คนอื่นทะลุมิติมาเป็นพระสนมพระชายา ทำไมเธอถึงทะลุมิติมาเป็นเมียคนสวนกันเล่า ในนิยายเธอเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ทำไมชีวิตถึงกลายเป็นคนไร้ค่า สวรรค์ไม่ต้องเมตตาลูกก็ได้ถ้าจะทำกันแบบนี้!!!
더 보기ในหมู่นี้มาในชาวเมืองของเสฉวนมักเกิดอุบัติเหตุทางท้องถนนบ่อยครั้ง แต่ซ้ำร้ายที่เหตุมักเกิดในบริเวณจุดเดียวกันราวกับว่าเป็นตัวตายตัวแทน ซึ่งในระยะหลายๆปีที่ผ่านมาก็เห็นจะมีเพียงปีนี้ที่อุบัติเหตุเกิดขึ้นติดต่อกันหลายเคส ร่วมๆก็ย่างเข้าเคสที่ 35 ไปแล้วแพทย์เองก็ทำงานไม่ได้หลับไม่ได้นอนเคยหวั่นใจว่าจะมีเหตุเกิดขึ้นอีกหรือไม่ยิ่งกู้ภัยก็ขยันเก็บเคสมากๆ
ซึ่งในโค้งที่ว่านี้ตั้งอยู่ในที่เป็นทางผ่านออกนอกเมืองแต่กลับมีสถานที่รกร้าง สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าทึบที่มองไม่เห็นทางออก ต้นไม้โค้งงอมาเชื่อมกันบนเหนือถนนราวกับว่าเป็นอุโมงค์ยักษ์ที่พร้อมกลืนกินทุกสิ่งที่ย่างกลายเข้าไป ไม่มีผู้คนอาศัย ดูอับชื้นและวังเวง
แม้จะเป็นตอนกลางวันต้นไม้เหล่านี้ก็ปิดแสงจากดวงอาทิตย์เหมือนกับว่าเป็นตอนกลางคืนอยู่ตลอดเวลาจึงไม่แปลกที่อุบัติเหตุมักจะเกิดขึ้นที่นี่
ผู้คนที่อาศัยในชนบทละแวกใกล้เคียงเล่าลือและล้วนเห็นพ้องต้องกันว่า ทางเส้นนี้ 'น่ากลัว' ซึ่งจะเป็นหัวข้อหยิบยกขึ้นมาตั้งวงนินทาหากจะมีลูกหลานใครในละแวกต้องเดินทางผ่านอุโมงค์นี้ ผู้คนมักจะมากล่าวคำร่ำลาเหมือนกับว่าเป็นวันสุดท้ายแล้วของคนผู้นั้น
เรื่องนี้ถูกนำมาพิจารณาหลายครั้งต่อหลายครั้งรวมทั้งถูกใส่สีตีไข่จนไม่มีใครแน่ใจแล้วว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไรรู้เพียงว่าในนั้นมักจะเกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ
ในรัศมีที่ห่างออกไปประมาณ 2กิโลเมตรกำลังมีรถแล่นมาตามถนนด้วยความเร็วเกินกว่าลิมิตที่เจ้าหน้าที่กำหนดไว้กำหนดพร้อมกับเปิดเพลงเสียงดังและมีอาการเมาจากฤทธิ์สุราด้วยเกินครึ่งทำให้สติจากเดิมที่ไม่มีอยู่แล้วพอมาเปิดเพลงก็ไม่มีสมาธิในการจดจ่อท้องถนนเบื้องหน้าเข้าไปใหญ่
ไม่ทันได้เข้าไปในปากอุโมงค์คนขับก็โดนลิงตัดหน้ารถเขาจึงหักหลบอย่างรวดเร็วจนรถตกลงไปข้างทางโชคยังดีที่เขาไม่ได้เข้าไปลึกอีกหน่อยไม่งั้นคงไม่มีโอกาสได้กลับออกมา
เหตุเพราะบริเวณนั้นยังพอจะมีรถคนในพื้นที่สัญจรไปมาบ้างพอแต่ประปรายทำให้เขาถูกคนพบเห็นและช่วยเรียกรถกู้ชีพให้มานำตัวเขาส่งเข้าโรงพยาบาลในตัวเมืองได้
พอมาถึงเขาต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วนแม้ว่านี่จะเป็นตอนเที่ยงวันก็ตามที่เหล่าหมอและพยาบาลต่างพากันออกไปรับประทานข้าวเที่ยงกันตามประสา
รวมถึงตัวจางหมิ่นด้วยที่ออกมาอ่านหนังสือผ่อนคลายสมองที่ห้องสมุดส่วนกลางของโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่
“แต่ท่านพ่อข้าไม่อยากเข้าหอเลยเจ้าค่ะ หากเข้าไปข้าคงราวกับตกนรกแน่ๆ เลยเจ้าค่ะท่านพ่อ”
จางหมิ่นกำลังอ่านอย่างสนุกสนานและเอาใจช่วยพระเอกเจี้ยนหยี ด้วยความจนทำให้นางเอกอย่างซูหรานรังเกียจเดียดฉันท์เขา ราวกับว่าเขาเป็นตัวเงินตัวทองแต่น้องสาวสุดประสาทของนางเอกกลับชอบพระเอกสะอย่างนั้น
"อืมในเมื่อหลินเฟิงชอบพระเอกแล้วทำไมเจี้ยนหยีจึงไม่มีเธอในสายตาบ้างหรือเพราะเธอค่อนข้างมีเนื้อหนังกว่าพี่น้องหรือ แต่ถ้าเป็นเพราะนิสัยที่ หลินเฟิงหยาบกระด้างแต่ก็สามารถเปลี่ยนกันได้นิ"
จางหมิ่นเพ้อรำพันวิเคราะห์ในสิ่งที่เธอได้อ่านกับตัวเองเบาๆที่มีเพียงตัวเธอเองที่จะได้ยินในสิ่งที่ตนเองพูดออกมาเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสมาธิผู้อื่นในการอ่านถึงแม้ในโซนหนังสือนันทนาการจะมีเพียงเธอที่นั่งอยู่ก็ตาม
'ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด---'
โทรศัพท์จางหมิ่นสั่นราวกับเจ้าเข้าทำให้เธอมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีกับเหตุการณ์ที่เธอกำลังจะได้รับรู้และก็ตามคาดเป็นอย่างที่เธอกังวลจริงๆด้วย
"คุณหมอจางหมิ่นมาที่ห้องผ่าตัดด่วนผู้ป่วยอยู่ในอาการโคม่าแล้ว"
เสียงผู้ชายปลายสายพูดขึ้นทันทีที่เธอรับโทรศัพท์และยังไม่ทันได้เอ่ยปากตอบใดๆสายก็ชิงตัดไปเสียก่อน
หลังจากนั้นเธอก็รีบเร่งวิ่งฝ่าอาคารมากมายเพื่อไปที่ตึกที่เธอประจำการอยู่การจะรีบวิ่งเข้าไปในห้องผ่าตัดซึ่งหน้าประตูมีญาติผู้ป่วยที่นั่งร้องห่มร้องไห้
พอเธอเข้ามาถึงทุกคนก็เตรียมที่จะผ่าตัดเรียบร้อยแล้วเหลือเพียงรอให้เธอมากำกับควบคุมในการผ่าตัดครั้งนี้ทุกวินาทีมีค่าเพราะมันต้องแข่งกับเวลายมทูตที่จะมาเอาชีวิตชายผู้นี้ไป
การผ่าตัดใช้เวลาร่วมถึงประมาณ12ชม.หากตีเป็นตัวเลขกลมๆก่อนจะส่งตัวผู้ชายรายนั้นไปที่ห้องพักฟื้นก่อนจะออกไปคุยกับญาติผู้บาดเจ็บ
"ขอโทษนะคะไม่ทราบว่าใช่ญาติของคุณโจวเฉินรึเปล่าคะ?"
หญิงสูงวัยที่กำลังร้องไห้จนน้ำตาแห้งขลอดเงยหน้าขึ้นมองจางหมิ่นหญิงสาวพยาบาลแสนสวย ก่อนที่หญิงชราคนนั้นพยักหน้าหงึกหงักพร้อมสะอึกสะอื้น ดวงตาแดงก่ำและปูดโปน
"ยินดีด้วยนะคะตอนนี้คุณโจวเฉินพบขีดอันตรายแล้วหากแต่กระดูกซี่โครงหักหลายท่อนจะตักพักฟื้นที่โรงพยาบาลจนกว่าร่างกายจะฟื้นฟูค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วดิฉันขอตัวนะคะ"
เธอพูดด้วยรอยยิ้มปลอบใจและเดินออกมาเพื่อที่จะเตรียมตัวกลับบ้านพระนี่ก็เที่ยงคืนกว่าๆแล้วร่างกายเธอเองก็เริ่มล้าหลายส่วนก็ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพจากการพักผ่อนไม่เพียงพอและไม่เป็นเวล่ำเวลาของเธอ
เธอรีบเดินไปที่รถด้วยสังขารที่อ่อนล้าจากการจดจ่อสมาธิผ่าตัดติดต่อกันหลายชั่วโมงเธอจึงสตาร์ทรถเก๋งที่เธอมีจากการทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเธอเองล้วนๆ
พอเธอขับรถออกไปไม่นานสมองเธอที่เกินจะฝืนไหวก็ค่อยๆปิดตัวเอง ทำให้อวัยวะเธอเริ่มลวนอย่างเช่นดวงตาที่ค่อยๆปิด มือไม้ที่เสียการควบคุม รวมถึงตัวเธอเองที่ฟุบลงกลางพวงมาลัยรถ
ในขณะนั้นได้มีรถพ่วงสวนทางมาทำให้เกิดเหตุปะทะกันขึ้นอย่างจังผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งสัญจรผ่านไปมาในเวลานั้นต่างออกและหยุดรถดูหากแต่ว่าก็มามุงดูเฉยๆ แต่ที่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดกว่านั้นคือรถพ่วงชนแล้วหนีทิ้งไม้เพียงเสียง 'โครม!' กับสภาพรถที่พลิกคว่ำ
กว่าจะมีคนนึกได้ว่าควรโทรแจ้งรถกู้ภัยให้มากู้ชีพผู้หญิงที่นอนเลือดอาบในรถก็เกือบ 10 นาทีตอนนี้แต่ก็ยื้อเวลาให้ชีวิตดวงน้อยๆ ของจางหมิ่นหมดไปช้าๆ อย่างทรมานจากพิษบาดแผล
พอรถกู้ภัยมาถึงเธอเห็นเพียงเสียงวูบวาบที่แยงเข้าตาเธอพร้อมเสียงคนโหวกเหวกอย่างตื่นกลัว ชุดพยาบาลสีขาวโชกไปด้วยเลือด
ตอนนี้พนักงานกู้ภัยกำลังแงะรถเธอแต่ลมหายใจเธอก็รวยรินลงทุกที่ก่อนจะค่อยๆดับไปภาพในดวงตาคู่สวยก็ค่อยๆ เลือนรางไม่นานนักก็เข้าสู่ความมืด
ภาพในความทรงจำของเธอค่อยๆเล่นถอยหลังในจิตใต้สำนึกของเธอที่ยังไม่ดับไป ต้องแต่เหตุการณ์ที่เธอรีบวิ่งไปดูแลเคสผ่าตัดและไล่ลงไปเรื่อยๆ ในแต่ละช่วงชีวิตของเธอที่กว่าจะสอบผ่านเข้ามหาลัยคณะแพทย์ได้เธอต้องตรากตรำร้องไห้บ้างก็อ่านหนังสือจนน้ำตาไหลแล้วภาพก็ฉายไปเรื่อยๆ จนถึงวัยเด็กของเธอที่ยืนดูเด็กแถวบ้านกินไอศกรีมเสียบไม้แต่เธอก็ไม่ได้กินแม้ไอศกรีมจะมีราคาเพียงแค่หยวนเดียวก็ตาม
เธอเฝ้ามองเด็กคนนั้นที่เริ่มร้องไห้น้อยใจในชีวิตของเธอที่อยากจะลิ้มรสไอศกรีมสักครั้งจนเด็กคนนั้นได้มีเป้าหมายที่ชัดเจน ว่าเธอจะหาเงินให้ได้มากพอที่เธอจะสามารถกินไอศกรีมได้มากตามที่เธอต้องการ
ภาพเด็กน้อยใฝ่ฝันไอศกรีมค่อยๆดับไปเปลี่ยนมาเป็นภาพตึกเก่าๆ ทรุดโทรมเถาไม้เถาตำลึงเลื้อยทั่วตัวตึกซึ่งเป็นบ้านเช่าแต่ครอบครัวของเธอเพียงแต่อาศัยอยู่หลังตึกในป่ารกๆ เท่านั้นเพราะยากข้นแค้นนักไม่สามารถที่จะเช่าหรือซื้อบ้านพักในตึกนี้ได้แม้แต่อาหารมื้อเดียวเธอก็ยังไม่ได้มีโอกาสพอที่จะกินให้อิ่มท้องเล็กๆ ของเธอ
ทุกเรื่องราวฉายวนไปซ้ำๆ จนดับไปอย่างสมบูรณ์
สี่ผ่านไปตอนนี้หลินเฟิงมีลูกสาวสมใจลูกชายฝาแฝดอายุหกขวบส่วนลูกสาวอยู่ในวัยกำลังอายุสองขวบซึ่งกำลังดื้อจนนางเองก็ปวดหัวไม่น้อย “ท่านแม่” เด็กน้อยซูฮวาวิ่งมาหาท่านแม่ด้วยใบหน้าที่มอมแมมคงจะโดนพี่ชายทั้งสามแกล้งมาอีกจึงรีบวิ่งมาฟ้องนางแบบนี้ “เด็กน้อยของแม่เจ้าไปเล่นซนที่ไหนมา” หลินเฟิงอุ้มลูกขึ้นมานั่งบนตักและเช็ดใบหน้าให้ลูกสาวพร้อมกับหอมแก้มไปหนึ่งที “ท่านพี่แกล้ง” ได้ทีจึงรีบฟ้องท่านแม่แต่เด็กน้อยก็ไม่ร้องไห้งอแงตั้งคลอดจนถึงตอนนี้ซูฮวาเป็นเด็กเลี้ยงง่ายและฉลาดกว่าเด็กในวัยเดียวกัน “น้องหญิงพี่กลับมาแล้ว” เจี้ยนหยีเดินเข้ามาในจวนเห็นนางกำลังเช็ดตัวให้ลูกสาวที่เจี้ยนหยีหวงยิ่งกว่าอะไร “ท่านพี่กลับมาเร็วจังเจ้าค่ะ” หลินเฟิงให้เจี้ยนหยีออกไปซื้อสมุนไพรเพื่อเตรียมไว้สำหรับคนไข้ไม่คิดว่าจะกลับมาเร็วขนาดนี้เพราะยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม “พี่คิดถึงน้องกับลูกๆ ใช่ไหมเด็กน้อย” “ท่านพ่อ อุ้มๆ” เด็กน้อยชูแขนให้เจี้ยนหยีอุ้มเขาไม่รอช้าที่จะอุ้มลูกสาวขึ้นมาแนบอกและหอมแก้มซ้ายขวาจนซูฮวาหัวเราะอย่างชอบใจ “คิก คิก คิก”
หกเดือนหลังจากนั้นหลินเฟิงก็ได้ให้กำเนิดลูกชายฝาแฝดเจี้ยนหยีดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ตอนนี้ได้แต่นั่งมองลูกชายทั้งสองที่เพิ่งกินนมแล้วหลับไป “เจ้าจะให้ชื่อว่าอะไร” หานเจียเจิงถามลูกชายที่ดูเหมือนจะไม่ได้คิดชื่อนี้ไว้ “ข้ายังไม่ได้คิดเลยท่านพ่อ” เพราะมัวแต่เป็นห่วงหลินเฟิงไปหน่อยจึงไม่ได้คิดชื่อไว้ให้ลูกชายทั้งสอง “นั้นข้าจะให้ชื่อ พี่คนโตชื่อ จางซิงอี ส่วนคนเล็กชื่อ จางซีห่าวเจ้าว่าดีหรือไม่” หานเจียเจิงหันไปถามลูกชายที่พยักหน้ารับหน้าช่างน่าเกลียดน่าชังยิ่งนัก “ซิงอี แปลว่า คนดีและมีความสุข ส่วน ซีห่าว คือเหมือนฮีโร่ โตขึ้นมาให้เจ้าทั้งสองดูแลพ่อและแม่” “ขอบใจท่านพ่อมาก” “พี่สะใภ้ฟื้นแล้ว” จื่อรุ่ยรีบวิ่งมารายงานพี่ชายและท่านพ่อที่รออยู่หลังจากคลอดลูกหลินเฟิงก็สลบไปเพราะเสียเลือดมาก เจี้ยนหยีเมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงรีบวิ่งไปหานาง “น้องหญิง น้องฟื้นแล้ว” เจี้ยนเข้ามานั่งข้างกายของนางตอนนี้สีหน้าของนางเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อยหมอให้ต้มยากินจนกว่าจะแข็งแรง “น้องอยากเห็นหน้าลูกเหลือเกิน” ถึงแม้จะยังเจ็บปวดอยู่แต่ก็อย
“ข้าแค่มาเยี่ยมน้องสาวของข้า” ซูหรานมองไปที่หลินเฟิงที่ตอนนี้สวยยิ่งกว่าอะไร ในความคิดหลินเฟิงคงตากแดดจนตัวดำและดูผิวนางสิ ขาวเนียนไม่มีที่ติ “พี่หญิงมาหาข้ามีเรื่องอันใด” “เจ้าได้ดีแล้วไม่หันไปดูแลพ่อที่แก่ชราบ้างเลยหรือตอนนี้ทางบ้านมีหนี้สินไปหมด” ตอนนี้ซูหรานกำลังลำบากเพราะที่บ้านมีหนี้สินรัดตัวจากที่เคยมั่งมีตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว “แล้วตอนที่ไล่ข้าออกมาละพวกท่านคิดอะไรกัน เพราะตระกูลหานยากจนท่านจึงให้ข้าแต่งงานแทนและห้ามให้ข้ากลับไปเหยียบที่นั่น” ไม่รู้ว่าทำไมหลินเฟิงถึงมีความทรงจำนั้นภาพต่างๆ ฉายชัดเข้ามาจนหลินเฟิงเองก็แปลกใจ “เจ้ามันเนรคุณ” “หุบปากซะ! แล้วไสหัวออกไป” เจี้ยนหยีมองใบหน้าที่ซูบผอมของซูหรานครอบครัวเขารู้ดีว่านางนั้นร้ายกาจแค่ไหนและยังเคยมาทำร้ายท่านพ่อของเขาอีก “เจ้าคนชั้นต่ำ! กล้าไล่ข้าหรือ” “เจ้าด่าตัวเองหรือเปล่าดูสภาพเจ้าตอนนี้สิดูไม่ได้เลยคุณผู้สูงศักดิ์ทำไมถึงกลายมาเป็นสภาพนี้” หลินเฟิงไม่รู้เรื่องราวอะไรมากกว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่แต่งงานออกเรือนมาก็ไม่เคยกลับไปพบหน้าท่านพ่อและพี่สาวอีกเลยแ
ยามเช้าในฤดูวสันต์ตอนนี้ใบไม้ต้นหญ้ากับดูแห้งแล้งเพราะใบไม้ได้ร่วงหล่นลงมากองอยู่เต็มพื้นไปหมดมองไปที่ภูเขาไกลๆ ก็ไม่น่าดูสักเท่าไร อ้วก! “น้องหญิงเป็นอะไร” เจี้ยนหยีได้ยินเสียงเหมือนคนอาเจียนจึงรีบลุกออกจากเตียงและรีบไปหาหลินเฟิงด้วยความห่วงใยไม่รู้ว่านางลุกออกไปจากเตียงตั้งแต่ช่วงเวลาใด “น้องหญิงเกิดอะไรขึ้น!” เจี้ยนหยีเห็นสภาพของนางแล้วจึงรีบเข้ามาดูอาการเพราะใบหน้าที่ซีดไม่มีเลือดฝาดยิ่งทำให้เขาร้อนรนไปหมด “น้องแค่อยากอาเจียน หาเปลือกส้มมาให้น้องหน่อย” ตอนนี้สิ่งที่อยากทำที่สุดคือได้ดมกลิ่นเปลือกส้มช่วงนี้นางมักจะเกลียดกลิ่นอาหารอยู่บ่อยครั้ง “มานั่งรอพี่” เจี้ยนหยีรีบไปหาเปลือกส้มมาให้นางทันทีเพราะกลัวว่านางจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ “หรือว่าที่เราฝันจะเป็นความจริง” หลินเฟิงนึกคิดถึงเรื่องราวที่ฝันเมื่อคืนหรือว่าที่เด็กน้อยทั้งสองมาขออยู่ด้วยนางจะได้ลูกแฝดกัน “น้องหญิงพี่มาแล้ว” “ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ” หลินเฟิงหยิบเปลือกส้มขึ้นมาดมกลิ่นทำให้อาการอยากอาเจียนเวียนหัวเริ่มดีขึ้นมา และใช้มือลูบไปที่หน้าท้อ
“ท่านพี่อย่านะเจ้าคะ” หลินเฟิงร้องออกมาเมื่อเจี้ยนหยีเริ่มจะไม่นอนอยู่เฉยเฉยๆ มือไม้เลื้อยเหมือนกับเถาวัลย์ไม่มีผิด “พี่คิดถึงน้องหญิงมากขอให้พี่ได้ชื่นใจสักนิดเถอะพี่ทรมานเหลือเกิน” เจี้ยนหยีซุกใบหน้าเข้าไปที่ต้นคอของหลินเฟิงและเริ่มซุกไซร้ไปมาจนนางต้องหดคอหนีเพราะเริ่มจั๊กจี้ ข้างนอกอากาศช่างเย็นนักแต่ทำไมตอนนี้ร่างกายเริ่มร้อนร่มขึ้นมา “อื้อออ ท่านพี่ข้าต้องการท่าน” หลินเฟิงครางออกมาราวกับคนกำลังละเมอใบหน้าที่งดงามจ้องมองตากับเจี้ยนหยีอย่างลึกซึ้งมือบางโอบลำคอของเขาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเจี้ยนหยีจะหายไป “พี่ก็ต้องการน้องหญิง” เจี้ยนหยีสลัดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนหมดสิ้นและจูบปากหลินเฟิงอย่างหิวกระหายมือหนาพยายามที่จะดึงกระชากเสื้อของนางออกจากตัว “อื้อออ อืม ดีเหลือเกินท่านพี่” หลินเฟิงครางออกมาเมื่อเจี้ยนหยีใช้มือกอบกุมกับหน้าอกของนางไว้ส่วนลิ้นหนาก็เลียเข้ากับยอดถันอย่างไม่เกรงกลัวเจ้าของ เจี้ยนหยีก้มตัวลงมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ของสงวนของหลินเฟิงเขาใช้มือแหวกจนเห็นกับกลีบกุหลาบงามที่มีน้ำไหลเยิ้มออกมาอย่างน่าลิ้มลอง และก็ทำอย่างท
เจี้ยนหยีลืมตาขึ้นมาในยามเฉิน (07.00-08.59 น.) สายตาทอดมองไปที่หลินเฟิงที่ยังคงหลับใหลอยู่ข้างกายบนร่างกายมีรอยแดงจ้ำโผล่พ้นผ้าห่มออกมา ชายหนุ่มนึกคิดเรื่องที่ผ่านมาทำให้เขามั่นใจว่านางไม่ใช่หลินเฟิงคนเดิมนิสัยใจคอนางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หลินเฟิงผู้นี้ทำให้เจี้ยนหยีตกหลุมรักยิ่งนักแค่เห็นนางยืนคุยกับชายอื่นเขาก็ทนไม่ได้แล้ว “อื้อ!” หลินเฟิงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่เมื่อยล้าเมื่อนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาก็พานจะร้องไห้ ไหนเจี้ยนหยีบอกว่ารังเกียจนางทำไมถึงทำเช่นนี้ “ตื่นแล้วเหรอน้องหญิง” หลินเฟิงหันไปมองที่ด้านหลังของนางพบว่าเจี้ยนหยีกำลังส่งยิ้มให้ทำให้หลินเฟิงรู้สึกขนลุกขึ้นมา เจี้ยนหยีเมาจนสมองไม่ปกติไปแล้ว “ภรรยาของข้าเป็นใบ้ไปแล้วหรือ” “เจ้ากินย่าลืมเขย่าขวดหรือไง” “น้องว่าอะไรพี่ฟังไม่เข้าใจ” เจี้ยนหยีทำหน้าสงสัยแต่นางก็ไม่ยอมตอบรับลุกออกจากเตียงจนเจี้ยนหยีถามออกมา “เรื่องเมื่อคืน...” “ท่านกับข้าก็ลืมมันไปเสียเถิด” หลินเฟิงไม่รอให้เจี้ยนหยีพูดนางจึงรีบตัดบทหลินเฟิงไม่ใช่นางเอกที่เสียความบริสุทธิ์แล้วต้องม
ร่างของเขาถึงแม้จะเสร็จไปแล้วแต่ยังกระแทกต่อได้อีกหลายครั้ง นางพยายามที่จะดันเขาแต่ก็ไร้ผลเพราะมันแทบจะไม่มีแรงเลยด้วยซ้ำ ความแข็งแกร่งของเข้ายังวิ่งเข้าออกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นฤทธิ์ และแล้วเสียงครางจากปากเขาและพลิกตัวขึ้นนอนหงายโอบกอดนางเอาไว้ นางนอนหอบหายใจอย่างหนักหน่วง นางจ้องมองมาที่เจี้ยนหยีอย่างนิ่งๆก่อนจะเอ่ยปากถาม"เจ้าเมาแล้ว""ข้าเมาหรือ ข้ามีสติเจ้ากับข้าคือสามีภรรยา ร่วมหลับนอนกันคือเรื่องปกติ""เจ้าอยากนอนกับข้าหรือ""ข้า..""มิใช่ว่าข้านั้นทำให้เจ้าหึงหวงข้างหรอกนะ เจ้าถึงมีท่าทีเช่นนี้""เรียกข้าว่าท่านพี่""ข้าไม่อยากเรียกเช่นนั้น""ทำไมกัน""ข้าไม่อยากเรียกเช่นนั้น ข้าเคยเรียกเจ้าว่าเจ้าจะให้เรียกท่านพี่ได้อย่างไรกัน""เจ้าคือภรรยาของข้า เรียกท่านพี่ถึงจะถูก""คนยุคนี้แปลกเสียจริง""เจ้าว่าอันใดนะ ข้าฟังไม่ถนัด""ไม่มีอันใดข้าแค่จะบอกว่าเจ้า...""ท่านพี่""อ่า ท่านพี่ก็ได้""ข้าเหมือนบังคับเจ้า""ใช่ ท่านบังคับข้าให้เรียกท่านเช่นนั้น ข้าไม่อยากเรียกด้วยซ้ำไป" หลินเฟิงจับจ้องไปยังผู้เป็นสามีที่เอาแต่ใจตนเอง เวลาปกติเขาไม่เคยที่จะพูดมากเช่นนี้เลยสักครั้ง แต่ในเวลานี
ร่างสูงใหญ่ของเจี้ยนหยีเดินซวนเซไปตามแนวทางจับจ้องไปยังประตูบ้านของตน ร่างกายของเขาขยับตามความเคยชินที่ต้องกลับบ้านในทางนี้ ร่างกายของเขาเซไปมาแต่ก็สามารถพยุงตนเองให้ถึงประตูบ้านได้สำเร็จ เมื่อมาถึงเขาผลักประตูบ้านเข้าไป สายตาจับจ้องไปยังภรรยาของเขา แม้ว่านางจะเงียบขรึมไปบ้าง แต่นางก็หาใช่คนที่สงบเสงี่ยมเช่นสตรีทั่วไป ชอบเถียงเขาอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งนางใกล้ชิดกับคนอื่นเขายิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก ความหึงหวงก่อเกิดขึ้นมาภายในใจ ภรรยาผู้งดงามของเขานั้นกำลังนั่งพับผ้าโดยเพียงปรายตามองมาที่เขาเพียงนิดและไม่สนใจเขาอีก เขาพุ่งตรงไปหานางอย่างรวดเร็วก่อนที่จะดึงนางเขาห้องในทันที"เจ้าจะทำอันใด เจ้าเมามากแล้วอย่าทำเช่นนี้เลย""เจ้าจะดื้อกับข้าทำไมกันกับคนอื่นเจ้าไม่เห็นจะเป็นเช่นนี้เลยสักนิด""เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้ากับใครเจ้าพูดมาให้ดี ข้าไหนเลยจะไปทำเช่นนี้กับคนอื่น เจ้ากล้าใส่ความข้าหรือ!'"เจ้ากับคนผู้นั้นสนิทกันถึงขั้นใกล้ชิดกันเพียงนั้นเลยหรือ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าคือสามี!""แล้วเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าคือภรรยาเจ้า!! อื้อออ!!!"เขาอดทนไม่ไหวปากเล็กๆ นั้นเอาแต่เถียงเขาอยู่อย่างนั้นจนเขาหม
หลินเฟิงเดินเข้ามาในหมูบ้านพร้อมกับหวังจิ้งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหลังเก่าเล็กท้ายหมูบ้านได้ยินเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของหญิงชรา“ท่านยายท่านเป็นอะไร” หลินเฟิงเดินเข้าไปใกล้เห็นยายเฒ่ากำลังนั่งกอดร่างของเด็กชายคนหนึ่งไว้“หลานของข้าป่วยกำลังจะสิ้นใจ ช่วยหลานข้าด้วย” ยายเฒ่าร้องไห้ออกมาอีกรอบ“ท่านยาย” หลินเฟิงจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ และจับมือเพื่อดูชีพจรของเด็กชายผู้นั้น ในเมื่อนางเป็นหมอต้องรักษาชีวิตคนได้จะมาทำตัวไร้ค่าแบบนี้ได้อย่างไร“ข้ามีกันแค่สองคน ท่านโปรดเมตตา” ยายเฒ่าอ้อนวอนขอให้หลินเฟิงช่วย“หลานของท่านยายอาการเป็นอย่างไร” หลินเฟิงไม่รอช้าที่จะถามไถ่อาการ หากพูดตามภาษาบ้านเกิดก็คงป่วยเป็นไข่ป่าสมัยนั้นเครื่องมือแพทย์ทันสมัยแต่ในยุคนี้หลินเฟิงเองก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะรักษาได้หรือไม่“หลานของข้าป่วยมาหลายวันแล้วอาการไม่สู้ดีเลย”“อาจึ้ง เตรียมขิง ไผ่หยก ชะเอมเทศ เปลือกรากโบตั๋น” หลินเฟิงให้หวังจึ้งเตรียมสมุนไพรที่ต้องการให้พร้อม“เราไม่มีอะไรติดตัวมาเลขอรับ”“บ้านข้ามี”หลินเฟิงไม่รอช้าที่จะเตรียมทุกอย่างให้พร้อมนางหยิบจับทุกอย่างจนดูคล่องแคล่วไปหมดแม่แต่หวังจึ้งยังสงสัยว่าหลินเฟ
댓글