จ้าวตงหยางตื่นขึ้นก่อนที่ฟ้าจะสว่างเขาค่อยๆดึงมือที่จินเยว่หนุนออก จินเยว่ที่ความอบอุ่นหายไปนางก็ซุกตัวเข้าไปที่อกของจ้าวตงหยาง
ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวที่ซุกเข้าหาความอบอุ่นตรงหน้าอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนที่จะสลัดความคิดเช่นนั้นออกไป เขายกศีรษะนางขึ้นไว้บนหมอนและกระโดดออกทางหน้าต่างไป
เกาซื่อที่เห็นฟ้าสว่างแล้วแต่จินเยว่ที่ปกติจะลุกขึ้นมาทำอาหาร วันนี้ยังไม่เห็นบุตรสาวลุกขึ้นมาก็เดินเข้ามาดูนางในห้อง เมื่อเห็นบุตรสาวตอนหลับสนิทพร้อมกับตัวที่ยังอุ่นๆอยู่ นางก็นึกปวดใจที่บุตรสาวมีไข้แต่ปิดบังนาง
วันนี้เกาซื่อจึงต้องลงมือทำอาหารบ่ายๆด้วยตนเอง แม้จะไม่เคยเข้าครัวเลยแต่หากให้นางต้มข้าวต้ม หรือน้ำแกง ก็ยังพอจะทำได้
"เยว่เออร์ลุกมากินข้าวก่อนลูก จะได้ดื่มยา" จินเยว่สะลึมสะลือลุกขึ้นนั่งมองมารดา
"ท่านแม่ เหตุใดไม่เรียกข้าเล่าเจ้าคะ"
"เจ้ามีไข้ใยถึงไม่ยอมบอกแม่" เกาซื่อลูบหัวบุตรสาว
"ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ มื้อกลางวันข้าจะเป็นคนทำเองนะเจ้าค่ะ" เกาซื่ออดส่ายหัวกับความดื้อรั้นของบุตรสาวที่เพิ่มมากขึ้นไม่ได้ และรสมือของนางไม่ดีจึงไม่ได้ออกปากห้ามบุตรสาว
จ้าวตงหยางที่ออกจากเรือนจินเยว่ก็ไปที่ค่ายทหารแทนที่จะกลับจวนของตน แม้สีหน้าจะเรียบเฉยเช่นทุกครั้ง แต่แววตาของเขาฉายความพึงพอใจออกมาจนหลิวเหล่ยอดที่จะถามมิได้
"มีเรื่องอันใดน่ายินดี"
จ้าวตงหยางที่กำลังจิบชาถึงกับสำลักออกมา
"ไม่มี"
"หึ เจ้าดูอารมณ์ดีกว่าทุกวัน คงมิใช่เรื่องของแม่นางเสวี่ยหรอกหรือ"
"หึ" เข้าแค่นเสียงออกมา เมื่อนึกถึงหญิงสาวในอ้อมกอดเมื่อคืน
"หากเจ้ายังทำให้นางอับอายเช่นเมื่อวานอีก ข้าจะปกป้องนาง" หลิวเหล่ยยกชาขึ้นจิบช้าๆ ก่อนจะรู้สึกเสียวสันหลังจึงเหลือบมองจ้าวตงหยาง
สายตาของจ้าวตงหยางเผยจิตสังหารออกมาวูบหนึ่ง ก่อนจะกดยิ้มที่มุมปาก
"เจ้าสนใจนาง"
"นับว่าใช่" หลิวเหล่ยเอ่ยขึ้น มิใช่เขาไม่เห็นสายตาของจ้าวตงหยางเมื่อครู่ แต่เขาคิดว่าสหายของตนไม่พอใจที่เขาสนใจสตรีที่เป็นศัตรูของสหาย
จ้าวตงหยางมิได้พูดสิ่งใดอีก เขาเพียงแค่รู้สึกหงุดหงิดจนอยากจะทุบตีสหายของตนเพื่อระบายความหงุดหงิดออกมา
จินเยว่ที่กินยาแล้วนอนหลับไปอีกครั้ง นางดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนแทบจะมิดหัว แต่ก็ยังคงไม่อบอุ่นเท่ากับเมื่อคืน นางนอนคิดไปคิดมาแต่ก็หาเหตุผลมาหักล้างไม่ได้จนหลับไป
จ้าวตงหยางเดินเข้ามาในกระโจมพักของตนก็เห็นหลิวเหล่ยที่กำลังจะออกไปข้างนอก
"เจ้าจะไปที่ใด"
"ข้าจะไปเยี่ยมแม่นางเสวี่ยเสียหน่อย ท่านหมอบอกว่านางอาจจะมีไข้"
จ้าวตงหยางมองสหายตัวดี เขาอยากจะบอกว่านางไข้ขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ก็ยั้งปากไว้ได้ทัน
"รอข้าประเดี๋ยว" หลิวเหล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
"เจ้าจะไปด้วย" หลิวเหล่ยเอ่ยถามเพราะตัวเขาไม่เข้าใจความคิดของสหาย
"ใช่ มีอันใด" จ้าวตงหยางเปลี่ยนเสื้อผ้าไปด้วยเอ่ยถามสหายไปด้วย
หลิวเหล่ยกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย เขาเดินออกไปรอด้านนอกแทนเพราะไม่อยากเห็นหน้าสหาย เขาไม่มีความคิดที่จะพาจ้าวตงหยางไปด้วย เรื่องที่เกิดเมื่อวานเป็นเพราะจ้าวตงหยาง หากจินเยว่เห็นเขาไปด้วยกัน ตนคงจะทำให้นางรังเกียจไปด้วย
แต่ที่หลิวเหล่ยคิดไม่ถึงคือจินเยว่มิได้ออกมาต้อนรับพวกเขาเป็นเสวี่ยป๋อเหวินที่ออกมาแทน เพราะจินเยว่เพิ่งนอนหลับไปหลังจากที่นางดื่มยา
"ท่านแม่ทัพจ้าว ท่านกุนซือหลิว ให้เกียรติมาถึงเรือนของข้าด้วยเหตุใด"
"ข้าน้อยนำยามามอบให้แม่นางเสวี่ยขอรับ" เสวี่ยป๋อเหวินมองทั้งคู่อย่างไม่เข้าใจ
เขารู้เพียงว่าบุตรสาวทำงานหนักจนล้มป่วย แต่ทั้งคู่นำยามาให้เพราะรู้สึกผิดหรือมีสิ่งใดที่นอกเหนือจากนั้น
"เยว่เออร์เพียงโดนลมมากไปเท่านั้น ข้อมือที่เคล็ดก็หาหมอเรียบร้อยแล้ว กุนซือหลิวไม่จำเป็นต้องลำบากถึงเพียงนี้" ทั้งคู่รู้ได้ทันทีว่าจินเยว่มิได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับบิดามารดา
"มิลำบากเลยขอรับ หากแม่นางเสวี่ยมิได้ไปช่วยงานที่จวนท่านแม่ทัพ นางคงมิล้มป่วยเช่นนี้" หลิวเหล่ยพูดพร้อมปรายตามองสหายของตน
"เยว่เออร์พักไม่กี่วันก็คงหายดี ลำบอกท่านแม่ทัพกับท่านกุนซือแล้ว"
ในเมื่อไม่มีเรื่องที่จะพูดต่อ อีกทั้งคนที่ต้องการพบหน้าก็ไม่ได้เห็นทั้งคู่มอบยาให้แล้วก็ขอตัวกลับออกมา
หลิวเหล่ยคิดในใจ ครั้งหน้าตนจะแอบออกมาโดยมิให้จ้าวตงหยางรู้
ส่วนจ้าวตงหยางก็คิดว่าคืนนี้เขาจะลองมาดูนางอีกครั้งว่านางหายดีแล้วหรือยัง
เพราะต่างมีความคิดของตนเอง ทั้งคู่จึงมิได้สนทนาอะไรกันอีกจนถึงค่ายทหาร ต่างก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนต่อ
จินเยว่ที่ลุกขึ้นมาเตรียมมื้อกลางวันให้บิดาก็พบห่อยาที่บิดายื่นมาให้
"ยาอันใดเจ้าคะท่านพ่อ" นางมองห่อยาอย่างสงสัย หรือเมื่อวานนางจะหยิบไปไม่ครบ
"แม่ทัพจ้าวกับกุนซือหลิวนำยามามอบให้เจ้า เมื่อวานเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่งานเลี้ยงกันแน่เยว่เออร์"
จ้าวตงหยางยังอยากจะเก็บหลิงอวี้ไว้ออกเรือนตอนอายุยี่สิบกว่าด้วยซ้ำ หากยินเยว่ไม่เอ่ยท้วงเสียก่อน"ท่านแม่ทัพ มีราชโองการมาขอรับ" พ่อบ้านจ้าววิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาตาม ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างแปลกใจ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลและแต่งตั้งจางหมิ่นกับจางหย่งเรียบร้อยแล้ว ยังจะมีราชโองการใดได้อีกทั้งคู่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาจากเรือนก็พบว่าทุกคนยืนรออยู่หน้าจวนอย่างพร้อมเพรียงแล้ว"ฮ่องแต่มีพระราชโองการ มอบสมรสพระราชทานให้คุณหนูจ้าวหลิงอวี้กับองค์ชายสามฉีเฟยหลาง..." ขันทีประกาศเช่นใดจ้าวตงหยางมิได้ยินอีกแล้ว หูของเขาแทบจะดับไปทันที หากมิใช่มีจินเยว่ประคองไว้เขาคงล้มไปนั่งกองกับพื้นแล้วเมื่อส่งขันทีข้างกายฮ่องเต้กลับไปแล้ว จินเยว่ก็หัวเราะกับท่าทีเหม่อลอยของจ้าวตงหยางขึ้นมา "ท่านมิได้รู้อยู่แล้วหรือ ท่านพี่"จ้าวตงหยางหันไปถลึงตาใส่เมียรักอย่างเห็นได้น้อย รู้อยู่แล้วแต่ทำใจไม่ได้ไงตระกูลจ้าวในเวลานี้บ่าวไพร่แม้แต่นายของจวนต่างก็วุ่นวายจัดเตรียมข้าวของ เสวี่ยป๋อเหวินกับเกาซื่อก็มาอยู่ช่วยดูแลงาน ยังขนเงินทองของมีค่ามาหลายหีบเพื่อเติมสินเดิมให้เจ้าสาว"ท่านพ่อ สินเดิมของอวี้เออร์ไม่เยอ
แม่ทัพแคว้นเหยี่ยนส่งคณะทูตมาเจรจากับจ้าวตงหยางถึงค่ายทหาร โดยการยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของแคว้นเหยี่ยนต้องยอมเสียเมืองที่คิดกับแคว้นฉีถึงสามเมือง และจะส่งเครื่องบรรณาการเพิ่มจากเดิมอีกสองส่วนเมื่อทุกฝ่ายหารือร่วมกันเห็นพร่องว่ายินยอมที่จะรับข้อเสนอเช่นนี้ได้ ก็ตกลงทำสัญญาพร้อมถอนทัพกลับทันที ฉีเฟยหลางยังต้องรั้งรอคนที่ราชสำนักส่งมาจัดการหัวเมืองที่ยึดมาได้ก่อน จ้าวตงหยางที่นำทัพกลับเมืองหลวงจึงให้ จางหมิ่นและจางหย่งอยู่ช่วยดูแลอีกแรง การรบกับแคว้นเหยี่ยนครั้งนี้พวกเขาใช้เวลาเดินทางมากกว่าการรบเสียอีก เสียเวลาเดินทางมาสามเดือน เตรียมการรบจนชนะเพียงสองเดือนเท่านั้นตอนนี้จ้าวตงหยางแทบอยากจะมีปีกรีบกลับเมืองหลวงโดยเร็วเพราะกำหนดคลอดของจินเยว่ใกล้เข้ามาแล้ว หากเข้าเร่งรีบนำทัพกลับคงใช้เวลาอย่างน้อยก็สองเดือนเป็นช่วงคลอดของจินเยว่พอดีฉีเฟยหลางยังคงส่งจดหมายหาหลิงอวี้ทุกครั้งที่เขามีเวลา(ก็เขียนทุกวันก่อนนอน) แม้นางจะเขียนตอบมาน้อยครั้งนัก แต่ทุกครั้งก็จะบอกให้เขาดูแลตัวเองให้ดี อย่าได้บาดเจ็บ เสื้อคลุมที่สวมอยู่ก็เป็นนางที่ส่งมาให้เมื่อคิดจะฝากจดหมายไปและของที่ซื้อไว้ให้นางไปกับว่าท
กองทัพแคว้นฉีถึงโยวเป่ยสามเดือนให้หลัง ตอนนี้ทั้งหมดอยู่ห่างจากเมืองเป่ยซานเพียงสองร้อยลี้ จ้าวตงหยางจึงจำต้องอพยพชาวเมืองโยวเป่ยและเมืองใกล้เคียงให้ห่างออกไปจากแนวการรบอย่างน้อยห้าร้อยลี้ จินเยว่ยังมีส่วนช่วยเรื่องเสบียงของชาวบ้านที่อพยพมา เพราะคนของนางที่โยวเป่ยจำต้องอพยพไปพร้อมกับชาวบ้าน เสบียงที่พวกเขาขนไปด้วยจึงนับว่าช่วยชีวิตคนได้มาก ชาวบ้านจึงมิต้องอดอยากหรือป่วยไข้ตายลงค่ายผู้อพยพก็เป็นจางหย่งที่ได้รับมอบหมายจากบิดาให้เร่งสร้างและจัดหาสิ่งของที่ขาดแคลนให้ชาวบ้านได้ใช้ไปก่อน ถึงคลังหลวงจะมีเงินมากก็มิอาจจะยกทั้งหมดมาใช้กับสงครามได้ เป็นเพราะจินเยว่ที่ได้สามีเป็นแม่ทัพนางจึงนำที่ดิน ที่ฮ่องเต้พระราชทานเป็นรางวัลทั้งหมดมิยอมปล่อยเช่าเช่นขุนนางคนอื่น แต่นางจ้างให้ชาวบ้านปลูกข้าว มันสำปะหลัง พืชผักที่เก็บไว้ได้นาน เลี้ยงดูทหารของตระกูลจ้าว ขึงทำให้มีเสบียงมากพอที่ใช้ในการสู้รบครั้งนี้แม้แต่อาหารพื้นบ้านธรรมดาอย่างเช่นรากบัวก็นำมาปรุงอาหารได้ ถั่วเขียวแช่น้ำ แล้ววางลงในไหหรือตะกร้า เอาผ้าคลุมที่ละชั้นเก็บไว้ในที่มืดคอยรดน้ำสามวันก็เป็นผัก นำมาผัดน้ำมันก็ทานได้แล้ว สิ่งที่นางรู้น
"อวี้เออร์ โกรธข้าหรือ" เขาจ้องหน้าของนางก่อนจะอดใจไม่ไหวก้มลงจุมพิตนางทันที "ท่าน อื้ออออ" หลิงอวี้ที่อ้าปากจะร้องห้ามก็เป็นการเปิดทางให้ฉีเฟยหลางแทรกเรียวลิ้นของเขาเข้ามาได้ กว่าเขาจะยอมถอนริมฝีปากออกจากปากนางก็เมื่อคนขับรถม้าเอ่ยว่าถึงจวนท่านแม่ทัพแล้วฉีเฟยหลางลูบริมฝีปากของหลิงอวี้อย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะช่วยนางจัดเสื้อผ้าแล้วพานางไปส่งด้านในจวน เมื่อส่งหลิงอวี้ถึงมือมารดาของนางแล้วเขาก็กลับเข้าวังหลวงพร้อมจางหย่งอีกครั้งจินเยว่ที่เห็นดวงตาของบุตรสาวปูดบวมและมีองค์ชายสามมาส่งก็ตกใจ เมื่อสอบถามจนได้ความนางก็แทบจะเป็นลมหมดสติ มิคิดว่าให้บุตรสาวไปร่วมงานเลี้ยงจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นถึงเพียงนี้"ไม่เป็นไรลูกรัก ทุกปัญหามีท่านตากับท่านพ่อของเจ้าคอยค้ำไว้ให้" จินเยว่กอดปลอบบุตรสาวที่สะอื้นจนตัวโยนในอ้อมกอดของนาง ลี่หลินก็หลั่งน้ำตาสงสารน้องน้อยของตนเช่นกันที่เขาเรียกว่าความงามทำให้เกิดหายนะก็เพิ่งพบเห็นจากเรื่องของจ้าวหลิงอวี้นี่เอง เรื่องภายในวังถูกร่ำลือออกไปภายนอก ย่อมมีคนเห็นด้วยและเห็นต่าง แต่ส่วนมากจะโกรธแค้นแคว้นเหยี่ยนที่หาเหตุผลมาทำสงครามมิได้ต้องดึงแม่นางน้อยคนหนึ่งมาทำร้าย
ขุนนางทั้งหลายที่ล่วงรู้ก็นึกถึงเรื่องของหนเก่าครั้งของแม่ทัพจ้าว แคว้นเหยี่ยนมิเคยจดจำเสียเลยจ้าวตงหยางเพียงยกสุราขึ้นร่วมชมความสนุกเท่านั้น เพราะครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับตน (เกี่ยวเต็มๆ พ่อรอดู)จางหมิ่นกับจางหย่งก็เหลือบมองหน้าน้องสาวของตนก่อนจะถอนหายใจ เพราะน้องสาวของตนก็สนใจเพียงดื่มกินอาหารตรงหน้าเท่านั้น คงมีเพียงมือที่สั่นอย่างระงับไว้ไม่อยู่"องค์หญิงแคว้นเหยี่ยนเสียมารยาทแล้ว ท่านมีสิทธิ์อันใดมาสอบถามชื่อของนาง" องค์ชายสามกล่าวตำหนิอย่างไม่ไหวหน้า"เช่นนั้นเปิ่นหวางองค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยนก็สามารถขอพระราชทานสมรสครั้งนี้แทนได้ใช่หรือไม่" องค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยนลุกขึ้นพูด"องค์รัชทายาทแคว้นเหยี่ยน เจ้าหมายตาบุตรสาวขุนนางของเจิ้นคนใดหรือ หากบิดามารดาของนางยินยอมเจิ้นก็มิขัดข้อง" ฮ่องเต้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ที่ตึงเครียด"จ้าวหลิงอวี้ บุตรสาวแม่ทัพใหญ่จ้าว เปิ่นหวางอยากจะแต่งนางเป็นพระชายา มิรู้ว่าท่านแม่ทัพจะยินยอมหรือไม่" ขุนนางทั้งหลายต่างสูดหายใจเข้าอย่างลืมตัว จ้าวตงหยางที่ยกจอกสุราจรดริมฝีปากเพื่อดื่มก็เผลอบีบแก้วจนแตกคามือ องค์ชายสามก็เช่นกัน สองบุรุษต่างวัยต่างมีสีหน้าดำคล
หลิงอวี้เห็นเช่นนั้นก็สั่งให้คนของนางขับรถกลับจวน ชายชุดดำที่เพิ่งลงไปตอนนี้แอบมองรถม้าของนางอยู่ด้านนอก"องค์ชายจับตัวได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ" ฉีเฟยหลางหันไปมององครักษ์ที่เข้ามารายงานก็พยักหน้าแล้วขึ้นม้าควบตามไปเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นรถม้าของหลิงอวี้ เพียงอยากเห็นหน้านางเท่านั้นไม่คิดว่าจะทำให้นางได้รับบาดเจ็บเลยสักนิด สามเดือนมานี้เขาฝึกฝนตนเองอย่างหนัก ทั้งรับงานจากเสด็จพ่อมาทำหวังจะทำให้ลืมนางได้ แต่ไม่เลยเขายังคิดถึงเพียงแต่นางวันนี้ฉีเฟยหลางพบสายลับต่างแคว้นที่ลักลอบปะปนเข้ามากับคณะทูตจึงออกมาจับกุมตัว จนได้พบกับรถม้าของตระกูลจ้าว เมื่อเห็นว่าเพิ่งออกมาจากตรอกจวนตระกูลเสวี่ยเขาจึงแน่ใจว่าเป็นนาง จึงรีบจัดการให้คนของตนจับคนร้ายแล้วเขาก็ขึ้นมาในรถม้าของนางแต่ฉีเฟยหลางคิดไม่ถึงว่าหลิงอวี้จะถือมีดสั้นเตรียมต่อสู้กับตนอยู่ แล้วกลัวจะทำให้นางบาดเจ็บจึงได้แย่งมีดไว้ แต่สุดท้ายนางก็ได้รับบาดเจ็บจากเขาอยู่ดีหลิงอวี้กลับถึงจวนก็รีบเข้าเรือนตัวเองทันที แล้วให้สาวใช้หายามาทาให้นาง เรื่องที่เกิดขึ้นก็ให้เก็บเงียบไว้อย่าเพิ่งบอกท่านพ่อท่านแม่แต่หลิงอวี้ยังมิได้ออกไปให้จ้าวตงหยางกับจินเยว่ไ