้าท่านพ่อและพี่สาวอีกเลยแ
ยามเช้าในฤดูวสันต์ตอนนี้ใบไม้ต้นหญ้ากับดูแห้งแล้งเพราะใบไม้ได้ร่วงหล่นลงมากองอยู่เต็มพื้นไปหมดมองไปที่ภูเขาไกลๆ ก็ไม่น่าดูสักเท่าไร อ้วก! “น้องหญิงเป็นอะไร” เจี้ยนหยีได้ยินเสียงเหมือนคนอาเจียนจึงรีบลุกออกจากเตียงและรีบไปหาหลินเฟิงด้วยความห่วงใยไม่รู้ว่านางลุกออกไปจากเตียงตั้งแต่ช่วงเวลาใด “น้องหญิงเกิดอะไรขึ้น!” เจี้ยนหยีเห็นสภาพของนางแล้วจึงรีบเข้ามาดูอาการเพราะใบหน้าที่ซีดไม่มีเลือดฝาดยิ่งทำให้เขาร้อนรนไปหมด “น้องแค่อยากอาเจียน หาเปลือกส้มมาให้น้องหน่อย” ตอนนี้สิ่งที่อยากทำที่สุดคือได้ดมกลิ่นเปลือกส้มช่วงนี้นางมักจะเกลียดกลิ่นอาหารอยู่บ่อยครั้ง “มานั่งรอพี่” เจี้ยนหยีรีบไปหาเปลือกส้มมาให้นางทันทีเพราะกลัวว่านางจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ “หรือว่าที่เราฝันจะเป็นความจริง” หลินเฟิงนึกคิดถึงเรื่องราวที่ฝันเมื่อคืนหรือว่าที่เด็กน้อยทั้งสองมาขออยู่ด้วยนางจะได้ลูกแฝดกัน “น้องหญิงพี่มาแล้ว” “ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ” หลินเฟิงหยิบเปลือกส้มขึ้นมาดมกลิ่นทำให้อาการอยากอาเจียนเวียนหัวเริ่มดีขึ้นมา และใช้มือลูบไปที่หน้าท้อ
“ท่านพี่อย่านะเจ้าคะ” หลินเฟิงร้องออกมาเมื่อเจี้ยนหยีเริ่มจะไม่นอนอยู่เฉยเฉยๆ มือไม้เลื้อยเหมือนกับเถาวัลย์ไม่มีผิด “พี่คิดถึงน้องหญิงมากขอให้พี่ได้ชื่นใจสักนิดเถอะพี่ทรมานเหลือเกิน” เจี้ยนหยีซุกใบหน้าเข้าไปที่ต้นคอของหลินเฟิงและเริ่มซุกไซร้ไปมาจนนางต้องหดคอหนีเพราะเริ่มจั๊กจี้ ข้างนอกอากาศช่างเย็นนักแต่ทำไมตอนนี้ร่างกายเริ่มร้อนร่มขึ้นมา “อื้อออ ท่านพี่ข้าต้องการท่าน” หลินเฟิงครางออกมาราวกับคนกำลังละเมอใบหน้าที่งดงามจ้องมองตากับเจี้ยนหยีอย่างลึกซึ้งมือบางโอบลำคอของเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเจี้ยนหยีจะหายไป “พี่ก็ต้องการน้องหญิง” เจี้ยนหยีสลัดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดสิ้นและจูบปากหลินเฟิงอย่างหิวกระหายมือหนาพยายามที่จะดึงกระชากเสื้อของนางออกจากตัว “อื้อออ อืม ดีเหลือเกินท่านพี่” หลินเฟิงครางออกมาเมื่อเจี้ยนหยีใช้มือกอบกุมกับหน้าอกของนางไว้ส่วนลิ้นหนาก็เลียเข้ากับยอดถันอย่างไม่เกรงกลัวเจ้าของ เจี้ยนหยีก้มตัวลงมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ของสงวนของหลินเฟิงเขาใช้มือแหวกจนเห็นกับกลีบกุหลาบงามที่มีน้ำไหลเยิ้มออกมาอย่างน่าลิ้มลอง และก็ทำอย่างท
เจี้ยนหยีลืมตาขึ้นมาในยามเฉิน (07.00-08.59 น.) สายตาทอดมองไปที่หลินเฟิงที่ยังคงหลับใหลอยู่ข้างกายบนร่างกายมีรอยแดงจ้ำโผล่พ้นผ้าห่มออกมา ชายหนุ่มนึกคิดเรื่องที่ผ่านมาทำให้เขามั่นใจว่านางไม่ใช่หลินเฟิงคนเดิมนิสัยใจคอนางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หลินเฟิงผู้นี้ทำให้เจี้ยนหยีตกหลุมรักยิ่งนักแค่เห็นนางยืนคุยกับชายอื่นเขาก็ทนไม่ได้แล้ว “อื้อ!” หลินเฟิงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่เมื่อยล้าเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาก็พานจะร้องไห้ ไหนเจี้ยนหยีบอกว่ารังเกียจนางทำไมถึงทำเช่นนี้ “ตื่นแล้วเหรอน้องหญิง” หลินเฟิงหันไปมองที่ด้านหลังของนางพบว่าเจี้ยนหยีกำลังส่งยิ้มให้ทำให้หลินเฟิงรู้สึกขนลุกขึ้นมา เจี้ยนหยีเมาจนสมองไม่ปกติไปแล้ว “ภรรยาของข้าเป็นใบ้ไปแล้วหรือ” “เจ้ากินย่าลืมเขย่าขวดหรือไง” “น้องว่าอะไรพี่ฟังไม่เข้าใจ” เจี้ยนหยีทำหน้าสงสัยแต่นางก็ไม่ยอมตอบรับลุกออกจากเตียงจนเจี้ยนหยีถามออกมา “เรื่องเมื่อคืน...” “ท่านกับข้าก็ลืมมันไปเสียเถิด” หลินเฟิงไม่รอให้เจี้ยนหยีพูดนางจึงรีบตัดบทหลินเฟิงไม่ใช่นางเอกที่เสียความบริสุทธิ์แล้วต้องม