LOGINเวลาผ่านไปจนล่วงเข้ายามดึกของห้วงรัตติกาล สายลมที่เพียงหนาวเหน็บจึงเย็นเยียบมากกว่าเดิม
หลังจากกินอาหารมื้อค่ำที่เป็นเพียงไก่ป่าย่าง เหม่ยหลินที่ได้ผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญกว่าครั้งไหนๆ เริ่มทนความง่วงงุนไม่ไหวอีกต่อไป นางจึงนั่งหลับอยู่ใกล้ๆ กับบุรุษแซ่หง
โดยที่ชายหนุ่มแค่นั่งมองนางด้วยสายตาเย็นชา เขาคิดว่านางควรจะไปนอนหลับภายในรถม้า แต่นางกลับนั่งอยู่กับเขาไม่ยอมขยับไปไหน น่าแปลกใจที่เขาเองก็ไม่ขยับกายไปทางใดเช่นกัน
ส่วนเจ้านกประหลาดตัวนั้นเพียงเกาะอยู่บนต้นไม้ ทำตัวเป็นยามให้เจ้านายอย่างแข็งขัน สายตาคมกล้าของมันมองกราดไปทั่วรอบทิศ มันทำตัวเป็นสมุนผู้จงรักภักดีไร้ที่ติ แม้เจ้านายจะจำมันมิได้อีกต่อไป
ชายผู้มีความทรงจำอันว่างเปล่า ได้แต่มองหญิงสาวผู้หลับใหลอย่างไม่เข้าใจ ไม่ว่าเขาจะพิศมองนางอย่างไร ก็ให้รู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่า แต่นางกลับถูกตามล่าอย่าบ้าคลั่ง ทั้งๆ ที่นางบอบบางและอ่อนแอ ทำได้แค่ร้องไห้และยิ้มหวาน พวกที่ตามฆ่านางคงไม่มีอะไรทำ หรือไม่ก็คงเป็นพวกปัญหานิ่มไร้ฝีมือ
ชั่วครู่ต่อมา ชายหนุ่มจึงละสายตาออกจากหญิงสาวข้างกาย มองออกไปยังความมืดดำของรัตติกาล หมายให้แน่ใจว่าไม่มีสัตว์ร้ายตัวใดเคลื่อนกายพาดผ่าน ก่อนจะดึงเอาป้ายหยกสีดำนิลขึ้นมาพินิจโดยละเอียด ปลายนิ้วแกร่งเกลี่ยเบาๆ ที่คำว่าหง เขาหลับตาลงนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ ความทรงจำที่ขาดหายไปมีสิ่งหนึ่งที่เขาเริ่มจำได้เลือนราง
สิ่งนั้นคือสิ่งที่เจ้านกประหลาดช่วยฟื้นให้เขาได้เศษเสี้ยวหนึ่ง เนื่องจากทันทีที่ปลายเล็บแหลมคมของมันมาเกาะที่ไหล่เขา กลิ่นสาบอันคุ้นเคยและสายตาอันคุ้นชินของเจ้านกตัวนั้นกระตุ้นความทรงจำได้บางส่วน
เขาแน่ใจว่าเจ้านกตัวนี้ไม่พ้นเป็นนกส่งสาร
หากผู้ใดได้รับสารจากมัน ย่อมหมายถึงได้รับคำสั่งจากเขาผู้เป็นนาย
ไม่ว่าสารนั้นจะมีเป็นอะไร หากแต่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจคือสารนั้นย่อมส่งจากเขา
หงซือกวน...
ชายหนุ่มหลับตาลงดิ่งลึกกับห้วงคำนึงถึงนามนั้นซ้ำไปซ้ำมา
มันเป็นนามเดียวที่เขาระลึกได้ในยามที่สบตากับเจ้านกทมิฬที่บินมาเกาะไหล่ เขาค่อนข้างแน่ใจว่ามันคือนามของเขา
หากแต่มันเป็นสิ่งเดียวในความทรงจำทั้งหมดที่หายไป ถึงอย่างไรเขาก็จำอะไรไม่ได้อยู่ดี
[1] หนึ่งฉื่อ = สิบชุ่น (ราวๆ 1 ฟุต)
[2] หนึ่งจั้ง = สิบฉื่อ (ราวๆ 3.3 เมตร)
เสี่ยวฉงเห็นสีหน้าที่เผยความคับข้องใจของนายสาวจึงรีบเอ่ยปลอบ “คุณหนูอย่าได้น้อยอกน้อยใจไปเลยเจ้าค่ะ แม้ว่าตลอดช่วงพิธีการจะไม่มีเจ้าบ่าว ทว่าสิ่งทดแทนที่ทางพระราชวังจัดการให้ล้วนถูกต้องพร้อมสรรพ นับจากนี้คุณหนูคือพระชายาโดยสมบูรณ์อย่างจริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ”ใครห่วงเรื่องนั้นกันเล่า! ไป๋เว่ยซินแทบกลอกตาเสี่ยวฉงยังคงไม่เข้าใจความคิดของนายสาว นางยังคงนั่งยิ้มแป้นดวงตาพราวระยับขณะสาธยายความเก่งกล้าสามารถของชินอ๋องอย่างยกย่องเชิดชูต่อเนื่อง“ชินอ๋องเป็นผู้เหี้ยมหาญ พระองค์จับอาวุธและนั่งอยู่บนหลังม้านับแต่อายุเพียงสิบสี่ปี เพราะต้องการปกป้องประชาชนจากผู้รุกราน ปกป้องผืนแผ่นดินยามระส่ำระส่ายช่วงผลัดเปลี่ยน ชาวเมืองทุกคนปลอดภัยอยู่ภายใต้กำแพงที่สูงตระหง่าน ส่วนชินอ๋องตอนนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มด้วยซ้ำ พระองค์ตวัดดาบตัดศีรษะของศัตรูที่เหี้ยมโหดอยู่ด้านนอก มีใต้ฟ้าเป็นหลังคาผืนพนาเสมือนเตียงนอน เพื่อชาวประชาได้หลับสบายในเรือนทุกราตรี”ไป๋เว่ยซินได้ฟังเรื่องราวของชินอ๋องเป็นครั้งที่เท่าใด มิอาจนับแล้ว ไม่ใช่เฉพาะจากปากของเสี่ยวฉง แต่ญาติพี่น้องที่มาเยือนเพื่ออวยพรตั้งแต่ก่อนแต่งล้วนพูดในทำนองเดี
“คนรักของหลงเอ๋อร์เป็นใคร?”วิญญาณสาวคลี่ยิ้มกว้าง“คนรักของนางเป็นรัชทายาทแห่งจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ นามว่า หลี่ซื่อหมิน ท่านห้ามรังแกเขา” หงซือกวนเอ่ยอีกครั้งอย่างดื้อดึงในแบบที่ไม่เคยเป็น “หากข้าได้เขามาเป็นประมุขสำนักหมื่นโลกันตร์ ทุกสิ่งถือว่าจบสิ้น ข้าย่อมตายตามเจ้าไปได้ หลินเอ๋อร์” เหม่ยหลินส่ายหน้าน้อยๆ รอยยิ้มงดงามยังคงประดับมุมปาก “ยังไม่ถึงเวลาของท่าน”“ได้อย่างไร”“เรื่องของหลงเอ๋อร์มิได้ง่ายดายปานนั้น”“ข้าจะทำทุกทางให้เขามารับตำแหน่งประมุข ต่อให้จับหลงเอ๋อร์เป็นตัวประกัน ข้าก็ยอม”เหม่ยหลินถึงกับหลุดหัวเราะเสียงใสกับชายผู้สุขุมเยือกเย็นเสมอมา แต่กลับเอาแต่ใจได้อย่างร้ายกาจ“ภายภาคหน้า ท่านยังจะมีหลานชายคนสำคัญ เขาต้องการท่าน เขาคือผู้สืบทอดสำนักหมื่นโลกันตร์ที่แท้จริง”เสียงหวานกังวานใสเอ่ยอีกครา “รอก่อนเถิด ให้ข้าพาหลานสะใภ้จากศตวรรษที่21มา ถึงยามนั้นท่านกับข้าก็จะได้อยู่ด้วยกัน”เส้นเสียงแตกพร่าไม่ยินยอม “มันนานเกินไป” เหม่ยหลินส่ายหน้าน้อยๆ เรียกขานกัน “พี่หง... สามีข้าต้องไม่ดื้อกับภรรยา” นางยิ้มกว้างยามเอ่ย ประกายในดวงตาพราวระยับ ทั้งงดงามทั้งซุกซน “พลังแห่งจิตวิญ
“คนรักของหลงเอ๋อร์เป็นใคร?”วิญญาณสาวคลี่ยิ้มกว้าง“คนรักของนางเป็นรัชทายาทแห่งจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ นามว่า หลี่ซื่อหมิน ท่านห้ามรังแกเขา” หงซือกวนเอ่ยอีกครั้งอย่างดื้อดึงในแบบที่ไม่เคยเป็น “หากข้าได้เขามาเป็นประมุขสำนักหมื่นโลกันตร์ ทุกสิ่งถือว่าจบสิ้น ข้าย่อมตายตามเจ้าไปได้ หลินเอ๋อร์” เหม่ยหลินส่ายหน้าน้อยๆ รอยยิ้มงดงามยังคงประดับมุมปาก “ยังไม่ถึงเวลาของท่าน”“ได้อย่างไร”“เรื่องของหลงเอ๋อร์มิได้ง่ายดายปานนั้น”“ข้าจะทำทุกทางให้เขามารับตำแหน่งประมุข ต่อให้จับหลงเอ๋อร์เป็นตัวประกัน ข้าก็ยอม”เหม่ยหลินถึงกับหลุดหัวเราะเสียงใสกับชายผู้สุขุมเยือกเย็นเสมอมา แต่กลับเอาแต่ใจได้อย่างร้ายกาจ“ภายภาคหน้า ท่านยังจะมีหลานชายคนสำคัญ เขาต้องการท่าน เขาคือผู้สืบทอดสำนักหมื่นโลกันตร์ที่แท้จริง”เสียงหวานกังวานใสเอ่ยอีกครา “รอก่อนเถิด ให้ข้าพาหลานสะใภ้จากศตวรรษที่21มา ถึงยามนั้นท่านกับข้าก็จะได้อยู่ด้วยกัน”เส้นเสียงแตกพร่าไม่ยินยอม “มันนานเกินไป” เหม่ยหลินส่ายหน้าน้อยๆ เรียกขานกัน “พี่หง... สามีข้าต้องไม่ดื้อกับภรรยา” นางยิ้มกว้างยามเอ่ย ประกายในดวงตาพราวระยับ ทั้งงดงามทั้งซุกซน “พลังแห่งจิตวิญ
เมื่อในห้องเหลือเพียงสองคน จ้าวซือหงจึงลืมตา พยักหน้าให้ลูกน้องคนสนิทรายงานหยางมู่จึงเปิดจดหมายเปล่งเสียงทุ้มต่ำฉะฉานขึงขัง“คุณหนูไป๋ไม่ยินดีกับงานมงคลจึงแอบหนีจากจวน เคราะห์ร้ายถูกคุณชายเฉินที่เดินเตร็ดเตร่ยามราตรีพบเห็น เขาลอบติดตามกระทั่งเข้าไปในห้องพักของโรงเตี๊ยมหมายรวบรัดนาง องครักษ์เงาที่ท่านอ๋องสั่งให้คอยติดตามคุ้มครองคุณหนูไป๋ยังไม่ทันเข้าช่วยเหลือ กลับเห็นนางดึงมีดออกจากใต้หมอนแทงคุณชายเฉินไปหนึ่งแผลจนสลบเหมือด”ยิ่งอ่านหยางมู่ยิ่งกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น แอบชำเลืองมองนายเหนือหัวเป็นระยะๆมิคาดจะเห็นแค่ดวงตาคมเฉี่ยวหรี่ลงอย่างอันตราย รอบกายแผ่ซ่านกลิ่นอายสังหารออกมาอย่างเข้มข้น กระนั้นผู้เป็นนายเพียงโบกมือให้เขารายงานต่อไป คล้ายรับรู้อยู่แล้วว่าสตรีของตนเป็นคนเช่นใด เรื่องที่คุณหนูไป๋กระทำลงไปออกจะไม่เหมาะสมและสุ่มเสี่ยงเหลือเกิน นางถึงขั้นกล้าหนีสมรสพระราชทาน โชคดียิ่งนักที่นางสามารถเอาตัวรอดได้“ยามนี้คุณหนูไป๋ถูกส่งตัวกลับจวนไป๋อย่างปลอดภัย ส่วนคุณชายเฉินถูกส่งตัวกลับจวนเฉินเช่นกัน เรื่องคืนนั้นล้วนเป็นความลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้พ่ะย่ะค่ะ”“สั่งคนของเราให้จัดการเฉินเจีย
“พวกนางน่าเบื่อ มีเพียงเจ้าที่ข้าคะนึงหาเฝ้าฝันถึง”คิดถึงเพราะไม่ได้ครอบครองน่ะสิ!ไป๋เว่ยซินยิ่งดิ้นสุดแรงขัดขืนสุดชีวิต“เจ้าจะขัดขืนไปไย ในเมื่อเราเคยเป็นคนรักกัน”“แต่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ล่วงเกินโดยที่คนเขาไปเต็มใจ”“ข้าไม่สน”“เจ้าคนชั่ว!” ไป๋เว่ยซินออกแรงปัดป้องทุกทาง เมื่อเฉินเจียหมิงยื่นหน้าตามติดประชิดอย่างหื่นกระหาย เขาทำตัวคล้ายคนถูกวางยามากระนั้นกำลังจะอ้าปากกรีดร้องให้คนมาช่วย พลันคิดได้ว่าการอยู่กับชายผู้นี้สองต่อสองในโรงเตี๊ยมยามดึกดื่น ทั้งยังอยู่บนเตียงนอนในสภาพหมิ่นเหม่ ต่อให้ไม่ถูกย่ำยีย่อมต้องถูกจับแต่งงานกับเขาอยู่ดีซึ่งนางไม่อาจยอม...ไป๋เว่ยซินจึงหยุดดิ้น ฝ่ามือน้อยๆ ลอบล้วงเข้าไปที่ใต้หมอนอย่างเชื่องช้าเฉินเจียหมิงยังคงยกยิ้มกรุ้มกริ่มแววตาโหยหา “เว่ยซิน เจ้ายอมข้าแล้ว? เจ้ายังรักข้าอยู่ ถูกต้องไหม? หืม”ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดใบหูขาว กลางกายยิ่งเหยียดขยายแข็งขึงจนกล้ามเนื้อทุกส่วนขมวดเกร็งปวดตึง ท้องน้อยปวดหนึบรวดร้าว เนื้อตัวของเฉินเจียหมิงสั่นเทา เขาก้มหน้าสูดดมความหอมหวานที่ซอกคอนางอย่างรักใคร่“เว่ยซิน ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน เป็นของข้าเถิด...”ชายแดนฝั่ง
ชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าลวกๆ สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ไม่ยอมรับความผิดของตน และไม่ยอมทนจนสิ้นแรงเด็ดขาดราตรียังคงมืดสลัว ในหัวยังคงมีภาพของใครบางคนใครคนนั้นคือคนที่เฉินเจียหมิงรักใคร่ด้วยใจจริง หากแต่มิอาจครอบครองดังปรารถนาทุกอย่างผิดพลาดที่ใด ทำไมถึงคลาดเคลื่อนไปหมดชายหนุ่มให้รู้สึกคิดถึงสตรีผู้เป็นรักแรกพบสุดหัวใจไป๋เว่ยซินผู้เรียบร้อยอ่อนหวาน นางเป็นสตรีผู้งดงามทั้งกายใจ เขาทำนางหลุดมือไปอย่างน่าเสียดายเหลือเกินคิดแล้วก็ยิ่งทำใจมิได้ เมื่อได้ตระหนักรู้ซึ้งแล้วว่าแท้จริงชินอ๋องมิใช่แค่สหายของไป๋เว่ยซิน หากแต่พระองค์กลับหมายมาดในตัวนาง ถึงขั้นมีสมรสพระราชทานตัดหน้า เขาที่คิดหย่าขาดเพื่อแต่งงานใหม่กับนางจึงเป็นโมฆะแววตาเฉินเจียหมิงฉายแววอาดูร ยิ่งคิดว่าหมดสิทธิ์ในตัวไป๋เว่ยซินแล้วโดยสิ้นเชิงก็ยิ่งเผยความเจ็บปวดชอกช้ำทั้งกายใจ มิรู้ว่าตัวเขาเดินออกมาจากจวนเฉินตั้งแต่เมื่อใด รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่หน้าประตูจวนไป๋แล้วแน่นอนว่าชายหนุ่มไม่อาจเข้าไปหานางในดวงใจได้ทางประตูใหญ่ เขาจึงหมุนกายเดินไปเรื่อยๆ จนถึงประตูข้าง เผื่อมีวาสนาลอบเข้าไปหานางสักคราเฉินเจียหมิงเลือกประตูข้างตรงมุมอับท้ายจว


![จะไม่ทนกับบทบาทนางร้าย [รีไรท์ตอนจบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)




