LOGIN![จอมนางคู่บัลลังก์ [NC30+]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
เมื่อต้าหวางทรงนามว่าเฉินหลงแห่งแคว้นเฉิน ได้สวรรคตกะทันหัน บ้านเมืองระส่ำระสายองค์ขณะที่ องค์ไท่จื่อได้เพียงสิบพรรษา องค์ไท่จื่อจัดการทุกอย่างได้อย่างหมดจด ผู้ใดหมายคิดแข็งข้อเป็นกบฏ ต่อพระองค์ ทรงไม่ตัดสินให้มากความถึงกรมอาญา แต่ทรงสั่งประหารทันที เป็นความเด็ดขาดในการบริหารบ้านเมือง ถึงพระองค์ยังทรงพระเยาว์เช่นนี้แต่มีความเด็ดขาดดุจผู้ใหญ่ อีกทั้งทรงบุกตีให้แคว้นตัน จนเป็นที่ยำเกรงของใต้หล้า ส่วนอีกแคว้นหนึ่งที่พระองค์ยังไม่ทรงทำสงครามด้วยคือเหลียง ต้าอ๋องแคว้นเฉินพระองค์นี้ทรงมีพระนามว่า เฉินเป่ยเยว่ ทรงขึ้นเป็นอ๋องแคว้นเฉิน ขณะที่ได้สิบพระชันษา โดยมีเฉินกวาง พระนามรองคือฉู่หวางเย่ เป็นทรงเป็นซูซุของต้าหวาง (ซูซุ คือ อาชาย) ต้าหวางทรงไว้วางพระทัยให้ฉู่หวางเย่เป็นอุปราช อีกทั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการอีกด้วย ทว่าบัดนี้ต้าหวางมีพระชนมายุได้ยี่สิบพระชันษา ยังทรงไม่ยอมมีจะมีฟูเหรินสักนางเดียว จนทำให้เป็นที่วิตกแก่เหล่าขุนนางเป็นยิ่งนัก เมื่อฎีกาของเหล่าขุนนางเขียนให้พระองค์คัดเลือกเหล่าสตรีบุตรขุนนางกลับไม่ทรงใส่พระทัย จึงทำให้ผู้คนคิดว่าทรงชอบเล่นชาย แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ได้ใส่ใจคำพูดเหล่านี้ ทรงใส่พระทัยในราชกิจจาเป็นส่วนใหญ่เสียมากกว่า
วันนี้ทรงออกว่าราชการเป็นปกติเช่นทุกวัน เมื่อว่างเว้นพระราชากิจก็ทรงไปหอตำรา ต้าอ๋องทรงเลือกหนึ่งม้วนเปิดอ่าน แล้วทรงหันมาทอดพระเนตรจ้าวเสิ่น หัวหน้าราชองครักษ์สามารถพกกระบี่เข้าเขตพระราชฐานได้เพียงผู้เดียว “จ้าวเสิ่น วันรุ่งพรุ่งนี้ข้าอยากออกไปล่าสัตว์ เข้าเตรียมการด้วย” เมื่อต้าหวางทรงรับสั่ง จ้าวเสิ่นจึงรับคำสั่งทันที “พระเจ้าค่ะ” ณ เมืองฉู่หวั่น อยู่ภายใต้การปกครองของแคว้นเฉิน อยู่กันอย่างสงบร่มเย็นใต้พระบารมีของต้าหวางแคว้นเฉิน ทั้งทรงใส่ใจราชกิจ มีแค่ขุนนางตงฉิน ถ้าขุนนางท้องที่คนไหนรีดภาษีราษฎรจะต้องถูกสั่งประหารไม่มีละเว้น อีกทั้งลดภาษีให้แก่ราษฎรจนทำให้เป็นที่สรรเสริญแก่ใต้หล้า เงินที่เข้ายุ้งฉางหลวงในทุกๆ ปี ราษฎรต่างเต็มใจถวายให้ เพราะที่นี่กินดีอยู่ดี ไม่ถึงกับมีขอทานคนอยากจน เพราะว่าเจ้าเมืองที่นี่เป็นอดีตแม่ทัพใหญ่นามว่าไป๋เจิ้น เจ้าเมืองนั้นใส่ในทุกระเบียบนิ้ว ไม่ให้มีขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวง ถ้าจับได้ว่าใครฉ้อราษฎร์บังหลวง จะได้รับโทษสูงสุด คือ สั่งประหารโดยไม่ต้องกราบบังคมทูล “ต้าหวางแคว้นเฉินของเรา ทรงพระปรีชาสามารถในการรบและการปกครอง ในสมัยของพระองค์ทรงทำนุบำรุงไพร่ฟ้าประชาราษฎรให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข อีกทั้งทรงนำทัพตีแคว้นตัน เพียงอายุได้สิบห้าชันษา เหตุที่ทรงตีแคว้นตัน เพราะแคว้นตันเป็นคู่แค้นของแคว้นเฉินเป็นมาเนิ่นนาน เมื่อทรงได้รับชัยชนะ ทำให้แคว้นต้นยอมศิโรราบ เป็นแคว้นประเทศราชต่อแคว้นเฉินของเรา ตลอดสิบกว่าปีนี้ต้าหวางของเรายังทำให้บ้านเมืองอย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา” น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูของหญิงสาวอาภรณ์แดงชาดไร้เครื่องประดับกาย มีเพียงตำราที่อยู่ในมือเรียวเท่านั้น มีเด็กสิบกว่าคนที่นั่งฟังล้วนเป็นลูกของชาวบ้าน ที่นางเอามาสอนเรียนและสอนวิชากระบี่ที่นางถนัดนัก อีกทั้งเมืองนี้เป็นที่เรื่องลือว่าบุตรสาว อดีตท่านแม่ทัพใหญ่ เจ้าเมืองฉู่หวั่น มีชื่อเสียงกระบี่อันยอดเยี่ยมสามารถปลิดชีวิตคนได้สิบคนในดาบเดียว “อวี้เฟิ่งเจี่ยเจีย ต้าหวางเก่งกาจเช่นนี้ เพราะเหตุใดต้าหวางไม่มีฟูเหรินของเขาบ้างเล่า อวี้เฟิ่งเจี่ยเจียเคยเล่าให้พวกข้าฟังว่า ต้าหวางทุกพระองค์ต้องมีหวางโฮ่ว และเหล่าฟูเหรินไม่ใช่หรือ” “ไม่มีสิ ดีแล้ว” อวี้เฟิ่งกล่าวแผ่วเบา จนแทบไม่ได้ยิน แต่ว่าเด็กชายคนหนึ่งเอ่ยถาม “อวี้เฟิ่งเจี่ยเจียท่านว่าอะไรนะ” อวี้เฟิ่งได้ยินคำถามเช่นนี้รู้สึกเขินอายจึงเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “ไม่มีอะไร เรามาซ้อมกระบี่กันเถอะ” “ขอรับ” เด็กทุกคนกล่าวรับคำสั่งของไป๋อวี้เฟิ่งทันที แล้วจึงเริ่มซ้อมกระบี่กับเหล่านั้นเด็กๆ อวี้เฟิ่งจะบอกเหล่าลูกศิษย์ของนางเสมอว่า การสู้รบไม่ใช้หน้าที่ของเหล่าทหารและผู้ชายเพียงอย่างเดียว แต่ว่าเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ว่าหญิงหรือเด็กก็ควรรู้เรื่องการต่อสู้ ไม่ว่าศัตรูจะมาเมื่อไหร่พวกเราจะพร้อมทุกสถานการณ์ เส้นทางยาวนานต้าหวางประพาสล่าสัตว์ โดยใช้ม้าเป็นส่วนใหญ่ผู้ติดตามทหารห้าสิบนายเท่านั้น แต่ละนายเป็นทหารหน่วย 'หลานหลิน' เป็นหน่วยที่แข็งแกร่งของกองทัพ กล่าวว่าถ้าเจอหน่วยหลานหลินเมื่อใด ทุกคนต้องยำเกรงในความเหี้ยมโหดและป่าเถื่อนที่สุดจนไม่มีใครกล้าที่จะต่อกรกับพวกเขา เมื่อเข้าถึงเขตอุทยานหลวง ต้าหวางให้เหล่าทหารของพระองค์ออกล่าสัตว์ ผู้ใดล่าสัตว์ได้มาที่สุดพระองค์หมายจะมอบกระบี่เซียนหลงให้เป็นรางวัล กระบี่เซียนหลงเป็นศาสตราวุธที่หลอมขึ้นในวันครองราชย์ เมื่อถึงเวลาจึงทำการออกล่าสัตว์โดยทันที อย่าลืมเม้นท์เป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะหวางโฮ่วทรงประทับยืนทอดพระเนตรมองต้าหวางจากพระบัญชร กงจู่ก้าวทรงย่างพระบาทเข้ามาหาพระนาง แล้วจึงเอ่ยพระโอษฐ์ถาม เมื่อมาประทับเยื้องด้านขวาของพระนาง “เหนียงชิน จะไม่ทรงพูดคุยกับฟู่จวินหรือเพคะ”ทันใดนั้นสุรเสียงของต้าหวางดังขึ้นเรียกความสนใจให้หวางโฮ่วและกงจู่“ดื่มเหล้าพันจอกมิรู้เมา เท่ากับเมารักพันปีมิรู้ลืม ถึงทรมานปานใดไม่ท้อถอย แม้ตัวตายข้าขอมิหวั่นเกรง”เมื่อพระนางได้สดับเช่นนี้ ทรงดำริได้ถึงครั้งที่ทรงเมามาย เมื่อต้าหวางทรงรับอิ๋งฟูเหรินมาเป็นฟูเหรินของพระองค์ เมื่อพระนางทรงบ่นรำพัน และตัดพ้อพระองค์ไปครั้งนั้น จากนั้นไม่นานก็ทรงรับพระนางมาเป็นกุ้ยเฟย เข้ามาอยู่ในหยางหมิงกงจนถึงทุกวันนี้หวางโฮ่งทรงเสด็จลงมาจากเรือนพักของกงจู่ ทรงย่างก้าวย่างพระบาทดำเนินเข้ามาหาตรงพระพักตร์ของต้าหวาง พระองค์ทรงทอดพระเนตรพระนาง หวางโฮ่วทรงยื่นพระหัตถ์ให้พระองค์ทรงลุกขึ้นยืน ต้าหวางทรงทอดพระเนตรเช่นนี้จึงจับพระหัตถ์ของหวางโฮ่ว แล้วจึงลุกขึ้น ต้าหวางทรงมีตรัสต่อพระนาง“กลับวังกับข้าน่ะ”“หม่อมฉันก็สุขสบายดีแล้วเพคะ” หวางโฮ่วทรงดำรัสต่อพระองค์ ต้าหวางจึงจับพระหัตถ์พระนาง แล้วทรงตรัสถาม“เจ้ายังโกรธ
ต้าหวางลงจากม้าทรงอย่างว่องไว ทรงชักกระบี่เข้าหาชายอาภรณ์ดำ เมื่อพระองค์ชักกระบี่ออกมาชายสองคนเข้าสู้กับพระองค์ อวี้เฟิ่งเห็นมีคนช่วยยิ่งหึกเหิม จ้วงกระบี่แทงชายชุดดำตรงหน้าทันที ชายชุดดำจึงสิ้นใจ ต้าหวางกำจัดชายชุดดำตรงหน้าตายหมด เหลือเพียงคนเดียวที่วิ่งจาก ทรงไม่รอให้ชายผู้นั้นวิ่งจากไป ทรงน้าวศรยิงใส่ชายคนที่วิ่งไปปักกลางหลังตายในทันที อวี้เฟิ่งมองชายหนุ่มตรงหน้าของนาง นางจึงเอ่ยขอบคุณเขาทันที “ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือข้าในครั้งนี้ ข้าอยากทราบนามของผู้มีพระคุณว่าท่านมีนามว่าอะไร” “เฉินเป่ยเยว่” ต้าหวางทรงดำริถึงนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้เจอหวางโฮ่ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงรู้สึกสนใจในตัวนางแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอวี้เฟิ่งเห็นชายผู้หนึ่งตรงมาหานาง นางได้จังหวะชกไปที่ท้องของโจรเต็มแรง แล้วหักมือให้กระบี่นั้นหลุดจากมือโจร อีกทั้งต้าหวางปิดชีพโจรตรงหน้านางด้วยในกระบี่เดียว โจรอีกคนชักกระบี่มาทางด้านหลังของนาง ต้าหวางเห็นเช่นนี้จึงดึงมือนาง ทำให้นางลอยเหนือพื้น เหวี่ยงตัวมาอยู่ในอ้อมพระกร ต้าหวางทรงปากระบี่ใส่โจรผู้นั้นตายเสีย ไม่ช้าราชองครักษ์เข้ามาทันที พร้อมกับหย่งเยี่ยและเหล่าขันที พวกโจร
“หวางโฮ่ว” ต้าหวางทรงดำรัสด้วยสุรเสียงดุดัน“มีอะไรเพคะ หรือว่าจะทรงลงโทษหม่อมฉันหรือเพคะ” หวางโฮ่วกล่าวด้วยสุรเสียงช้าๆ แต่ต้าหวางทรงตรัสด้วยสุรเสียงที่เย็นชาต่อพระนาง“เจ้าฆ่านางทำไม ข้าไม่เคยเอาหญิงใดมาตีเสมอเจ้า และชาตินี้ข้ามีเจ้าเพียงผู้เดียวที่เป็นฟูเหรินของข้ามาตลอด ถึงข้าจะเคยมีฟูเหรินถึงสองคน แต่ไม่ยกนางให้สูงถึงขั้นสนม แต่ทำไมเจ้าต้องฆ่านาง ทั้งที่นางกับข้าบริสุทธิ์ใจไม่ได้กระทำอย่างชู้สาว”หวางโฮ่วทรงประทับยืน แล้วหันมาหาต้าหวาง แล้วจึงเอ่ยพระโอษฐ์ “ถ้านางเป็นนางกำนัลต่ำศักดิ์จริงๆ พระองค์คงไม่มาทรงพิโรธหม่อมฉันแบบนี้แน่”“เจ้า…ไป๋อวี้เฟิ่ง พอได้แล้ว หกตำหนักว่างเปล่าเพื่อเจ้ามาตลอดหลายปี เจ้ายังไม่พอใจอีกเหรอ อีกทั้งคนในสกุลจางที่ตายไปทั้งครอบครัวโดยคำสั่งของเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาบริสุทธิ์ ถ้าเจ้าจะฆ่าจางเฉา เหตุใดไม่ฆ่าเขาเพียงคนเดียว ทำไมต้องให้ผู้คนเหล่านั้นต้องตายด้วย”หวางโฮ่วทรงพระราชดำรัสต่อต้าหวางอย่างไม่ยำเกรง“เช่นนั้น ถ้าทรงดำริว่าหม่อมฉันทำผิดก็ปลดหม่อมฉันออกจากตำแหน่งหวางโฮ่วเลยเพคะ และหม่อมฉันจะไม่วุ่นวายอีก” “นี่เจ้า ได้เพราะข้าก็ตามใจเจ้ามาตลอดอยู่
ต้าหวางทรงตื่นบรรทมรุ่งสาง อีกแค่หนึ่งยามก็จะเข้าประชุมเช้า ทว่าทรงเห็นไม่เห็นหวางโฮ่ว มีเพียงหย่งเยี่ยที่เข้ามาพร้อมกับถ้วยชา ต้าหวางทรงมึนพระเศียรเมื่อลุกขึ้นมาประทับนั่ง แล้วจึงตรัสถาม“หวางโฮ่ว นางไปไหน” “หม่อมฉันเห็นพระนางไปประทับที่อุทยาน”“ทำไมเมื่อคืนข้าจำอะไรไม่ได้เลย” ต้าหวางทรงตรัสเช่นนี้ อีกทั้งทรงว่ายพระเศียร ทรงนึกคิดเรื่องเมื่อคืน ทรงจำได้ว่าทรงตรวจฎีกาเรื่องน้ำท่วม หลังจากนั้นทรงจำอะไรไม่ได้อีกเลยหวางโฮ่วทรงกลับเข้ามาในตำหนัก พร้อมกับเหม่ยฮัว และเม่นเหนียง หลิวเซียวเชิญหมอหลวงเข้ามา พระนางนั่งบนตั่งแล้วจึงทรงตรัสถาม ให้ผิงอันนำพงกงยานที่อยู่ในห่อผ้าส่งให้หมอหลวงดู หมอหลวงจึงเปิดดูได้สัมผัสกลิ่นก็รู้โดยทันที แล้วจึงรีบปิดห่อผ้า หวางโฮ่วจึงตรัสถามด้วยความสงสัย“หมอหลวงเว่ย ท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งใดผสมในกำยานไม้จันทน์ขาวที่อยู่ในห่อนั้น”“ทูลหวางโฮ่ว ที่นั้นคือกำยานราคะ ยาชนิดนี้ใช้ได้กับบุรุษ แต่ไม่ออกฤทธิ์กับสตรี บุรุษใดสูดดมเข้าไปจะมีอาการกำหนัด อาจเห็นหน้าของคนที่ตนรักก็เป็นได้ ถ้าใช้เป็นเพลานาน อาจทำให้หลอนประสาทได้พระเจ้าค่ะ”“เรื่องนี้เรารู้เพียงเท่านี้ อย่าให้ผู้ใ
กาลเวลาหมุนวนผ่านพ้นไปถึงสิบหกปี ต้าหวางและหวางโฮ่วทรงมีพระชนฆมายุได้สี่สิบกว่าปี บัดนี้กงจู่หมิ่นลั่วย่างเข้าสิบหกพรรษา งดงามดั่งหวางโฮ่งเมื่อครั้งยังเยาว์วัย และสดใสร่าเริง ถ้าอยู่ในพิธีสำคัญกงจู่จะสงบนิ่ง เป็นหน้าเป็นตาใต้ต้าหวางและหวางโฮ่ว ย้อนกลับไปหลังจากประสูติกงจู่ได้สองปี หวางโฮ่วได้ประสูติอ๋องน้อยนามว่า “เฉินเจิ้น” อีกทั้งทั้งสองพระองค์ได้รับการอภิบาลจากหวางโฮ่ว และให้ราชครูสหายของไป๋เจิ้นเป็นผู้สอน ทั้งสององค์เรียกรู้วัยเกิดเด็กทั่ว หวางโฮ่วจึงสอนศาสตร์หลายแขนงที่นางเคยร่ำเรียนจากเตี่ย และกงจู่และอ๋องน้อยคอยไปเยี่ยมเยือนจวนของใต้เท้าไป๋ที่อยู่ในเมืองหลวงอยู่เสมอใดเนื่องด้วยต้าหวางมีราชโองการใต้เท้าไป๋ มาอยู่เมืองหลวง แต่ใต้เท้าไป๋เลือกที่จะออกจากราชการเพื่อไม่เป็นข้อครหาให้ใครมากล่าวร้ายว่า เตี่ยของพระนางเข้ายุ่งเกี่ยวในราชสำนัก อีกทั้งกงจู่และท่ายอ๋องน้อย ใต้เท้าไป๋เอ็นดูหลานทั้งสอง เกอเกอของพระนางคอยหาของเล่นให้เป็นประจำ หวางโฮ่วกลัวว่ากงจู่และอ๋องน้อยจะเสียคน มีแต่คนตามใจ หวางโฮ่วจึงให้เข้าวังและให้สลับอยู่ที่จวนบ้าง ส่วนกงจู่ยังไม่มีตำหนักนอกวังเช่นเดียวกับอ๋องน้อย จึง
พระกษิรธาราไหลจากพระถัน จึงทรงเสวยจากตรงนั้น หวางโฮ่วดิ้นรนใต้พระวรกายของพระองค์ ทันใดนั้นทรงเข้ามาในพระวรกายทันที ต้าหวางทรงเข้าและออกตามแต่พระทัยปรารถนา จนกระทั่งพระอารมณ์ดิบครอบงำ หวางโฮ่วทรงสะท้านไปทั้งพระวรกาย พระสติล่องลอยไปด้วยความลืมเลือน ต้าหวางทรงไม่ลดล่ะต่อการกระทํา จึงจับเพลาทั้งสองข้าง และส่งแรงทั้งหมดส่งหา หวางโฮ่วกรีดร้องอย่างลืมองค์ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่หวางโฮ่วทรงปลดปล่อยสายธาร ต้าหวางเอาแต่พระทัยไม่ปล่อยให้พระนางหายพระทัย มิหนำซ้ำยังดื่มจากพระถันอวบอิ่ม เนื่องด้วยน้ำนมไหลรินออกมาจากกายของพระนางยิ่งพระนางกรีดร้องมาก็เท่าไร ต้าหวางยิ่งทรงบรรเลงเพลงรักไม่รู้เหนื่อย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเกือบสามเดือนพระองค์ไม่เคยมีสัมพันธ์สวาทกับพระนาง ต้าหวางกลัวว่าพระนางจะเจ็บ แต่ตอนนี้พระองค์จึงไม่ดำริที่จะถนอมพระนางบ้างเลย จนในที่สุดต้าหวางทรงปลดปล่อยสู่ตัวพระนาง ต้าหวางทรงประทับลงที่พระโอษฐ์ แล้วเอ่ยถามพระนาง“เจ้าเหนื่อยหรือไม่”“นิดหน่อย”ต้าหวางทรงลงพระทับบนตั่ง หวางโฮ่วจึงสวมกอดพระวรกายของต้าหวาง ทรงใช้พระหัตถ์เช็ดเหงื่อบนพระพักตร์ของหวางโฮ่ว “เจ้ามีสิ่งใดอย่าเก็บไว้คนเดียว มีข้







