LOGINเหม่ยหลินยกฝ่ามือน้อยๆ ที่อาการสั่นเทาเริ่มเบาบางขึ้นเพื่อใช้ชายผ้าตรงข้อมือซับน้ำตาที่ยังคงเปรอะเปื้อนอยู่เต็มใบหน้าให้หมดไปทั้งด้านซ้ายด้านขวา
ในขณะที่บุรุษร่างสูงใหญ่ที่ด้านข้างนางเพียงนั่งนิ่งๆ ไม่ว่ากล่าวสิ่งใด
“ข้าเสียมารยาทต่อหน้าท่านแล้ว” เหม่ยหลินเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเมื่อระลึกได้แล้วว่านางทำเรื่องน่าอายเหลือเกินกับกิริยาร่ำไห้อย่างนี้ หลายคราเสียด้วย
“ไม่เป็นไร” บุรุษแซ่หงเพียงตอบคำนิ่งๆ สายตาเฉี่ยวคมของเขายังคงจับจ้องใบหน้างดงามซีดเซียวไร้สีเลือดของเหม่ยหลินไม่วางตา
เหม่ยหลินนิ่งเงียบอีกครู่หนึ่ง ริมฝีปากสีชมพูที่แห้งผากของนางเริ่มคลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยวาจาเบาๆ
“ข้าคงต้องกลับแล้ว...”
บุรุษแซ่หงส่งเสียงอืมในลำคอเบาๆ พลางเบนสายตาคมเข้มออกจากวงหน้าของสตรีข้างกายเพื่อมองไปทางอื่น ก่อนลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงแล้วเดินข้ามศพทั้งหลายออกมายังธรณีประตูแล้วมองออกไปยังลานกว้างข้างล่างวัดแห่งนี้
ในระยะทางหลายจั้ง สายตาเรียวคมดุจพญาเหยี่ยวของเขาสามารถมองเห็นได้ไม่ยากเย็น ไกลออกไปจากตรงนี้ที่เขายืนอยู่ มีรถม้าคันใหญ่จอดอยู่ มีบ่าวไพร่ชายหญิงจำนวนหนึ่งยืนอยู่รอบรถม้าคันนั้น
“นั่นเป็นรถม้าของข้าเอง” เหม่ยหลินบอกกล่าวแก่เขาด้วยน้ำเสียงแผ่วหวานเมื่อลุกขึ้นแล้วเดินตามบุรุษร่างสูงออกมาจนมายืนเคียงข้างกับเขาแล้วมองออกไปยังทิศทางเดียวกัน นางเห็นรถม้าและบ่าวไพร่แค่ริบหรี่เพราะอยู่ไกล หากแต่ก็มองได้ไม่ต่างจากชายหนุ่มข้างกาย
“ข้าคงต้องลาก่อน...” นางกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นมองบุรุษแซ่หงอีกครู่หนึ่งด้วยสายตาคล้ายกับต้องการขออนุญาตบางอย่างแบบกล้าๆ กลัวๆ
บุรุษลึกลับแซ่หงจึงก้มหน้าลงมองสายตาอย่างนั้นของเหม่ยหลินก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “เจ้ามีอะไร?”
“ข้า...เอ่อ...” เหม่ยหลินอึกอักทำท่าทางคล้ายไม่แน่ใจคล้ายไม่กล้าคล้ายกับว่าควรจะบอกออกไปผสมปนเป
“มีอะไรก็ว่ามา!” เสียงเข้มเอ่ยออกมาอย่างทรงอำนาจ
เหม่ยหลินได้ยินน้ำเสียงทรงพลังอย่างนั้น นางถึงกับต้องหลุบตาก้มหน้าลงต่ำอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเงยหน้าขึ้นอีกครั้งแล้วมองสบตาคมเข้มของเขา นางค่อยๆ เอ่ยออกมาอย่างระมัดระวัง
“ท่านจำสิ่งใดไม่ได้ แม้แต่นามของตน เช่นนั้นแล้ว...”
ร่างสูงโปร่งตรงหน้าเริ่มหรี่ตามองเมื่อได้ยิน เหม่ยหลินถึงกับต้องหยุดเอ่ยคำพลางสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนเอ่ยออกมาอย่างต่อเนื่องแค่เพียงเบาๆ
“ข้าแน่ใจ ว่าท่านไม่ธรรมดา การแต่งกายรวมถึงกลิ่นอายจากเรือนกายของท่านบอกกล่าวออกมาได้เป็นอย่างดี รวมทั้งฝีมือการสังหารของท่าน”
“แล้วอย่างไร?” ชายหนุ่มถามเสียงห้วน
เหม่ยหลินกลั้นใจกล่าวต่อ “หากแต่ท่านยังไม่อาจรู้ว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรู”
บุรุษแซ่หงได้ฟังจึงหรี่ตาคมเข้มจนเล็กแคบลงจ้องมองเหม่ยหลินนิ่งงัน
ไป๋เว่ยซินพลันเบิกตา ไหนเลยจะไม่รู้ถึงคำว่านอนที่มิใช่การหลับตานิทราหญิงสาวรีบยกมือสกัดกั้นทันที เรียวนิ้วนุ่มนิ่มทั้งห้าดันแก้มสากออกห่าง “หนวด! ท่านควรโกนหนวดก่อน”จ้าวซือหงชะงัก เขาหรี่ตาสำรวจผิวเนียนละเอียดของภรรยา จึงเห็นว่ามีริ้วรอยสีแดงเล็กๆ ปรากฏอยู่พอควร เมื่อครู่ที่ไป๋เว่ยซินหลับไปแล้ว แต่ต้องตื่นขึ้นมากะทันหันก็เพราะถูกเส้นขนแข็งๆ ทำให้ระคายเคืองนี่เองหญิงสาวหลุบตากล่าว “อีกอย่าง ข้ายังเจ็บเท้าอยู่ คงไม่สะดวก”แม้จะรู้สึกคุ้นเคย แต่จู่ๆ ให้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันเลย นางรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งนัก ขอทำใจอีกสักพักได้หรือไม่คิดไปคิดมาก็นึกกังขาขึ้นมาจึงถามตามตรง “พี่หง การที่เราแต่งงานโดยสมรสพระราชทานเช่นนี้ มิใช่ว่าท่านเป็นคนจัดการกระมัง?”จ้าวซือหงนิ่งเงียบ ไม่ปฏิเสธ และนั่นก็แน่นอนแล้วว่าคือคำตอบ ไป๋เว่ยซินหรี่ตา “ที่แท้มิใช่เพราะท่านพ่อข้ามีความดีความชอบอันใด แต่เพราะท่าน ...ท่านมัดมือชกข้า” ชายหนุ่มยังคงเงียบไม่ปฏิเสธเพียงกระตุกยิ้มมุมปาก เป็นการตอบรับอย่างไม่สะทกสะท้านด้วยนิสัยใจคอไม่เหมือนสตรีทั่วไปในยุคสมัยนี้เท่าใด หญิงสาวจึงเริ่มโวยวาย “พี่หง ท่านควรเกี้ยวพาอย่าง
“พี่หง! ท่านแกล้งข้า วันนี้เจอกันที่หอตำรา เหตุใดไม่บอกข้าตามตรงว่าเป็นใคร ข้าตกใจแทบตายรู้หรือไม่?”ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามยิ้มๆ “ตกใจที่ข้าเป็นชินอ๋อง หรือตกใจที่รู้ว่าข้าคือสามี?”“ข้าตกใจทุกอย่างนั่นล่ะ เหตุใดไม่บอกข้า?”เห็นคนงามแง่งอนโวยวายด้วยใบหน้าแดงซ่านเพราะความเขินอาย จ้าวซือหงจึงลูบแก้มนางอย่างเอ็นดู “ข้ากำลังจะบอกแล้วแต่เจ้าไม่อยู่ฟัง”“ท่านควรรั้งข้าไว้”“เห็นเจ้าแน่วแน่ปานนั้น ใครจะกล้ารั้ง”น้ำตาแทบหยาดหยด ทั้งโกรธทั้งเจ็บทั้งอับอาย ยิ่งนึกถึงตอนที่อยู่ในหอตำรา กิริยาปฏิเสธเสียงแข็งที่เผยออกมาต่อหน้ายามเขาบอกว่าคิดถึงยังคงตราตรึง ฝังแน่นไม่คลาย ไป๋เว่ยซินแทบกัดลิ้นตัวเองจริงๆหญิงสาวเถียงไม่ออก ได้แต่หลับตาเบือนหน้าหนี ครั้นนึกได้อีกทีว่าอีกฝ่ายเป็นถึงชินอ๋อง นางที่พลั้งปากพูดจาไม่สุภาพไปหลายคำก็แทบร่ำไห้ หญิงสาวหันหน้ากลับมา “ขออภัย หม่อมฉันทำตัวน่าอายอีกแล้วเพคะ เจอกันเมื่อใดเป็นต้องขายหน้าตลอด”จ้าวซือหงไหนเลยจะใส่ใจถือสา “เราเป็นสามีภรรยา เจ้าเรียกข้าเหมือนเดิมเถิด” เขาย่อตัวก้มหน้าจับข้อเท้านางขึ้นมาสำรวจ“เจ้าเจ็บตอนล้มหรือ?”ไป๋เว่ยซินพยักหน้า
หากแต่ความหวังอันน้อยนิดของไป๋เว่ยซินกลับพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่า เมื่อเสียงทำความเคารพแว่วมา“คารวะชินอ๋อง”ตามด้วยเสียงทุ้มต่ำของบุรุษคนหนึ่งท่ามกลางเสียงทำความเคารพนั้น “เว่ยซิน เจ้าวิ่งหนีออกมาทำไม?”หญิงสาวเจ็บข้อเท้าจนน้ำตาไหล ขณะหางตาเห็นใครบางคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ ปลายชุดคลุมสีน้ำเงินตัวนี้คือชุดเดียวกับที่นางเห็นแขวนอยู่ในห้องอาบน้ำเมื่อครู่นี่นาเช่นนั้นเจ้าของเสียงจะเป็นใครไปได้ หากมิใช่สามีไป๋เว่ยซินเม้มปากเบือนหน้าหนีอย่างอับอายที่สุด เหตุใดการพบหน้าสามีครั้งแรกจึงย่ำแย่ปานนี้!“เว่ยซิน!” เสียงทุ้มถามขึ้นเหนือศีรษะคนตัวเล็ก “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”หญิงสาวส่ายหน้าไปมาก่อนหยักหน้าหงึกหงัก ท่าทางสับสนวุ่นวายใจเป็นที่สุด พริบตาฟ้าพลันตลบ ภาพหน้าเรือนพลันพลิกกลับ ร่างทั้งร่างถูกคนตัวโตอุ้มไว้ “อ๊ะ!”แขนเล็กรีบตวัดคล้องคอแกร่งโดยสัญชาตญาณ ไออุ่นแผ่ซ่าน ครั้นเงยมองอย่างตกใจจนเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดเจน ไป๋เว่ยซินพลันแตกตื่นยิ่งกว่าเดิม ดวงตาฉ่ำน้ำเบิกมองจนกลมโตมากกว่าครั้งไหน นางอ้าปากพะงาบๆ แต่เปล่งเสียงไม่ออกสักคำ เอาแต่จ้องใบหน้าเจ้าของอ้อมแขนอยู่เช่นนั้น กลายเป็นบื้อใบ้ไปชั่ว
อ๋องหนุ่มสั่งเสียงเข้ม “นำคำพูดข้าไปบอกใต้เท้าจาง หากกล้าปล่อยบุตรสาวมาพูดจาเลื่อนเปื้อนกับพระชายาอีก ข้าจะยึดบรรดาศักดิ์คืนและริบทรัพย์สกุลเข้าคลังหลวง”หยางมู่รู้สึกเสียวสันหลังแทนจิ้งหย่วนโหวเหลือเกิน การมีบุตรีนิสัยไม่ดีเหมือนมีศัตรูคอยบั่นทอนชีวิตอย่างไรอย่างนั้น ดูเถิดแค่การกระทำไร้สติเพียงเล็กน้อยยังสามารถลบล้างความดีความชอบที่สั่งสมมาชั่วชีวิตได้ในพริบตาหยางมู่ขนลุกชูชันไม่หาย จ้าวซือหงหรี่ตากล่าวอีกว่า “ส่วนองค์หญิงสาม พรุ่งนี้ข้าจะไปหารือกับฝ่าบาทด้วยตัวเอง เลือกคู่ครองให้นางแต่งออกไปเสีย”หยางมู่น้อมรับคำสั่งแล้วเร่งรุดไปจัดการให้ทันทีเมื่อจ้าวซือหงเดินเข้าห้องมา จึงได้เห็นเสี่ยวฉงหมอบตัวราบกับพื้นห้อง แนบใบหน้ากับหลังฝ่ามือ ทำความเคารพและส่งเสียงคารวะโดยไม่เงยหน้าทว่ากลับมิอาจปกปิดกลิ่นสุราที่โชยขึ้นมาแตะจมูกของคนไวต่อสัมผัสทั้งห้าอย่างชินอ๋องได้บ่าวยังขนาดนี้ ผู้เป็นนายจะขนาดไหน?ชายหนุ่มเอ่ยเสียงขรึม “เจ้าออกไป”เสี่ยวฉงนั้น แม้นางจะรักนายหญิงของตนมาก หากแต่ชั่วเวลานี้การออกหน้าให้ย่อมมิใช่ความคิดที่ดีเท่าใด ดูเถิด กลิ่นอายอันสูงศักดิ์แต่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง
นอกประตูเรือนเหล่าขันทีและนางกำนัลกำลังยืนนอบน้อมสองฝั่งตั้งแต่หน้าประตูตำหนักจนถึงประตูเรือนส่วนพระองค์ โคมไฟสีแดงถูกจุดตลอดแนว บุปผาสีแดงถูกโยนโปรยปราย เกิดเป็นภาพอันงดงามแต่แปลกประหลาดเกินบรรยาย คล้ายเจ้านรกนึกสนุกผุดขึ้นมาเล่นกับมวลมนุษย์กระนั้นการต้อนรับอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ที่ทำข้าราชบริพารตกใจปานนี้ล้วนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนพวกเขาต่างสะกดกลั้นเนื้อตัวสั่นเทาเอาไว้สุดกำลัง แม้จะเคารพและภักดี แต่เรื่องเช่นนี้ล้วนทำผู้คนขนลุกชูชันนึกหวาดผวากับความยากคาดเดาห้วงความคิดองค์เหนือหัวร่างสูงใหญ่ของจ้าวซือหงค่อยๆ เดินผ่านอย่างสุขุม เขาอยู่ในชุดผ้าไหมปักลายสีน้ำเงินเข้มตัวยาว ยามก้าวเท้าชายผ้าสะบัดพลิ้วแลดูงดงามท่ามกลางกลิ่นอายน่าเกรงขามเมื่อเดินมาถึงหน้าเรือนกลับพบประตูที่ปิดสนิท ไร้เงาของพระชายาออกมายืนต้อนรับอย่างที่ควรจะเป็นจ้าวซือหงขมวดคิ้วเล็กน้อยฉินกงกงขันทีใหญ่ประจำตำหนักเป็นคนช่างสังเกต จึงรายงานอย่างระมัดระวังว่า “ทูลท่านอ๋อง วันนี้พระชายามีท่าทางกลัดกลุ้ม เสี่ยวฉงจึงนำสุรามาถวายพ่ะย่ะค่ะ”หยางมู่ที่เดินตามหลังกำลังบดกรามกลั้นหัวเราะจนหน้าแดงไปหมด เมื่อการเ
หลังจากทำความเคารพอ่อนช้อยตามธรรมเนียม คุณหนูจางอวิ๋นเชิดหน้ายืดคองามระหงขึ้น ท่วงท่าทะนงตน ปรายตาสำรวจมองไป๋เว่ยซินแบบไม่ตั้งใจ แต่แววตาคล้ายเหยียดหยัน คล้ายยกตนข่มนางครามครัน วันนี้ไป๋เว่ยซินแต่งกายงดงามหรูหราสมฐานะชายาเพื่อเป็นการให้เกียรติตำหนักอ๋องอยู่หรอก เพียงแต่ด้วยวัยเพียงสิบหกปี นางคิดว่าควรแต่งกายด้วยสีสันสดใสสักหน่อยจึงจะดี ช่วยมิได้ที่นางชอบสีแนวนี้ตั้งแต่ภพชาติที่แล้วการแต่งกายด้วยโทนสีสำหรับสาวแรกรุ่นย่อมทำให้คนอารมณ์เบิกบานแจ่มใส นางจะแต่งแบบนี้ใครจะทำไม คิดพลางมองประเมินเปรียบเทียบกับอีกฝ่ายตามวิสัยสตรีแต่คุณหนูจางใส่ชุดลายดอกเหมยสีทับทิมที่เรียบหรูแลดูเกินวัยอยู่มาก เรียกว่าสง่างามหาใดเทียม มองแล้วให้ความรู้สึกเหนือกว่าไป๋เว่ยซินอย่างชัดเจนหากได้มาเดินเคียงคู่กับไป๋เว่ยซินในตำหนักรัตติกาล ผู้คนอาจเข้าใจผิดว่าจางอวิ๋นเป็นเอกแต่ไป๋เว่ยซินเป็นรอง ในศาลารับลม ไป๋เว่ยซินกับจางอวิ๋นมองหน้ากันนิ่งๆ ต่างมีความคิดลึกล้ำยากหยั่งถึง กระนั้นไป๋เว่ยซินกลับอ่านสีหน้าจางอวิ๋นออกอีกฝ่ายเผยสีหน้าสื่อนัยว่า ข้ามาก่อน รักมาก่อน เจ้าคือคนมาทีหลังรู้หรือไม่?คิ้วเรียวสวยของไป๋เว่







