“ถึงแม้ว่าท่านจะมีฝีมือร้ายกาจ แต่ถ้าหากท่านสังหารมิตรแล้วหลงเชื่อศัตรู” นางกำลังรู้สึกเป็นห่วงเขาอย่างบอกไม่ถูก
“ข้าไม่เป็นไร” บุรุษร่างสูงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเดิม เมื่อได้ยินคำพูดพวกนั้นออกมาจากสตรีบอบบางท่าทางอ่อนแอเหลือเกินตรงหน้า
เหม่ยหลินได้ยินอย่างนั้นจึงชะงักไป นางพลันระลึกได้ว่าตนเอ่ยคำเกินงาม จึงทำได้แค่เม้มริมฝีปากเข้าหากัน ก่อนจะก้มหน้าลงต่ำหลุบดวงตาสวยหวานซ่อนเอาไว้ใต้เปลือกตาอย่างนึกอับอายขึ้นมาหลายส่วน
“เช่นนั้น...ข้า...เอ่อ...” นางเอ่ยออกมาเสียงเบายิ่งกว่าเดิม “ข้าลาก่อน พี่หง[1]โปรดระวังตัว”
บุรุษคมเข้มที่ถูกเรียกขานนามว่าพี่หงถึงกับชะงักไปพลางก้มหน้าลงมองสตรีตรงหน้านิ่งขึงยิ่งกว่าเดิม
ถึงแม้ว่าเขาจะจำสิ่งใดเกี่ยวกับตัวตนของเขายังมิได้ แต่เขาก็มั่นใจอยู่หลายส่วนว่า ไม่เคยมีใครกล้าบังอาจเรียกขานนามเขาว่าอย่างนี้แน่นอน
มันช่างระคายหูสิ้นดี!
แต่ถึงกระนั้น เขาก็เพียงพยักหน้าน้อยๆ ส่งกลับไป
เหม่ยหลินยังคงก้มหน้าลงต่ำพวงแก้มเริ่มขึ้นสี นางหมุนกายเบาๆ เพื่อเดินจากไปอย่างเงียบงัน
บุรุษที่มีนามใหม่ว่าพี่หงเพียงมองตามร่างระหงงดงามเดินจากไปอย่างเงียบงันไม่ต่างกัน
เขายืนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ จนร่างบางของสตรีที่เมื่อครู่อยู่ตรงหน้าเดินจากไปจนถึงรถม้าของนาง เขายืนมองนางจนเห็นนางขึ้นนั่งบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อยดีแล้วจากการช่วยเหลือพยุงร่างจากบ่าวไพร่ที่รอนางอยู่ เขาจึงเบี่ยงกายสูงใหญ่พรางตัวหายไปอย่างปราดเปรียว มิได้สนใจนำพาอันใดอีกต่อไป
เหม่ยหลินที่ขึ้นนั่งบนรถม้าเป็นที่เรียบร้อยดีแล้วเพียงนั่งนิ่งอยู่อึดใจก่อนตัดสินใจเปิดผ้าม่านของรถม้าออกเพื่อมองดูพี่หงของนางอีกคราเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินทางจากไป แต่ทว่าร่างสูงใหญ่นั้นได้หายตัวไปแล้ว นางไม่เห็นเขายืนอยู่ที่เดิมแล้ว
หญิงสาวถึงกับถอนหายใจออกมาก่อนปิดผ้าม่านลงแล้วนั่งพิงกับผนังรถม้าอย่างเงียบงัน
การพบเจอกันในครั้งนี้จะเรียกว่าบุพเพหรือโชคชะตา นางล้วนตอบมิได้ทั้งสิ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงตราตรึงก็คือสายตาคมเฉี่ยวดุดันคู่นั้นที่มองมา มิคาดว่าสายตาคู่นั้นจะมีอิทธิพลกับนางอย่างมิอาจห้ามใจ
เหม่ยหลินหลับตาลงรู้สึกถึงกระแสอุ่นซ่านแปลกประหลาดที่ไหลวนในโพรงอก ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
เพียงครู่ต่อมานางจึงรับรู้ได้ว่ารถม้าเริ่มเคลื่อนตัว นางจึงลืมตาขึ้นมาอีกคราก่อนจะเปิดผ้าม่านรถม้าเพื่อมองหาใครบางคนอีกครั้ง และก็เป็นดังคาด เขามิได้อยู่ให้นางได้มองเห็นเขาอีกแล้ว หญิงสาวจึงปิดผ้าม่านหน้าต่างรถม้าลงดังเดิมแล้วนั่งหลับตาอย่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนแรง
[1] คำว่า พี่หง ที่เหม่ยหลินเรียกขานในที่นี้ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับคำว่า หงหลาง (แซ่+หลาง) เรียกแบบตีสนิท หรือ หงต้าเฮียบ(แซ่+ต้าเฮียบ) เรียกแบบยกย่องผู้กล้า
จากยอดหน้าผาสู่ปลายทางน้ำตกเชี่ยวกราก ลึกลงมาที่ก้นเหวสูงชัน ล้วนเป็นป่ารกทึบที่ปกคลุมไปด้วยความอับชื้น รอบด้านเต็มไปด้วยกลิ่นสาบสางเหม็นอับของซากสัตว์ล้มตาย กระแสไอเย็นมีมากนักเมื่อเทียบกับยอดผาด้านบนตรงด้านหน้าของชั้นดินและหินที่ทับถมกันจนเกิดเป็นเนินเขาขนาดเล็ก กระทั่งเป็นโพรงลึกเข้าไปในพื้นดิน กลายเป็นถ้ำขนาดย่อม ร่างสูงสง่าของหงซือกวนยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อประเมินความสูงชันของหน้าผาที่ตกลงมา สายตาคมเฉี่ยวของเขามองไปทั่วเพียงปราดเดียวอย่างไม่ใส่ใจ การทะยานกายขึ้นไปนับว่าเป็นเรื่องยาก หากแต่มิใช่สำหรับเขาชายหนุ่มหมุนตัวเดินกลับเข้ามาภายในถ้ำเย็นเยียบแห่งหนึ่ง แล้วเบนสายตาไปมองหญิงสาวที่กำลังนอนหลับตัวสั่นอยู่ข้างกองไฟเจ้านกประหลาดตัวใหญ่บินเข้ามาพร้อมกิ่งไม้ที่มีใบหนาแน่นวางไว้ให้หงซือกวนจึงจับอุ้มร่างนุ่มให้นอนลงบนใบไม้ ท่าทางของเจ้านายยังผลให้เจ้านกทมิฬต้องเอียงหัวเลิ่กลั่ก ดวงตาสีแดงฉานของมันมองอย่างฉงน จนผู้ถูกมองรู้สึกได้“ออกไป” หงซือกวนเอ่ยเสียงเรียบ มองเจ้านกแสนรู้ด้วยสายตาเย็นชา หากมันไม่ประสาเขาคงไม่ไล่มันไปเจ้านกตัวใหญ่จึงบินออกไปจากในถ้ำอย่างปราดเปรียวโดยไม่เหลียวมองอ
ภายใต้ผิวน้ำเย็นเยียบที่เสียดแทงไปถึงกระดูกลึกลงไปหลายจั้ง ร่างระหงของเหม่ยหลินจมดิ่งอยู่ในนั้น นางกำลังทรมานจากการจมน้ำจนขาดอากาศหายใจ แต่ที่กำลังบั่นทอนจิตใจของนางคือภาพในอดีตที่กำลังหวนกลับคืนยามเป็นเด็กหญิง นางตกน้ำในบึงใหญ่หลังตำหนัก นางจมอยู่ในน้ำที่มืดสลัว จนสติของนางดับวูบลง ตื่นมาอีกคราก็ผ่านไปหลายวัน โดยมีเสด็จแม่นั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียงเสด็จพ่อทรงพิโรธหนักมาก พระองค์ทรงสั่งประหารบ่าวไพร่จนหมดทั้งตำหนัก นางที่เป็นเพียงเด็กไม่ประสา ผ่านการเฉียดตายจากการจมน้ำมาจึงกลัวน้ำมากนับแต่นั้นทว่าเหนือสิ่งอื่นใด นางเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทั้งตำหนักต้องตาย... เหม่ยหลินพยายามลืมตาอ้าปากหาอากาศหายใจ ความหวาดกลัวกระแสน้ำกำลังแล่นริ้วเป็นเส้นเป็นสาย สองมือน้อยๆ พยายามปัดป่ายหาสิ่งยึดเหนี่ยวอย่างยากลำบาก สัมผัสของน้ำที่กระทบฝ่ามือมีเพียงความเจ็บปวดราวกับหัวใจจะฉีกขาดนางทรมานมาก นางหวาดกลัวเหลือเกินยามเมื่อสติเส้นสุดท้ายใกล้สิ้นลง หญิงสาวจึงได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่มีสายตาคมเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ท่ามกลางความมืดสลัวน่ากลัว เขาฉุดนางเข้าหาแผงอก เพียงพริบตาเดียวก็ขึ้นมาเหนือผิวน้ำความน
ลึกลงไปจากยอดหน้าผาสูงชันเหม่ยหลินที่กำลังร่วงหล่นสู่ปลายทางพร้อมกับรถม้าคันใหญ่ทำได้เพียงเกาะผนังรถม้าแน่น ร่างบางถูกกระแทกกระทั้นจนเจ็บไปหมด แต่ความกลัวตายของนางมีเหนือกว่าความเจ็บปวดเนื้อตัวรถม้าเอียงตัวจนร่างบางไถลลื่น ยามผ้าม่านโบกสะบัดอย่างแรง ลำตัวช่วงบนของเหม่ยหลินจึงหลุดออกมาจากตัวรถด้านใน ยังผลให้นางรีบตะเกียกตะกายออกจากภายในรถ หวังเพียงได้เห็นพี่หงอีกสักครั้ง ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีใครกระโดดตามลงมาจากหน้าผาสูงชันขณะที่กำลังหมดหวัง เหม่ยหลินกลับเห็นเงามืดสายหนึ่งกระโดดลงมา ตามด้วยนกตัวใหญ่บินทะยานโฉบตัวอย่างแรง นางตื่นกลัวและตระหนกจนไม่รู้ว่าควรทำเยี่ยงไรชั่วอึดใจ เจ้านกตัวโตพลันโผเกาะที่ข้างรถม้ามันพยายามเอาจะงอยปากขนาดใหญ่จิกมาที่ตัวนางเหม่ยหลินผงะเพราะความกลัว เสียงนกร้องดังขึ้น คล้ายส่งเสียงเรียกนายของมัน เพียงชั่วครู่ เสียงตีปีกเกิดขึ้นอีกครั้ง แล้วใบหน้าของหงซือกวนก็ฝ่าความมืดสลัวปรากฏเข้าแทนที่ “พี่หง!”แม้สายลมรุนแรงจะพัดผ่านจนใบหน้าปวดแสบไปหมด ทั้งยังมีเสียงม้าร้องและเสียงลมที่ดังอื้ออึงจนหูอื้อตาลาย หากแต่หญิงสาวกลับร้องเรียกนามนั้นโดยไม่ต้องคิด เพราะชีว
ถึงแม้ในมือของหงซือกวนจะไร้ซึ่งอาวุธใดๆหากแต่พลังอันกล้าแกร่งที่มองไม่เห็นราวผุดมาจากขุมนรก ก็ทำให้หมาป่าล้มตายระเนระนาดปานดอกไม้ถูกเด็ดทิ้ง เศษซากของสัตว์ร้ายเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากเศษหญ้าถูกเหยียบย่ำพวกมันยังมิทันได้แสยะเขี้ยวเพื่อขย้ำเสียด้วยซ้ำ หากแต่กลับต้องมาตายในพริบตาทว่ายามเมื่อเสียงเซียวขาดหาย เหล่าหมาป่าที่ยังไม่ตายจึงเสียการควบคุม จากเดิมที่พุ่งตัวมายังเป้าหมายหนึ่งเดียวคือบุรุษสูงใหญ่ พวกมันจึงเริ่มวิ่งกระจัดกระจายไปแบบไร้ทิศทางหลายตัวหนีตายราวหนูเจอราชสีห์ แต่หลายตัวกลับเลือกสัญชาตญาณสัตว์ร้ายพุ่งเข้ามา หงซือกวนเพียงสะบัดมือไปอีกครา เหล่าหมาป่าพลันพากันกระเด็นไปไกลแต่สิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด เมื่อมีหมาป่าบางตัวบังเอิญฉลาดปราดเปรื่องเลือกที่จะจู่โจมม้าที่เชื่องช้ากว่ามันพวกมันพุ่งตัวไปกัดฝังเขี้ยวเอากับเจ้าม้าตัวใหญ่ที่คันรถ ยังผลให้ม้าตัวนั้นบาดเจ็บและตื่นตกใจพลันเตลิดจนเชือกที่ผูกกับต้นไม้ขาด แล้ววิ่งตะบึงตะบันอย่างไม่คิดชีวิตเหม่ยหลินที่เดิมทีนั่งหลบอยู่ในรถม้าตั้งแต่ตื่นจนเต็มตายามเมื่อได้ยินเสียงขู่กรรโชกรุนแรง ทำได้เพียงจับยึดผนังรถม้าเอาไว้แน่นยามที่มันเคลื่อ
บนต้นไม้ที่มีนกประหลาดเฝ้ายามอยู่พลันสะบัดปีกพึ่บรับรู้ถึงพลังของสัตว์ร้าย พร้อมๆ กับประสาทสัมผัสของหงซือกวนก็รับรู้ได้เช่นกันชายหนุ่มเพียงหลับตาฟังต้นทางแห่งเสียงย่ำปลายเท้าที่กำลังพากันย่างกรายเข้ามาใกล้ เมื่อแน่ใจในระยะทางจึงลืมตาขึ้นอย่างสงบเยือกเย็น เขาปรายสายตาคมดำมองสตรีที่นั่งหลับอยู่ข้างกายกันนิ่งๆแม้ว่ากลิ่นเหม็นสาบไม่พึงประสงค์จะย่างกรายคุกคามเข้ามาใกล้ทุกที หากแต่หงซือกวนยังคงใจเย็น เขาคิดว่าตนเองไม่เคยเลยที่จะต้องสนใจสิ่งใดยามภัยมาถึงตัว หากแต่ยามนี้มิรู้ได้ว่าทำไม...ชายหนุ่มขมวดคิ้วฉงนพลางหรี่ตาคมมองร่างบางที่หลับตาพริ้มพิงต้นไม้ ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือแตะไหล่นางเบาๆ“อือ...” เสียงตอบกลับจากสตรีผู้หลับใหลมีเพียงเท่านั้น เหม่ยหลินหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดทั้งสิ้นหงซือกวนยิ่งหรี่ตามอง ก่อนจะจ้องนิ่งที่นางอีกครา อึดใจต่อมาจึงโน้มตัวจับอุ้มนางไว้แนบอกแล้วลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ความนุ่มนิ่มจากเนื้อนวลที่ปะทะแผงอกแข็งแกร่ง ความหอมกรุ่นที่ปะทะจมูกโด่งสัน ทำให้เขาพลันเกิดกระแสประหลาดสายหนึ่งวูบผ่าน ปลายเท้าของร่างสูงพลันชะงัก ใบหน้าคมคายถึงกับก้มมอง สายตาโฉบเฉี่ยวจ้อ
ไกลออกมาจากสองชายหญิงกับหนึ่งนกประหลาดตัวใหญ่บนเชิงเขาสูงขึ้นไปปรากฏเงาร่างของชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งนั่งเอนกายอยู่บนต้นไม้เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืนแห่งรัตติกาล สายตาเรียวคมชื่นชมดวงจันทร์เต็มวงนวลกระจ่างอย่างรื่นรมย์ เขามีนามว่า เฟิงหลิวเฟิงหลิวเป็นชายหนุ่มผู้รักอิสระดั่งกระแสน้ำไหล แม้จะเป็นถึงบุตรชายแห่งชินอ๋องครองเมือง ฝีมือเชิงยุทธ์นับว่าไม่ด้อย เป็นหนึ่งในชาวยุทธ์ที่มีผู้คนกล่าวถึงแต่กระนั้นเขากลับไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเมืองหลวงหรือฝ่ายยุทธภพในขณะที่ชายหนุ่มกำลังชื่นชมจันทร์งามคืนวันเพ็ญที่ลอยเด่นอยู่บนฟ้ากว้าง ดวงตาดอกท้อที่บ่งบอกความเจ้าสำราญพลันเหลือบไปเห็นนกประหลาดตัวใหญ่เมื่อหรี่ตาเพ่งมองดีๆ จึงได้เห็นชายงามสง่าผู้หนึ่งอยู่ไกลๆ ข้างกายแกร่งมีสตรีบอบบางนั่งอยู่ด้วยกัน ฝ่ายสตรีนั้นเขาไม่เห็นหน้า เพราะว่านางนั่งขดตัวพิงต้นไม้คล้ายกับหลับใหล หากแต่ฝ่ายชายนั้นกลับน่าสนใจ เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้พานพบมาก่อนเฟิงหลิวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในห้วงคำนึงพลันนึกถึงครั้งที่ตนเองมีโอกาสเดินทางไปชมการประลองของชาวยุทธ์ ครานั้นจัดขึ้นที่หุบเขาไร้เมตตา เป็นการประ