บทที่ 13 สร้างค่ายกลปลูกผัก
หลังจากที่แบ่งเงินทองกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็มีความสุขกับสิ่งที่พวกเขาได้รับมา ตอนนี้พวกเขาต่างก็ปรึกษากันว่าวันต่อไปใครจะเป็นคนไปขายของซึ่งก็ตกลงกันได้ว่าการขายของยังคงให้เป็น หยางจิ้ว สะใภ้รองและสะใภ้สาม เพราะถือว่าได้เข้าไปในตลาดมืดแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นๆ เข้าไปอีก ซึ่งหยางซีซีและครอบครัวได้ใช้เวลาพูดคุยพักใหญ่ จากนั้นบรรยากาศก็ค่อยๆ เงียบลงเมื่อคุณแม่หยางเม่ยหันไปมองกองทองคำและเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างสงสัย สายตาของเธอจับจ้องไปที่หยางซีซี ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ
"ลูกอยากได้ของพวกนั้นไปทำไมหรือสะใภ้สาม มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะแม่ว่า อีกอย่างหากมีเก็บเอาไว้ก็อันตรายด้วยหากว่าถูกคนของทางการค้นเจอ ในยุคนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้คนคือเสื้อผ้า อาหาร ของยังชีพต่างหาก ทำไมลูกถึงได้อยากได้ของพวกนี้กันแม่สงสัยจริงๆ"
คำถามของคุณแม่หยางเม่ยทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลงไปชั่วขณะ เพราะพวกเขาทุกคนก็เห็นด้วยในสิ่งที่แม่หยางพูด หยางซีซีเงยหน้าขึ้นมองคุณแม่สามีและทุกคน เธอเข้าใจดีว่าในยุค 70 สิ่งของเหล่านี้ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับอาหารและความอยู่รอด แต่สำหรับเธอแล้ว ทองคำและเครื่องประดับเหล่านี้กลับมีความหมายมากกว่านั้น หยางซีซีจึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า
“ทองคำและเครื่องประดับเหล่านี้ไม่ว่าเวลาไหนมันก็มีค่าในตัวของมันเสมอค่ะคุณแม่ ตอนนี้ที่ทุกคนคิดว่าเป็นของไม่มีค่าเพราะว่าพวกเขาขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานในชีวิต แต่หากว่าวันหนึ่งทุกอย่างกลับมาดีขึ้น ของเหล่านี้ก็จะกลับมามีค่ามีราคาอีกครั้ง ฉันจึงอยากจะฉวยโอกาสตอนที่คนไม่ต้องการเก็บพวกมันเอาไว้เยอะๆ หน่อย ส่วนเรื่องของการเก็บรักษาก็ไม่เป็นปัญหาหรอกค่ะ ฉันจะทำที่เก็บของเหล่านี้เองค่ะ”
หยางซีซีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและ แววตาของเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจในสิ่งที่ทำ เธอพยายามอธิบายให้คุณแม่หยางเม่ยเข้าใจว่าการเก็บสะสมทองคำและเครื่องประดับในช่วงเวลานี้ ไม่ใช่เพียงแค่การแสวงหาผลประโยชน์ แต่ยังเป็นการวางแผนสำหรับอนาคตที่อาจจะดีขึ้นอีกด้วย และยังแนะนำพี่สะใภ้ทั้งสองให้เริ่มเก็บของเหล่านี้ด้วยเลย ในอนาคตของเหล่านี้จะกลับมา มาค่ามีราคาดั่งเดิมหรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ซึ่งเมื่อทุกคนได้ยินสิ่งที่สะใภ้สามพูดพวกเขาก็เริ่มจะคิดตามแล้ว และตั้งใจว่าต่อไป หากเจอพวกทองคำ เครื่องประดับพวกเขาจะซื้อเอาไว้ตามน้องสะใภ้สามเลย
เมื่อพูดเสร็จเธอก็หยิบหนังสือพิมพ์ที่สะใภ้รองซื้อมาและกองสมบัติเข้าไปเก็บในห้อง ก่อนที่จะออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็นำผลไม้ทั้ง 3 ชนิดออกมา โดยเธอแกะสตอเบอรี่และองุ่นแบ่งออกมา 3-4 ผล เพราะในกล่องมีเพียง 10 ผลเท่านั้น ส่วนองุ่นก็มี 2 พวงไม่ใหญ่มากที่เหลือก็ให้ครอบครัวแบ่งกันชิม
พวกเขาเป็นชาวนายากจนมากที่สุดในหมู่บ้านไหนเลยจะเคยกินผลไม้ราคาแพงแบบนี้ มีเพียงหยางฟู่เหยาเท่านั้นที่เคยกิน ดังนั้นเมื่อได้กินสตอเบอรี่และองุ่นพวกเขาจึงได้ชื่นชอบมากแม้ว่าพวกมันจะผลไม่ใหญ่แต่รสชาติก็ถือว่าไม่เลว เมื่อทุกคนได้ชิมผลไม้ทั้งสองชนิดแล้ว หยางซีซีก็เอ่ยถึงแผนการของเธอทันที
“ผลไม้เหล่านี้ฉันกะจะเอามาปลูกที่ส่วนหลังบ้านของพวกเราค่ะคุณพ่อคุณแม่ เพราะตอนนี้นอกจากเนื้อสัตว์แล้ว พวกผักผลไม้ก็ราคาแพงขึ้นเช่นกัน อย่างสตอเบอรี่กล่องเล็กนี้ ราคา 15 หยวน ซึ่งแพงกว่าเนื้ออีกนะคะ ดังนั้นฉันจึงอยากจะปลูกและนำไปขายพร้อมกับเนื้อเสียเลย เพราะฉันเห็นในตลาดมีน้อยมาก ฉันจึงอยากจะปลูกผลไม้ราคาแพงเหล่านี้ขายด้วยเลย ทุกคนเห็นว่าอย่างไรคะ” หยางซีซีเอ่ยขึ้นมา
“พี่เห็นด้วยนะน้องสะใภ้สาม เพราะจากที่ดูเกือบทั่วตลาดในวันนี้ผลไม้แทบจะไม่มีเลย ว่าแต่ว่าเราจะปลูกตรงไหนได้เล่าเพราะพื้นที่ของบ้านเราก็เล็กนิดเดียว” หยางฟู่เหยาเป็นคนเอ่ยสนับสนุนน้องสะใภ้ในขณะนั้นสามีของเธอก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของภรรยารักของตัวเองตลอดเวลา
“ฉันจะใช้พื้นที่หลังบ้านเรานี่แหละค่ะ ตอนนี้หลังบ้านทำแปลงผักใหม่แล้วใช่หรือเปล่าคะคุณแม่”
หยางซีซีหันมาถามแม่สามี ซึ่งคุณแม่หยางที่เป็นคนคุมงานก็พยักหน้าว่าทุกอย่างเรียบร้อย
“เรื่องปลูกผลไม้ฉันจะจัดการเองนะคะ ส่วนเรื่องการขายเนื้อพรุ่งนี้ฉันคิดว่าเราน่าจะออกแต่เช้าหน่อย เพราะเท่าที่ดูแล้วในตอนเช้าคนน่าจะเยอะกว่าวันนี้”
“แต่ว่าวันนี้หิมะตกหนักมากพวกเราจะขึ้นเขาไปฆ่าหมูที่นั่นได้อย่างไรน้องสะใภ้สาม” เป็นพี่ใหญ่ที่มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วบอกถึงความกังวลออกมา
หยางซีซีมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาอย่างหนัก สายลมพัดโชยมาพร้อมกับความหนาวเย็นยามฤดูหนาว ดั่งที่พี่ชายคนโตได้เตือนไว้ การออกไปข้างนอกในสภาพอากาศเช่นนี้คงเป็นเรื่องยากลำบากอย่างยิ่ง
สายตาของเธอทอดมองไปยังแปลงผักหลังบ้าน แม้พื้นที่จะไม่กว้างมากนัก เพียงพอแค่สำหรับการปลูกผักสวนครัวเล็กๆ น้อยๆ ของครอบครัวเท่านั้น ทันใดนั้นความคิดสายหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธออย่างรวดเร็ว หยางซีซีอมยิ้มมุมปากเล็กน้อย ใบหน้าแสดงออกถึงความคิดที่กำลังก่อตัวขึ้นภายใน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ภายในบ้านตระกูลหยางที่เคยเงียบสงบ ได้กลายเป็นโรงงานขนาดย่อมในพริบตา ด้วยฝีมือของหยางซีซีที่สร้างค่ายกลควบคุมอากาศและขยายพื้นที่ให้สวนหลังบ้านเล็กๆ ของพวกเธอนั้นให้มีความกว้างใหญ่ถึง 2 ไร่
ภายในค่ายกลที่หยางซีซีสร้างขึ้นมา บรรยากาศภายในแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง อากาศอบอุ่นสบาย ไม่หนาวเย็นเหมือนกับภายนอกที่หิมะกำลังตกหนัก เสียงลมและหิมะที่ปะทะกับผนังบ้านก็ถูกกักเอาไว้เพียงด้านนอกไม่สามารถทะลุเข้ามาด้านในได้ ทำให้ภายในค่ายกลเงียบสงบและเหมาะแก่การทำงานเป็นอย่างยิ่ง
คุณพ่อหยางและลูกชายทั้งสองของตระกูลหยางต่างก็กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการชำแหละหมูขนาดใหญ่ และเพราะว่าอากาศที่อยู่ภายในค่ายกลนั้นเย็นสบายไม่หนาวไม่ร้อน ทำให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างคล่องตัวและรวดเร็ว ภายในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง พวกเขาก็สามารถชำแหละเนื้อหมูได้เกือบ 600 ชั่ง ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่มากพอสำหรับการขายในวันพรุ่งนี้
ขณะที่บรรดาผู้ชายกำลังยุ่งอยู่กับการชำแหละหมู ไม่ไกลกันนั้น คุณแม่หยางและสะใภ้ใหญ่ก็กำลังช่วยกันทำความสะอาดไก่จำนวน 30 ตัวเพื่อนำไปขายในวันพรุ่งนี้ด้วย
ถัดจากโรงงานชำแหละนั้นสะใภ้รองกำลังยุ่งอยู่กับการปลูกสตรอว์เบอร์รีและองุ่นและแตงโมในสวนที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ สวนที่เคยเล็กๆ กลายเป็นสวนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพืชผลสดใหม่ โดยคราวนี้หยางซีซีนั้นได้ให้หยางฟู่เหยาใช้น้ำที่ผ่านการแช่จากหัตถ์เทวะของเธอสำหรับรดพวกมัน เพราะว่าเธอไม่ต้องการให้ผลไม้เหล่านี้มีพลังวิญญาณสูงมากจนเกินไป ส่วนเรื่องการเจริญเติบโตนั้นยังคงรวดเร็วมากเช่นเดิม หลังจากที่หยางฟู่เหยาปลูกเมล็ดของพวกมันลงไปเพียงแค่ 10 นาทีพวกมันก็เติบโตอย่างรวดเร็ว เถาเลื้อยยาวออกมารวดเร็วมาก จนหยางฟู่เหยาจำเป็นต้องรีบวิ่งมาให้พวกผู้ชายมาช่วยกันทำค้างให้พวกมันเลื้อยเวลาเก็บจะได้ไม่ลำบาก พวกผู้ชายเมื่อเห็นว่าองุ่นและแตงโมนั้นออกเถาเลื้อยเร็วมาก พวกเขาก็รีบช่วยกันทำค้างของมันทันที ส่วนสตอเบอรี่นั้นปลูกไปเพียง 30 นาที พวกมันก็ออกผล และผลของพวกมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และมีสีแดงสวยฉ่ำน่ากินมาก หยางจิ้วเมื่อเห็นเช่นนั้นเขาทนไม่ไหวจึงได้เด็ดขึ้นมากินหนึ่งผล และใส่ปากภรรยาที่รักอีกหนึ่งผล เมื่อรสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดกระจายทั่วไป ทำให้ทั้งคู่รู้สึกทั้งสดชื่นและมีพลังเพิ่มขึ้นมาทันที ...ก็นะผลไม้วิญญาณนี้น่า
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในบ้านตระกูลหยาง ทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นเต้น ตกตะลึงและกับพลังอันน่าทึ่งของหยางซีซี พวกเขาต่างก็คิดเหมือนกันคือ เธอคือนางฟ้าประจำตระกูลหยางที่ลงมาช่วยพวกเขาให้พ้นจากความอดยากจริงๆ
ส่วนหยางซีซีผู้เป็นต้นเหตุของความมหัศจรรย์ทั้งหมดนี้กลับเข้าไปพักผ่อนอยู่ในบ้าน เพราะการสร้างค่ายกลขนาดใหญ่และปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในนั้นต้องใช้พลังงาน และพลังจิตที่สูงมาก ทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกอ่อนล้าเป็นอย่างยิ่ง คุณแม่หยางเห็นเช่นนั้นจึงให้เธอเข้าไปพักผ่อน และรับหน้าที่ดูแลงานบ้านส่วนที่เหลือทั้งหมดเอง ในขณะที่กำลังนอนหลับเพื่อพักผ่อนอยู่นั้น หยางซีซีรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่อยู่ในห้องของเธอ เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาเธอเห็นเงารางๆ ของหญิงสาวที่มีหน้าตาเหมือนกันกับเธอ หยางซีซีขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า
“คุณคือหยางซีซีเจ้าของร่างนี้รึ? คุณต้องการร่างของคุณกลับคืนหรือเปล่า?”
เงาเลือนรางอยู่ๆ ก็คุกเข่าและคำนับเธออย่างนอบน้อม ก่อนจะพยักหน้าและสั่นหน้าในขณะเดียวกันปากของเธอไม่ได้ขยับแต่หยางซีซีกลับได้ยินสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อสารกับเธอนั้นคือ
“หม่อมฉันคือหยางซีซีเพคะ และหม่อมฉันก็ไม่สามารถที่จะกลับคืนร่างได้แล้ว เวลาของหม่อมฉันหมดลงแล้ว เพียงแต่ว่า...หม่อมฉันมีบางที่ยังค้างคายังไม่สามารถทำได้สำเร็จจึงอยากจะขอร้องให้ฮองเฮาทรงช่วยเหลือ คือว่า หม่อมฉันยังมีน้องสาวอีก 1 คน ตอนนี้อาศัยอยู่กับป้าลุงที่ปักกิ่ง น้องสาวของหม่อมฉันนั้นลำบากมากเธอถูกที่บ้านป้าลุงข่มเหงรังแกมาหลายปีแล้ว หม่อมฉันจึงอยากจะขอร้องให้ฮองเฮาทรงช่วยเหลือน้องสาวของกระหม่อมด้วยเถอะ ทรงช่วยน้องสาวของหม่อมฉันด้วยเถอะเพคะ” ร่างเงาเลือนรางของหยางซีซีนั้นก้มลงและโขกศีรษะลงกับพื้นให้กับหยางซีซีหลายครั้ง จากนั้นน้ำตาของเธอก็ไหลพรากลงมาก.
“เอาเถอะ เจ้าอย่าทำเช่นนี้ ตอนนี้ข้านั้นอยู่ในร่างของเจ้า ดังนั้นข้าจะดูแลทุกอย่างเอง ส่วนเรื่องน้องสาวของเจ้าต่อไปเธอก็คือน้องสาวของข้า ข้าจะไปรับเธอมาอยู่ที่นี่เอง เจ้าอย่างได้กังวล...จงเดินทางไปในที่ที่เจ้าควรไปเถิด และข้าขอให้เจ้าได้เกิดใหม่ในภพภูมิที่ดี มีอายุยื่นยาว มีแต่ครอบครัวที่รักสมบูรณ์ตลอดไป จงไปเถิด” ...
สิ้นเสียงของหยางซีซี ร่างเงาของหยางซีซีก็ค่อยๆ เลือนรางและหายไป....
“น้องสาวถูกรังแกอยู่ที่ปักกิ่งอย่างนั้นหรือ” ....
***ไรท์ไม่อาจจะทนเสียงเรียกร้องจากรีดที่รัก ให้กลับไปช่วยน้องสาวได้ ตอนนี้จึงได้รีบแล้วค่ะ 5555 ***