LOGINเมื่ออวี้เฟิ่งสอนเล่าเด็กน้อยนางจึงเลือกเดินเท้าเข้าทางลัดเลาะป่าเพื่อสำรวจเส้นทางว่ามีโจรป่าอยู่แถวนี้หรือไม่ การเดินทางของนาง นางเดินมาได้สักพักมองเห็นเงาตะคุ่มตรงพุ่มไม้ นางจึงหยิบกระบี่ของนางที่พกมาด้วยหมายจะปักลงบนพื้น ทว่ากลุ่มชายปริศนาเข้ามาล้อมนางไว้ อีกทั้งปิดหน้าไว้ด้วย นางคิดว่าน่าจะเป็นพวกโจรที่ไม่ใช่คนในพื้นที่ตรงนี้
“แม่นางงดงามเยี่ยงนี้ เจ้าสนใจเป็นเมียของพวกข้าหรือไม่” เมื่ออวี้เฟิ่งได้ยินเช่นนี้ นางจึงหยิบกระบี่ของตนที่ปักอยู่ที่พื้น เข้าสู้โดยไม่คิดชีวิต กระบี่ของนางฟาดใส่ชายแปลกหน้าด้วยความชำนาญ อีกฟากหนึ่งของป่าต้าหวางทรงควบม้าทรงสีขาว ไล่ล่ากวางป่าอย่างไม่ลดละ ทว่าม้าทรงของต้าหวางไม่ได้วิ่งไปทางกวางป่า แต่กลับวิ่งไปอีกทางจนทำให้ต้าหวางรู้สึกแปลกพระทัย ทั้งตีทั้งบังคับม้าของพระองค์ แต่กลับวิ่งไปไม่คิดชีวิต จนพระองค์ปล่อยให้ม้าควบฝีเท้าเอง ในที่สุดต้าหวางได้สดับเสียงกระบี่กำลังปะทะกัน อีกทั้งได้ยินเสียงฝีเท้าของคนหลายคนในบริเวณนี้ เมื่อทรงเข้าใกล้บริเวณเสียงต่อสู้ ได้ปรากฏชายสามคนใส่อาภรณ์สีดำสนิท อีกทั้งมีผ้าอำพรางใบหน้า อีกทั้งคนตรงกลางที่กำลังสู้เป็นตาย คือ อิสตรีอาภรณ์ชาดที่อยู่ตรงกลาง ต้าหวางทรงก้าวลงจากม้าทรงอย่างว่องไว ทรงชักกระบี่เข้าหาชายอาภรณ์ดำ เมื่อพระองค์ชักกระบี่ออกมาชายสองคนเข้าสู้กับพระองค์ อวี้เฟิ่งเห็นมีคนช่วยยิ่งฮึกเหิม จ้วงกระบี่แทงชายชุดดำตรงหน้าทันที ชายชุดดำจึงสิ้นใจ ต้าหวางกำจัดชายชุดดำตรงหน้าตายหมด เหลือเพียงคนเดียวที่วิ่งจาก ทรงไม่รอให้ชายผู้นั้นวิ่งจากไป ทรงน้าวศรยิงใส่ชายคนที่วิ่งไปปักกลางหลังตายในทันที อวี้เฟิ่งมองต้าหวางที่ตรงหน้าของนาง นางจึงเอ่ยขอบคุณพระองค์ทันที “ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือข้าในครั้งนี้ ข้าอยากทราบนามของผู้มีพระคุณว่าท่านมีนามว่าอะไร” “เฉินเป่ยเยว่” “เฉินเป่ยเยว่?” อวี้เฟิ่งคิดในใจว่า เฉินเป่ยเยว์ ชื่อนี้ช่างคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก พอนางมองใบหน้าที่งดงามเหนือบุรุษใดที่เคยพบพาน เมื่อดูให้ดีอย่างถี่ถ้วนด้วยว่า พระขนงนั้นดำนิลกาฬ พระเนตรสุกสกาวในยามค่ำคืน พระนาสิกเป็นสัน ริมพระโอษฐ์หนาอวบอิ่มออกสีชาดแต่งเติมเล็กน้อย หญิงสาวอดชื่นชมในความงามของพระองค์ไม่ได้ ทว่านางรู้ตัวอีกที ต้าหวางกลับย่างพระบาทหนีนางเสียแล้ว อวี้เฟิ่งวิ่งไปหาพระองค์ แล้วจับจับพระหัตถ์ของพระองค์ทันที ทำให้ต้าหวางทรงตกพระทัยอย่างมาก แต่ไม่ได้สะบัดพระหัตถ์ออกจากมือของนาง อวี้เฟิ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านจะไปไหน ท่านไม่ได้อยู่แถวนี้เป็นแน่” “ข้าจะกลับเมืองฉางเทียน” “ฉางเทียน เป็นเมืองหลวงของแคว้นเฉิน อย่างท่านคงเป็นขุนนางหรือไม่ก็พ่อค้า” มองวิเคราะห์บนพระวรกายอย่างถี่ถ้วน มองมายังมือตัวเอง จึงรีบปล่อยโดยทันที ด้วยความเขินอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทว่าพระองค์ทรงกลับย่างพระบาทหนีนางอีกครั้ง หญิงสาวเดินตามต้าหวางอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่พระองค์ทรงกลับหยุดเสียงดื้อๆ จนนางชนกับพระขนอนอย่างจัง อวี้เฟิ่งนางยังได้กลิ่นกำยานชั้นสูงเขา เรียกว่า กลิ่นไม้จันทน์ขาว พระองค์ทรงหันกลับมาทอดพระเนตรมองนางแล้วเอ่ยถาม “เจ้ามีอะไรอีกหรือ” “เปล่าๆ บ้านข้ากลับทางนี้ เราเดินกลับไปพร้อมกันนะ” อวี้เฟิ่งยิ้มกว้างให้ต้าหวาง พระองค์จึงทรงหันพระพักตร์ทอดพระเนตรมองตรงไปทางอื่น แล้วส่งสัญญาณด้วยการผิวพระโอษฐ์ให้ม้าทรงวิ่งมา ม้าทรงขาวสวยสะอาดตาวิ่งมาโดยทันที ต้าหวางทรงไม่รอช้าที่จะขึ้นม้าทรง ต้าหวางทรงส่งพระหัตถ์ให้นางจับขึ้นมาบนม้าทรงเดียวกัน อวี้เฟิ่งจึงเอ่ยขึ้นด้วยความเขินอาย “หญิงชายไม่ควรใกล้ชิดกัน ยิ่งคนแปลกหน้ายิ่งไม่ได้ เตี่ยข้าสอนเอาไว้” “เช่นนั้นเจ้าก็เดินแล้วกัน” ต้าหวางทรงพระดำรัสเช่นนี้ แล้วจึงควบม้าหมายจะจากไป อวี้เฟิ่งจึงตะโกนขึ้นเสียงดัง “ท่านจะทิ้งให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นข้า เดินไปเช่นนี้ ขณะที่ท่านนั่งขี่ม้าเช่นนั้หรือ” “ก็ข้าส่งมือให้เจ้า เจ้ากลับบอกว่า หญิงชายไม่ควรใกล้ชิดกัน ยิ่งคนแปลกหน้ายิ่งไม่ได้” “คนอะไรขี้น้อยใจเหลือเกิน” อวี้เฟิ่งเอ่ยแผ่วเบา จนพระองค์ไม่ได้ยิน ต้าหวางทรงเอ่ยถาม “เจ้าว่าอย่างไรนะ" “เปล่าไม่มีอะไร” อวี้เฟิ่งส่งตัวเองขึ้นม้าอย่างทุลักทุเล ต้าหวางทรงหวังลองเชิงนาง แต่นางขึ้นม้าไม่ได้เสียที จึงทำให้เสียเวลากลับค่าย พระองค์จึงจับมือของนางขึ้นมาบนม้าทรงทันที หญิงสาวจึงได้นั่งบนอานม้าตรงด้านหน้าของพระองค์ แล้วจึงทรงจับบังเหียน บังคับไปด้านหน้า อวี้เฟิ่งจึงเอ่ยขึ้น "บ้านข้าคือจวนเจ้าเมือง ท่านไปส่งข้าที่หน้าจวนด้วยนะ” อวี้เฟิ่งกล่าวจบ เขาไม่กล่าวสิ่งใดต่อ ยังคงควบม้ายาวไกลไปจนถึงจวนเจ้าเมือง ขณะที่หิมะเริ่มโปรยปราย “อวี้เฟิ่งนางเหลวไหลใหญ่แล้ว ดึกป่านนี้ยังไม่กลับอีก อีกทั้งต้าหวางมาในเขตอุทยานยังทรงหายไปอีกนั้น ให้กองกำลังของเราตามหาต้าหวางอีก ท่านหย่งเยี่ยท่านไม่ต้องกังวลไป ใต้เท้าจ้าวก็ออกตามหาด้วย” เสียงกระวนกระวายใจของเจ้าเมืองฉู่หวั่น ทำให้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกได้ ลูกก็หายไป อีกทั้งต้าหวางหายในเขตพระราชฐาน ขณะทรงประพาสล่าสัตว์ “ใต้เท้าไป๋ ข้ากระวนกระวายใจไม่ต่างจากท่าน แต่ท่านนั่งลงก่อนเถิด” หย่งเยี่ย มหาขันทีแห่งแคว้นหยางเอ่ยด้วยความร้อนใจ ซึ่งเขาเองก็เดินไปเดินมาสลับกัน กับใต้เท้าไป๋ หลังจากนั้นไม่นานนัก พ่อบ้านเดินเข้ามาด้วยความดีใจ “นายท่านทั้งสอง ต้าหวางกลับมาพร้อมกับคุณหนู” “ใต้เท้าเชิญ” หย่งเยี่ยผายมือให้กับอดีตแม่ทัพใหญ่เดินออกไปก่อน ไป๋เจิ้นกับหย่งเยี่ยรีบก้าวเดินลงบันไดหน้าประตูทางเข้าบ้าน ต้าหวางยังคงอยู่บนหลังม้าทรงกับหญิงสาวที่หลับซุกอยู่ในพระอุระของต้าหวาง เมื่อไป๋เจิ้นไปถึงตัวพระองค์จึงหมายถวายบังคม ต้าหวางทรงยกมือขึ้นไม่ให้เหล่าขุนนางส่งเสียงดัง ต้าหวาง ทรงจึงอุ้มตัวอวี้เฟิ่งลงจากหลังม้าทรง แล้วจึงเอ่ยพระโอษฐ์แผ่วเบา “ห้องของนางอยู่ที่ไหน” “อยู่ด้านในพระเจ้าค่ะ” เมื่อไป๋เจิ้นกล่าวเช่นนี้ ต้ากวางทรงเสด็จเข้าไปด้านในจวนเดินผ่านระเบียงคตเข้าสู่เรือนด้านในสวน สาวใช้สองคนจึงเปิดประตูให้ พานางวางลงเตียง พอวางนางลงเตียง นางกลับจับพระภูษาตัวนอกของพระองค์ไม่ปล่อย อีกทั้งยังกล่าวตัดพ้อในอาการระคนละเมอ “เป่ยเยว่ ท่านหัดพูดกับคนเขาดีๆ หน่อยได้หรือ เอาแต่ขี้น้อยใจ ไม่พูดจาเดินหนีอย่างเดียว ท่านเป็นคนประเภทไหนกันแน่” อวี้เฟิ่งพูดเช่นนี้ ต้าหวางทรงแย้มพระโอษฐ์เล็กน้อย แล้วทรงจับมือของนางให้ปล่อยจากพระภูษา แล้วจึงหุบแย้มพระโอษฐ์ ทรงหันพระพักตร์ไปหาไป๋เจิ้นกับหย่งเยี่ย “ไปคุยที่อื่น” ไป๋เจิ้นจึงนำทางเดินไป ต้าหวางจึงทรงก้าวย่างพระบาทดำเนินตามเขาที่เดินเรียบข้าง ส่วนหย่งเยี่ยก้าวเดินด้านหลังของต้าหวางหวางโฮ่วทรงประทับยืนทอดพระเนตรมองต้าหวางจากพระบัญชร กงจู่ก้าวทรงย่างพระบาทเข้ามาหาพระนาง แล้วจึงเอ่ยพระโอษฐ์ถาม เมื่อมาประทับเยื้องด้านขวาของพระนาง “เหนียงชิน จะไม่ทรงพูดคุยกับฟู่จวินหรือเพคะ”ทันใดนั้นสุรเสียงของต้าหวางดังขึ้นเรียกความสนใจให้หวางโฮ่วและกงจู่“ดื่มเหล้าพันจอกมิรู้เมา เท่ากับเมารักพันปีมิรู้ลืม ถึงทรมานปานใดไม่ท้อถอย แม้ตัวตายข้าขอมิหวั่นเกรง”เมื่อพระนางได้สดับเช่นนี้ ทรงดำริได้ถึงครั้งที่ทรงเมามาย เมื่อต้าหวางทรงรับอิ๋งฟูเหรินมาเป็นฟูเหรินของพระองค์ เมื่อพระนางทรงบ่นรำพัน และตัดพ้อพระองค์ไปครั้งนั้น จากนั้นไม่นานก็ทรงรับพระนางมาเป็นกุ้ยเฟย เข้ามาอยู่ในหยางหมิงกงจนถึงทุกวันนี้หวางโฮ่งทรงเสด็จลงมาจากเรือนพักของกงจู่ ทรงย่างก้าวย่างพระบาทดำเนินเข้ามาหาตรงพระพักตร์ของต้าหวาง พระองค์ทรงทอดพระเนตรพระนาง หวางโฮ่วทรงยื่นพระหัตถ์ให้พระองค์ทรงลุกขึ้นยืน ต้าหวางทรงทอดพระเนตรเช่นนี้จึงจับพระหัตถ์ของหวางโฮ่ว แล้วจึงลุกขึ้น ต้าหวางทรงมีตรัสต่อพระนาง“กลับวังกับข้าน่ะ”“หม่อมฉันก็สุขสบายดีแล้วเพคะ” หวางโฮ่วทรงดำรัสต่อพระองค์ ต้าหวางจึงจับพระหัตถ์พระนาง แล้วทรงตรัสถาม“เจ้ายังโกรธ
ต้าหวางลงจากม้าทรงอย่างว่องไว ทรงชักกระบี่เข้าหาชายอาภรณ์ดำ เมื่อพระองค์ชักกระบี่ออกมาชายสองคนเข้าสู้กับพระองค์ อวี้เฟิ่งเห็นมีคนช่วยยิ่งหึกเหิม จ้วงกระบี่แทงชายชุดดำตรงหน้าทันที ชายชุดดำจึงสิ้นใจ ต้าหวางกำจัดชายชุดดำตรงหน้าตายหมด เหลือเพียงคนเดียวที่วิ่งจาก ทรงไม่รอให้ชายผู้นั้นวิ่งจากไป ทรงน้าวศรยิงใส่ชายคนที่วิ่งไปปักกลางหลังตายในทันที อวี้เฟิ่งมองชายหนุ่มตรงหน้าของนาง นางจึงเอ่ยขอบคุณเขาทันที “ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือข้าในครั้งนี้ ข้าอยากทราบนามของผู้มีพระคุณว่าท่านมีนามว่าอะไร” “เฉินเป่ยเยว่” ต้าหวางทรงดำริถึงนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้เจอหวางโฮ่ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรู้สึกสนใจในตัวนางแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอวี้เฟิ่งเห็นชายผู้หนึ่งตรงมาหานาง นางได้จังหวะชกไปที่ท้องของโจรเต็มแรง แล้วหักมือให้กระบี่นั้นหลุดจากมือโจร อีกทั้งต้าหวางปิดชีพโจรตรงหน้านางด้วยในกระบี่เดียว โจรอีกคนชักกระบี่มาทางด้านหลังของนาง ต้าหวางเห็นเช่นนี้จึงดึงมือนาง ทำให้นางลอยเหนือพื้น เหวี่ยงตัวมาอยู่ในอ้อมพระกร ต้าหวางทรงปากระบี่ใส่โจรผู้นั้นตายเสีย ไม่ช้าราชองครักษ์เข้ามาทันที พร้อมกับหย่งเยี่ยและเหล่าขันที พวกโจร
“หวางโฮ่ว” ต้าหวางทรงดำรัสด้วยสุรเสียงดุดัน“มีอะไรเพคะ หรือว่าจะทรงลงโทษหม่อมฉันหรือเพคะ” หวางโฮ่วกล่าวด้วยสุรเสียงช้าๆ แต่ต้าหวางทรงตรัสด้วยสุรเสียงที่เย็นชาต่อพระนาง“เจ้าฆ่านางทำไม ข้าไม่เคยเอาหญิงใดมาตีเสมอเจ้า และชาตินี้ข้ามีเจ้าเพียงผู้เดียวที่เป็นฟูเหรินของข้ามาตลอด ถึงข้าจะเคยมีฟูเหรินถึงสองคน แต่ไม่ยกนางให้สูงถึงขั้นสนม แต่ทำไมเจ้าต้องฆ่านาง ทั้งที่นางกับข้าบริสุทธิ์ใจไม่ได้กระทำอย่างชู้สาว”หวางโฮ่วทรงประทับยืน แล้วหันมาหาต้าหวาง แล้วจึงเอ่ยพระโอษฐ์ “ถ้านางเป็นนางกำนัลต่ำศักดิ์จริงๆ พระองค์คงไม่มาทรงพิโรธหม่อมฉันแบบนี้แน่”“เจ้า…ไป๋อวี้เฟิ่ง พอได้แล้ว หกตำหนักว่างเปล่าเพื่อเจ้ามาตลอดหลายปี เจ้ายังไม่พอใจอีกเหรอ อีกทั้งคนในสกุลจางที่ตายไปทั้งครอบครัวโดยคำสั่งของเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาบริสุทธิ์ ถ้าเจ้าจะฆ่าจางเฉา เหตุใดไม่ฆ่าเขาเพียงคนเดียว ทำไมต้องให้ผู้คนเหล่านั้นต้องตายด้วย”หวางโฮ่วทรงพระราชดำรัสต่อต้าหวางอย่างไม่ยำเกรง“เช่นนั้น ถ้าทรงดำริว่าหม่อมฉันทำผิดก็ปลดหม่อมฉันออกจากตำแหน่งหวางโฮ่วเลยเพคะ และหม่อมฉันจะไม่วุ่นวายอีก” “นี่เจ้า ได้เพราะข้าก็ตามใจเจ้ามาตลอดอยู่
ต้าหวางทรงตื่นบรรทมรุ่งสาง อีกแค่หนึ่งยามก็จะเข้าประชุมเช้า ทว่าทรงเห็นไม่เห็นหวางโฮ่ว มีเพียงหย่งเยี่ยที่เข้ามาพร้อมกับถ้วยชา ต้าหวางทรงมึนพระเศียรเมื่อลุกขึ้นมาประทับนั่ง แล้วจึงตรัสถาม“หวางโฮ่ว นางไปไหน” “หม่อมฉันเห็นพระนางไปประทับที่อุทยาน”“ทำไมเมื่อคืนข้าจำอะไรไม่ได้เลย” ต้าหวางทรงตรัสเช่นนี้ อีกทั้งทรงว่ายพระเศียร ทรงนึกคิดเรื่องเมื่อคืน ทรงจำได้ว่าทรงตรวจฎีกาเรื่องน้ำท่วม หลังจากนั้นทรงจำอะไรไม่ได้อีกเลยหวางโฮ่วทรงกลับเข้ามาในตำหนัก พร้อมกับเหม่ยฮัว และเม่นเหนียง หลิวเซียวเชิญหมอหลวงเข้ามา พระนางนั่งบนตั่งแล้วจึงทรงตรัสถาม ให้ผิงอันนำพงกงยานที่อยู่ในห่อผ้าส่งให้หมอหลวงดู หมอหลวงจึงเปิดดูได้สัมผัสกลิ่นก็รู้โดยทันที แล้วจึงรีบปิดห่อผ้า หวางโฮ่วจึงตรัสถามด้วยความสงสัย“หมอหลวงเว่ย ท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งใดผสมในกำยานไม้จันทน์ขาวที่อยู่ในห่อนั้น”“ทูลหวางโฮ่ว ที่นั้นคือกำยานราคะ ยาชนิดนี้ใช้ได้กับบุรุษ แต่ไม่ออกฤทธิ์กับสตรี บุรุษใดสูดดมเข้าไปจะมีอาการกำหนัด อาจเห็นหน้าของคนที่ตนรักก็เป็นได้ ถ้าใช้เป็นเพลานาน อาจทำให้หลอนประสาทได้พระเจ้าค่ะ”“เรื่องนี้เรารู้เพียงเท่านี้ อย่าให้ผู้ใ
กาลเวลาหมุนวนผ่านพ้นไปถึงสิบหกปี ต้าหวางและหวางโฮ่วทรงมีพระชนฆมายุได้สี่สิบกว่าปี บัดนี้กงจู่หมิ่นลั่วย่างเข้าสิบหกพรรษา งดงามดั่งหวางโฮ่งเมื่อครั้งยังเยาว์วัย และสดใสร่าเริง ถ้าอยู่ในพิธีสำคัญกงจู่จะสงบนิ่ง เป็นหน้าเป็นตาใต้ต้าหวางและหวางโฮ่ว ย้อนกลับไปหลังจากประสูติกงจู่ได้สองปี หวางโฮ่วได้ประสูติอ๋องน้อยนามว่า “เฉินเจิ้น” อีกทั้งทั้งสองพระองค์ได้รับการอภิบาลจากหวางโฮ่ว และให้ราชครูสหายของไป๋เจิ้นเป็นผู้สอน ทั้งสององค์เรียกรู้วัยเกิดเด็กทั่ว หวางโฮ่วจึงสอนศาสตร์หลายแขนงที่นางเคยร่ำเรียนจากเตี่ย และกงจู่และอ๋องน้อยคอยไปเยี่ยมเยือนจวนของใต้เท้าไป๋ที่อยู่ในเมืองหลวงอยู่เสมอใดเนื่องด้วยต้าหวางมีราชโองการใต้เท้าไป๋ มาอยู่เมืองหลวง แต่ใต้เท้าไป๋เลือกที่จะออกจากราชการเพื่อไม่เป็นข้อครหาให้ใครมากล่าวร้ายว่า เตี่ยของพระนางเข้ายุ่งเกี่ยวในราชสำนัก อีกทั้งกงจู่และท่ายอ๋องน้อย ใต้เท้าไป๋เอ็นดูหลานทั้งสอง เกอเกอของพระนางคอยหาของเล่นให้เป็นประจำ หวางโฮ่วกลัวว่ากงจู่และอ๋องน้อยจะเสียคน มีแต่คนตามใจ หวางโฮ่วจึงให้เข้าวังและให้สลับอยู่ที่จวนบ้าง ส่วนกงจู่ยังไม่มีตำหนักนอกวังเช่นเดียวกับอ๋องน้อย จึง
พระกษิรธาราไหลจากพระถัน จึงทรงเสวยจากตรงนั้น หวางโฮ่วดิ้นรนใต้พระวรกายของพระองค์ ทันใดนั้นทรงเข้ามาในพระวรกายทันที ต้าหวางทรงเข้าและออกตามแต่พระทัยปรารถนา จนกระทั่งพระอารมณ์ดิบครอบงำ หวางโฮ่วทรงสะท้านไปทั้งพระวรกาย พระสติล่องลอยไปด้วยความลืมเลือน ต้าหวางทรงไม่ลดล่ะต่อการกระทํา จึงจับเพลาทั้งสองข้าง และส่งแรงทั้งหมดส่งหา หวางโฮ่วกรีดร้องอย่างลืมองค์ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่หวางโฮ่วทรงปลดปล่อยสายธาร ต้าหวางเอาแต่พระทัยไม่ปล่อยให้พระนางหายพระทัย มิหนำซ้ำยังดื่มจากพระถันอวบอิ่ม เนื่องด้วยน้ำนมไหลรินออกมาจากกายของพระนางยิ่งพระนางกรีดร้องมาก็เท่าไร ต้าหวางยิ่งทรงบรรเลงเพลงรักไม่รู้เหนื่อย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเกือบสามเดือนพระองค์ไม่เคยมีสัมพันธ์สวาทกับพระนาง ต้าหวางกลัวว่าพระนางจะเจ็บ แต่ตอนนี้พระองค์จึงไม่ดำริที่จะถนอมพระนางบ้างเลย จนในที่สุดต้าหวางทรงปลดปล่อยสู่ตัวพระนาง ต้าหวางทรงประทับลงที่พระโอษฐ์ แล้วเอ่ยถามพระนาง“เจ้าเหนื่อยหรือไม่”“นิดหน่อย”ต้าหวางทรงลงพระทับบนตั่ง หวางโฮ่วจึงสวมกอดพระวรกายของต้าหวาง ทรงใช้พระหัตถ์เช็ดเหงื่อบนพระพักตร์ของหวางโฮ่ว “เจ้ามีสิ่งใดอย่าเก็บไว้คนเดียว มีข้







