บทที่ 12 แบ่งเงิน
พวกเขาทั้งสามช่วยกันขายเนื้ออยู่อีกเกือบ 1 ชั่วโมงเมื่อเห็นว่าเนื้อใกล้จะหมดแล้วจึงได้เก็บของและพวกกันออกมาจากตลาดมืดทันที…ระหว่างทางที่เดินออกมาหยางซีซีตาไวเธอเห็นว่ามีคนนำพวกทองและเครื่องประดับ ภาพวาด แจกันของเก่าโบราณออกมาวางขายกันอยู่หลายร้านทีเดียวเธอหันมองและดวงตาก็วาววับขึ้นมาทันที….คราวหน้าเจอกัน!!!!!
ทั้งสามรีบเดินออกมาจากตลาดมืดแห่งนี้ทันที เพราะถึงจะค้าขายได้ดีขนาดไหนแต่ว่าที่นี่ก็ถือว่าเป็นที่แหล่งผิดกฏหมายและอันตรายมากอยู่ดี และการที่พวกเขามีเนื้อมากมายมาขายก็อาจจะทำให้ถูกเพ่งเล็งได้ เพราะว่าพวกเขาเข้ามาเพียงตะกร้าใบเดียวเหตุใดถึงได้ขายเนื้อไม่หมดสักทีนะสิ หากจะนับรวมๆ แล้วเนื้อที่ขายไปนั้นเกือบ 220 ชั่งได้
เมื่อออกมาจากตลาดมืดแล้วทั้งสามก็ตรงไปที่สหกรณ์แวะซื้อพวกเครื่องปรุงนมผง น้ำตาล เกลือ ซีอิ้ว และเครื่องเทศอีกหลายอย่างและหยางฟู่เหยายังซื้อลูกอมตรากระต่ายไปให้หลานๆ ด้วยถุงใหญ่ หยางซีซีเห็นว่ามีแตงโมลูกไม่ใหญ่นักวางอยู่ รวมทั้งผลไม้หายากอย่างสตอเบอร์รี่และองุ่นที่ไม่รู้หลุดรอดมาได้อย่างไรอยู่ 2 กล่อง เธอจึงหยิบทันทีถึงแม้ว่าราคาของสตอเบอร์รี่จะแพงมากตกกล่องละ 15 หยวนทีเดียวแต่ว่าหยางซีซีนั้นมีแผนการเกี่ยวกับผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้แล้วเธอจึงได้กัดฟันซื้อมันกลับไปด้วยเลย ความจริงเธออยากจะซื้อของมากกว่านี้ เธอเห็นพวกกระทะ หม้อ ชาม ช้อนตะเกียบที่อยู่ในตลาดมืด แต่เพราะว่ารีบจึงไม่ได้แวะซื้อ และอีกอย่างวันนี้พวกเธอรู้ว่าทางบ้านนั้นจะต้องรอแน่นอนจึงได้ซื้อเฉพาะที่จำเป็นก่อน และรีบออกมาจากสหกรณ์และตรงกลับบ้านทันที ต้องทราบว่าราคาสินค้าในสหกรณ์นั้นถูกกว่าในตลาดมืดมากพอสมควร แต่เพราะว่าบางอย่างจำเป็นต้องใช้ตั๋วทำให้คนที่ไม่มีตั๋วเมื่ออยากจะซื้อก็จำเป็นต้องเข้าไปซื้อในตลาดมืดนั้นเอง
ในการค้าขายวันนี้พวกเขารับทั้งเงินหยวนและรับตั๋วชนิดต่างๆ ด้วย และวันนี้ก็ได้ตั๋วมาหลายใบ ทั้งตั๋วผ้า ตั๋วเครื่องใช้ไฟฟ้า จักรยาน ซึ่งมีบางฉบับที่เป็นตั๋วที่สามารถใช้ได้ทั่วประเทศด้วย เพราะในยุคนี้นั้นมีเงินอย่างเดียวบางครั้งก็ไม่สามารถที่จะซื้อของได้ เพราะสินค้าบางชนิดจะมีเงื่อนไขเพิ่มคือจะต้องมีตั๋วจึงจะสามารถซื้อได้ เช่นพวกเนื้อสัตว์ ผ้า จักรเย็บผ้า และพวกของใช้ไฟฟ้าชนิดต่างๆ ซึ่งหากว่าประชาชนไม่มีตั๋วก็ไม่สามารถที่จะซื้อได้ ดังนั้น หยางฟู่เหยาที่เป็นคนรับเงินจึงได้รับหมด
ในขณะที่กำลังรอคิวที่จะจ่ายเงิน หยางซีซีก็หันไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่วางขายอยู่ไม่ไกลนักเธอจึงให้หยางฟู่เหยาซื้อกลับไปด้วย ซึ่งราคาของหนังสือพิมพ์นั้นตกฉบับละ 1 หยวนถือว่าราคาพอรับได้ พวกเธอจ่ายค่าซื้อของไปทั้งหมด 90 หยวน
เมื่อได้ของที่ต้องการมาครบแล้ว ทั้งสามคนก็รีบเดินกลับบ้านด้วยความดีใจที่ได้เงินมาเยอะมากพอสมควร ไหนจะขายเนื้อที่นำมาถูกขายจนหมด พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นกับการเดินทางกลับบ้านในวันนี้เป็นพิเศษแต่แล้วความสุขก็ต้องมาถูกขัดจังหวะ เมื่อพวกเขาพบว่ารถคันสุดท้ายที่วิ่งเข้าหมู่บ้านได้ออกไปแล้ว ทำให้พวกเขาจำต้องเดินเท้ากลับบ้านในวันที่อากาศหนาวเหน็บแบบนี้
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ด้วยพลังงานที่ได้รับจากผักวิญญาณ ทำให้พวกเขาไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม พวกเขากลับรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและสามารถเดินได้เร็วขึ้นกว่าปกติมาก และแม้จะมีของที่ซื้อกลับหลายอย่างแต่เมื่อมันอยู่ในตะกร้ามิติมันก็ไม่ได้หนักอะไรเลย ทำให้การเดินกลับบ้านนั้นไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
ขณะที่กำลังเดินกลับบ้านนั้น ท้องฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มและมีเกล็ดหิมะเล็กๆ ลอยลงมาแตะต้องใบหน้าเบาๆ ยิ่งเดินไปนานเท่าไหร่ หิมะก็ยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสีขาวโพลนไปหมด
แต่ด้วยความแข็งแรงที่ได้รับมา พวกเขาจึงเดินได้เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก และในที่สุดก็มาถึงบ้านเมื่อเวลา 4โมงเย็นพอดี เมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้าน อากาศที่อบอุ่นก็โอบล้อมร่างกายที่เปียกชื้นจากหิมะ พวกเขาทั้งสามคนต่างก็รู้สึกโล่งใจที่ได้กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย
เมื่อทั้งสามคนเปิดประตูบ้านออก ก็พบว่าบรรยากาศภายในอบอุ่นกว่าที่คิดไว้มาก พ่อแม่สามีและสะใภ้ใหญ่ยืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตูบ้านด้วยความเป็นห่วง โดยเฉพาะเจ้าหยางตง ที่นั่งเล่นอยู่ใกล้เตาผิงก็ดูตื่นเต้นที่จะได้เห็นพ่อแม่กลับมา
สะใภ้ใหญ่รีบเดินเข้ามาหาน้องทั้งสาม และช่วยกันสลัดหิมะที่เกาะอยู่ตามเสื้อผ้าออกไปอย่างเบามือ จากนั้นก็รีบไปนำน้ำร้อนที่ต้มเอาไว้รอมาให้พวกเขาได้ดื่มเพื่อคลายความหนาวเย็น ในครอบครัวชาวนายากจนนั้นพวกเขาไม่สามารถที่จะหาซื้อชามาดื่มได้ดังนั้นพวกเขาจึงได้ต้มน้ำร้อนดื่มแทน หลังจากที่ทั้งสามได้ถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นออก และได้จิบน้ำชาอุ่นๆ เข้าไป ร่างกายที่หนาวสั่นก็เริ่มกลับมาอบอุ่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เจ้าหยางตงเมื่อเห็นว่าพ่อแม่กลับมาแล้วเขาก็วิ่งมากอดขาแม่ หยางฟู่เหยาล้วงเข้าไปในตะกร้ามิติและหยิบลูกอมตรากระต่ายออกมาทั้งถุงและให้เขานำไปแบ่งพี่ๆ น้องๆ สะใภ้ใหญ่เมื่อเห็นถุงลูกอมขนาดใหญ่ก็เลยบอกว่าให้กินได้คนละ 2 เม็ดเท่านั้นเพราะเดี๋ยวก็จะกินอาหารเย็นแล้ว เด็กๆ พยักหน้าแรงๆ และแบ่งลูกอมกันคนละ 2 ลูกและพวกเขาต่างก็รีบแกะและโยนเข้าปากทันที...เมื่อความหวานกระจายในปากเด็กๆ ต่างก็ยิ้มและหัวเราะด้วยความสุข
หยางฟู่เหยายื่นตะกร้าให้กับพี่สะใภ้ใหญ่นำไปจัดการต่อส่วนพวกเขาสามคนก็เข้าห้องเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งและสะอาดและกลับออกมาที่ห้องโถงอีกครั้ง ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่หยาง พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ และเด็กๆ ต่างก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว คุณแม่หยางเป็นคนบอกว่าให้ทานอาหารก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องงานกัน
เมื่อทุกคนล้างมือและนั่งลงที่โต๊ะอาหาร ก็พบกับอาหารมื้อเย็นที่จัดเตรียมไว้อย่างน่ารับประทาน บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารมากมาย ชามหมูตุ๋นน้ำแดงสีเข้มส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย ผัดหมูใส่ผักกาดขาวสีเขียวสดดูกรอบน่าทาน ไข่เจียวต้นหอมจานใหญ่ ต้มกระดูกหมูใส่หัวไชเท้าส่งกลิ่นหอมหวานออกมา และกากหมูทอดโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวสีเหลืองกรอบน่าทาน ส่วนของหวานก็มีฟักทองนึ่งสีเหลืองทองหวานนุ่มเตรียมไว้รออยู่
คุณพ่อหยางเป็นคนแรกที่หยิบตะเกียบขึ้นมา คีบเนื้อหมูตุ๋นชิ้นโตสีน้ำตาลเข้มวางลงในชามของคุณแม่หยางอย่างทะนุถนอม ก่อนจะคีบให้ตัวเอง จากนั้นเมื่อทุกคนเห็นคุณพ่อหยิบตะเกียบแล้วพวกเขาก็เริ่มลงมือทานอาหารกันทันที เด็กๆ ต่างก็ตื่นเต้นกับอาหารมื้อเย็นวันนี้ โดยเฉพาะเนื้อหมูตุ๋นชิ้นโตที่พวกเขาได้คนละชิ้น และกากหมูทอดกรอบที่ถูกตักโป๊ะให้เติมชามอยู่ตลอดเวลา
เสียงหัวเราะร่าเริงของเด็กๆ ดังก้องไปทั่วห้องอาหาร บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุข ทุกคนต่างก็กินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะเด็กๆ ที่กินกันอย่างไม่ยั้ง เพราะได้กินอาหารที่ชอบอย่างเต็มที่
ขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับมื้อค่ำอยู่นั้น สายตาของสมาชิกในครอบครัวก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังหยางซีซีอยู่บ่อยครั้ง ท่าทางการรับประทานอาหารของเธอนั้นช่างดูสง่างามและประณีตบรรจงเป็นอย่างยิ่ง ทั้งการวางตะเกียบ การเคี้ยวอาหาร และการกลืนลงคอ ทุกอย่างดูสมบูรณ์แบบราวจนดูราวกับว่ากำลังรับประทานอาหารอยู่ที่วังหลวงอย่างไรอย่างนั้น
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ จากที่เคยเป็นการรับประทานอาหารแบบบ้านๆ ก็เริ่มกลายเป็นบรรยากาศที่ดูสง่างามขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ เหตุผลก็คือท่าทางการกินอาหารที่สง่างามของหยางซีซี ที่ค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในจิตใจของสมาชิกทุกคนในครอบครัว
ทุกครั้งที่หยางซีซียกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ เธอจะทำอย่างนุ่มนวลและสง่างาม นิ้วเรียวค่อยๆ จับที่แก้วน้ำก่อนจะยกขึ้นมาดื่มอย่างช้าๆ หรือเมื่อวางตะเกียบลงบนโต๊ะ เธอก็จะวางอย่างเป็นระเบียบ ไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวน ท่าทางเหล่านี้ดูเรียบง่ายแต่กลับให้ความรู้สึกถึงความสง่างามและความเป็นผู้ดีสูงส่ง
สมาชิกในครอบครัวต่างก็สังเกตเห็นและรู้สึกประทับใจในท่าทางของหยางซีซี พวกเขาเริ่มที่จะเรียนแบบโดยไม่รู้ตัว ทั้งการจับวางตะเกียบ การคีบอาหาร และการเคี้ยวอาหาร ทุกคนพยายามที่จะทำตามอย่างหยางซีซีให้ได้มากที่สุด จนกระทั่งบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เสียงดังจากการเคี้ยวอาหารและเสียงกระทบของชามกับตะเกียบที่เคยดังกังวาน กลับค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ ทุกคนกินอาหารอย่างแผ่วเบาและนุ่มนวลมากขึ้น จนดูราวกับว่ากำลังอยู่ในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่หรูหรา
ส่วนหยางซีซีผู้มาเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของคนในครอบครัวนั้นก็ยังกินอาหารต่อไปเธอมีหันไปยิ้มให้กับลูกๆ ทั้งสองที่ลุยอาหารของตัวเองจนใบหน้าเลอะไปหมดด้วย
ครอบครัวหยางทานอาหารทุกอย่างจนหมด และตอนนี้พวกเขาก็กำลังจิบชาที่หยางซีซีให้หยางฟู่เหยาซื้อมาจากสหกรณ์กันอยู่อย่างสบายใจสบายท้อง ตอนนี้เมื่อทุกคนอิ่มสบายกันหมดแล้ว คุณแม่หยางไล่ให้เด็กๆ ไปเล่นที่เตียงเตาเช่นเดิม
ตอนนี้บนโต๊ะอาหารถูกเก็บและทำความสะอาดหมดแล้วโดยเหล่าสะใภ้ทั้งสาม หยางจิ่งจึงได้นำตะกร้ามิติมาตั้งและเริ่มหยิบของต่างๆ ที่ซื้อมาวันนี้ออกมา เริ่มจากเงินทั้งหมดที่ขายได้วันนี้ เขาหยิบเงินทั้งที่เป็นเหรียญและเป็นธนบัตร และตั๋วออกมากอง บนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบทองคำและเครื่องประดับที่น้องสะใภ้สามซื้อมากองไว้ข้างๆ จากนั้นก็เป็นพวกนมผงมอลล์ 2 กระป๋อง เครื่องเทศต่างๆ ออกมา และผลไม้ทั้ง 3 ชนิด เมื่อเอาของออกมาจากตะกร้าหมด
หยางฟู่เหยาก็ได้เป็นคนรายงานให้ทุกคนได้รู้ทันที
“วันนี้เราขายไก่ 18 ตัว และขายเนื้อ 220 ชั่งได้เงินทั้งหมด 1500หยวนค่ะ และมีตั๋วชนิดต่างอีก 20 กว่าใบ น้องสะใภ้สามอยากได้พวกของเหล่านั้นเลยซื้อมา 100 หยวนและแลกกับเนื้อ20ชั่ง และให้ไก่แถมไป 2 ตัว จากนั้นพวกเราก็มาซื้อของที่สหกรณ์หมดไป 90 หยวน เหลือทั้งหมด 1310 หยวนค่ะ”
เมื่อเคลียร์บัญชีเสร็จเธอก็เลื่อนกองเงินและตั๋วไปทางคุณแม่หยางทั้งหมดทันที
ต้องทราบว่าตอนนี้บ้านตระกูลหยางนั้นยังไม่มีการแยกบ้านเงินที่ทุกคนหาได้จะนำมารวมกันเป็นส่วนกลางและให้คุณแม่หยางเป็นคนดูแล คุณแม่หยางนั้นมองกองเงินและตั๋วเหล่านั้นก่อนจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนด้วยกัน เธอหยิบออกมา 500 หยวน และเลื่อนไปทางสะใภ้สาม 500 หยวนที่เหลือกองละ 155 หยวนนั้นเธอเลื่อนไปที่หน้าลูกชายทั้งสอง..
“เงินก้อนนี้จะว่าไปก็มาจากสะใภ้สามทั้งหมด แม่จะแบ่งแบบนี้ก็แล้วกัน พวกลูกก็เก็บเอาไว้”
เหล่าสะใภ้และลูกชายต่างก็ตกใจในจำนวนเงินที่คุณแม่หยางนั้นแบ่งมาให้ หยางฟู่หลงเป็นคนเอ่ยขึ้นมาทันที
“พวกเราไม่ได้แยกบ้านกันเงินส่วนนี้ผมให้คุณแม่เก็บเอาไว้เถอะครับ เพราะตอนนี้พวกเราก็กินใช่ทุกอย่างรวมกันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เงินมา ส่วนของน้องสะใภ้สามนั้นคุณแม่ทำถูกแล้วครับ เพราะว่าของทุกอย่างก็มาจากน้องสะใภ้สามจริง เธอสมควรได้รับเงินส่วนนั้นไป”
พูดเสร็จเขาเลื่อนเงินกลับมาให้แม่ของเขาอีกครั้ง จากนั้นหยางจิ้งคนพูดน้อยประจำบ้าน ก็เลื่อนเงินของเขากลับมาที่หน้าคุณแม่หยางเช่นกัน เป็นการบอกว่าเขาเห็นด้วยนั้นเอง
คุณแม่หยางนั้นถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเลื่อนเงินไปที่เหล่าสะใภ้ทั้งสองแทน และเอ่ยขึ้นมาว่า
“ตอนนี้เด็กๆ กำลังโตพวกลูกๆ ก็เก็บเงินส่วนนี้เอาไว้เถอะหากว่าอยากจะซื้ออะไรหรือส่งให้พวกเขาเรียนหนังสือก็จะได้ไม่ลำบาก"
สะใภ้ทั้งสองเมื่อได้ยินสิ่งที่แม่หยางพูด พวกเธอก็ค่อยยื่นมื่อออกไปแล้วเก็บเงินก้อนนั้นทันที และยังหันไปมองน้องสะใภ้สามที่นั่งยิ้มอยู่ด้วยความขอบคุณ เพราะหากว่าไม่มีน้องสะใภ้สามวันนี้พวกเธอก็คงจะไม่ได้กินอิ่มและมีเงินมากมายเช่นนี้
หยางซีซีมองเงิน 500 หยวนของตัวเอง จากนั้นเธอจึงดึงออกมา 200 หยวนและส่งกลับให้คุณแม่หยางและเอ่ยขึ้นมาว่า
“ฉันใช้เงินไป 200 หยวนในการซื้อของเหล่านี้มาแล้วค่ะ ดังนั้นส่วนนี้ฉันคืนให้คุณแม่นะคะ”
จากนั้นสายตาทุกคนก็มองไปที่กองของทองคำและเครื่องประดับที่กองอยู่บนโต๊ะข้างๆ ผลไม้ทั้ง 3 ชนิด และหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น
*** นั่งทานข้าวกับฮองเฮาอะนะ เลยถูกนางละลายพฤติกรรมแบบไม่รู้ตัว.555 ***
***น้องเป็นคนยุติธรรมนะ****
*** สำหรับรีดที่รักที่เป็นห่วงน้องสาวของฮองเฮา ต้องรออีก 2-3 ตอนนะคะไรท์ถึงจะไปรับมา ดังนั้นใจเย็นๆ 5555 ****