แม้ใจจะคิดอย่างนั้น ทว่ากิริยาต่อสตรีตรงหน้ามีเพียงมองนางนิ่งๆ มิได้เอ่ยขัดแม้ครึ่งคำ
เหม่ยหลินเห็นอย่างนั้นจึงยิ่งคลี่ยิ้มอ่อนหวานส่งให้ ด้วยเกรงว่าเขาอาจจะไม่พอใจกับกิริยาท่าทางไม่งามของนางเมื่อครู่
“ให้ข้าช่วยท่านบ้าง ได้หรือไม่” นางถามเสียงหวาน
“ช่วยอะไร” เขาหรี่ตามอง
“เอ่อ...ข้าเห็นท่านมีอาหารติดมือมา” เหม่ยหลินทำท่าครุ่นคิดหนักหน่วงที่สุดในชีวิตก่อนเอ่ยเสียงเบาอย่างไม่มั่นใจ “ข้าช่วยหาฟืนให้ดีหรือไม่”
“ย่อมได้” บุรุษตรงหน้าเอ่ยอนุญาตแค่นั้นก่อนหันหลังเดินไปยังพื้นที่โล่งไม่ไกลกันเพื่อจัดการกับไก่ป่าที่หามาได้
เมื่อเหม่ยหลินได้รับอนุญาตแล้วอย่างนั้น นางจึงรีบเดินหาฟืนเพื่อที่จะนำมาก่อไฟ
เวลาผ่านไปเกือบสองเค่อ เหม่ยหลินจึงหอบกิ่งไม้แห้งเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างหวงแหนเดินกลับมา
แต่ทว่าตรงที่พี่หงของนางนั่งอยู่กลับมีกองไฟและไก่ป่ากำลังส่งกลิ่นหอมบ่งบอกได้ว่ามันใกล้จะสุกแล้ว
เหม่ยหลินถึงกับยืนนิ่งอยู่กับที่ ทำอะไรไม่ถูกอยู่อึดใจ
นี่นางพยายามหาฟืนนานเกินไปใช่หรือไม่ ไยนางถึงไร้ประโยชน์อย่างนี้
หญิงสาวถึงกับยืนกะพริบตาปริบๆ มองกองไฟที่กำลังปะทุคุโชนส่งความร้อนใส่ไก่จนเนื้อเริ่มเป็นสีเหลืองจนกลิ่นหอมกรุ่น
นางเดินคอตกเข้ามาหาพี่หงของนางอย่างรู้สึกผิดมากมาย นางทรุดกายลงนั่งข้างๆ เขาอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง พลางวางกิ่งไม้แห้งเอาไว้อย่างทะนุถนอมบนพื้นดิน
กิริยาทุกอย่างล้วนนุ่มนวลอ่อนโยน คล้ายขนนกลอยมากระทบปุยเมฆกระนั้น
บุรุษแซ่หงมองกิริยาอย่างนั้นของนางอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอื้อมมือหยิบเอากิ่งไม้ของนางมาหักแล้วใส่เข้าไปในกองไฟก่อนกล่าวเสียงเย็น “กิ่งไม้ของเจ้าคงช่วยได้มาก หากไม่ได้มัน เราคงไม่ได้กินอาหารกันง่ายๆ กระมัง”
เหม่ยหลินหลุบตาลงอย่างนึกอับอายระคนอ่อนใจอย่างไร้เรี่ยวแรง
“อืม...ข้าขอโทษ” นางตอบในลำคอเบาๆ ด้วยใบหน้าแดงก่ำริมฝีปากเม้มสนิทรู้สึกผิดเพิ่มขึ้นมา
บุรุษร่างใหญ่เพียงก้มหน้ามองนางนิ่งงัน สายตาคมเข้มโฉบเฉี่ยวของเขาจ้องใบหน้าของนางไม่วางตา มุมปากของเขาที่เขารับรู้ได้ว่าไม่เคยคลี่ออกมาให้กับผู้ใด แต่มันกลับกำลังยกยิ้มบางเบาอย่างที่ไม่เคยเป็น
“ข้าออกไปหามาให้ท่านอีกดีหรือไม่” เหม่ยหลินยังคงมีความพยายามกับเรื่องกิ่งไม้ยิ่งนัก
“พอเถอะ” บุรุษแซ่หงตอบกลับแค่นั้น
เหม่ยหลินถึงกับสะดุ้งตกใจก่อนจะนิ่งเงียบไปอีกคราอย่างรู้สึกผิดฉายชัด
“ข้าขอโทษ”
“ไม่เป็นไร”
“ให้ข้าหักกิ่งไม้ใส่กองไฟก็ยังดี”
เหม่ยหลินกล่าวจบคำก็หยิบกิ่งไม้บนพื้นดินมาหักออกอย่างยากลำบาก ฝ่ามือน้อยๆ สั่นเบาๆ
ทำเอาบุรุษข้างกายถึงกับต้องเบือนใบหน้าคมเข้มไปทางอื่น เพื่อหลบรอยยิ้มตรงมุมปากที่คลี่ออกมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่ได้…
สีหน้าคนงามยามนี้ดูสงบนิ่งจริงจัง ฉายแววความเป็นสตรีที่เปี่ยมพลังน่าค้นหา มิใช่สตรีอ่อนหัดที่ทำได้เพียงเดินชดช้อยไปมาในเรือนนางดูสุขุมนุ่มนวล สายตาเฉียบขาดทว่าอ่อนโยน ท่าทางสูงส่งทว่าอ่อนน้อมถ่อมตนเมื่อพิศมองเนิ่นนาน จึงพบว่าสตรีนางนี้ มีเสน่ห์งดงามและเข้มแข็งความเป็นผู้นำของนางล้วนมีให้เห็น แต่ในความเป็นผู้นำนั้นกลับมีความเป็นผู้ตามที่ดี ซึ่งบ่งบอกว่าไว้วางใจได้ อาจจะเทียบเท่าการฝากฝังชีวิตให้ดูแลได้เลยกระมังนัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองฟางหลันไม่กระพริบ ในใจพลันรู้สึกอยากเห็นนางยามออดอ้อน ช้อนตามองเขาอย่างเอียงอาย พร่ำคำรักให้กันได้ยิ่งดียามแข็งขึงประหนึ่งดั่งหินผา ยามอ่อนโยนกลับละมุนตาน่าหลงใหลถึงแม้ว่าหยวนจงจะยังไม่เคยได้เห็นมุมอ่อนโยนของฟางหลัน หากแต่เขากลับรู้สึกได้เช่นนั้นในยามนี้ชายหนุ่มเกิดและโตมาในตระกูลที่มีสตรีเต็มหลังเรือน บิดาของเขามีภรรยาหลายคนภรรยาแต่ละคนของบิดานั้น บางคนมารยาจนน่ารำคาญ บางคนดื้อรั้นจนน่าสั่งสอน และบางคนก็ร้ายกาจเสียจนน่าสังหารทิ้ง แต่ทุกคนก็เป็นเพียงสตรีบอบบาง ที่วันๆ เอาแต่เดินไปเดินมาจนรกหูรกตา สิ่งที่พวกนางทำได้ ก็มีแต่หาวิธีชั่วช้าเรียกร้องความสน
“กลับมาแล้วหรือ?” เสียงหวานใสเอ่ยทักทายทันที ที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นใครบางคนยืนพิงขอบประตูอยู่ประโยคคำถามนั้นทำเอาหยวนจงถึงกับรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างประหลาดภาพของสตรีงดงามนั่งปักผ้ารอกินข้าว แล้วเอ่ยประโยคสามัญเยี่ยงภรรยาแสนดีที่มีต่อสามีสิ่งที่ฟางหลันทำอยู่นี้ทำเอาหยวนจงถึงกับนิ่งอึ้งฟางหลันเห็นใบหน้าหล่อเหลาแข็งค้าง เรือนร่างสูงใหญ่แข็งขึง จึงหรี่ตามองแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เราตกลงกันแล้วว่าจะเป็นเพียงสหายที่ดีต่อกัน เช่นนั้นแล้ว...”นางหลุบตาลงเล็กน้อย แล้วจ้องเขม็งที่กลางลำตัวของหยวนจง พลางเอ่ยต่อเนิบนาบ“เจ้าแท่งหยกของท่าน จงอย่าริบังอาจตื่นผงาดชี้หน้าข้า!”หยวนจงถึงกับหางคิ้วกระตุก ใบหน้าคมคายถึงกับขึ้นสีระเรื่อ เมื่อได้ฟังคำตรงมาตรงไปจากอีกฝ่ายนางช่างพูดจาได้อย่างไร้ยางอายสิ้นดี ไม่รู้หรือไร ว่าแท่งหยกนั้น มันมีชีวิตเป็นของมันเอง!“เจ้าก็อย่ามากมารยามิได้หรือไร?” เสียงทุ้มต่ำแตกพร่าดังออกมาอย่างขัดเคืองเขามิได้พิศวาสนางเลยแม้แต่น้อย แต่แท่งหยกของเขามันทรงพลังเกินควบคุมถึงเพียงนี้ จักให้ทำเช่นไร?ฟางหลันยกมือขึ้นกอดอกยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็คนมันงาม”“สตรีเช่นเจ้าเรียกว่างาม ก็
ยามราตรีเย็นเยียบเวียนมาบรรจบอีกครั้งค่ำนี้เป็นคืนที่เท่าไหร่แล้วหนอ ที่ซือฮุยกับเพ่ยอิงต้องคอยจัดฉาก ว่าองค์หญิงเหม่ยฮว๋าทรงพักผ่อนอยู่ในห้อง และไม่อนุญาตให้ผู้ใดรบกวนสาวใช้ทั้งสองนั่งอยู่ที่ด้านหน้าประตูห้องส่วนตัวของเหม่ยฮว๋า เพื่อคอยคุ้มกันมิให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้ามามิรู้ได้ว่าองค์หญิงทรงไปท่องเที่ยวถึงไหนต่อไหน ไปเจอสิ่งใดถูกใจกัน ถึงไม่กลับมาเสียทีทั้งสองทำได้แค่ถอนหายใจหนักหน่วง รู้สึกหนักอึ้งในอกเหลือจะกล่าวหลายวันมาแล้วที่ท่านแม่ทัพเดินทางกลับเข้าจวนมา พวกนางต้องรีบออกไปรับหน้าตั้งแต่หน้าประตูเรือนของท่านแม่ทัพด้วยเกรงว่าเขาจะเข้าหาองค์หญิงถึงในเรือน!ดียิ่งนักที่ท่านแม่ทัพมิได้ย่างกรายเข้ามาที่เรือนขององค์หญิงเลยสักวันเดียว มิเช่นนั้นคงจะได้เจอแต่ผ้าห่มม้วนเอาไว้บนเตียงนอนเย็นเฉียบไร้ซึ่งร่างอุ่นของภรรยาเฮ้อ!สาวใช้ทั้งสองถอนหายใจอย่างพร้อมเพรียงกัน การถอนหายใจนั้นผสมปนเประหว่างโล่งอก เบื่อหน่าย ระอา และน้อยเนื้อต่ำใจที่โล่งอกก็เพราะท่านแม่ทัพมิได้มาหาองค์หญิง ที่เบื่อหน่ายก็เพราะต้องนั่งเฝ้าห้องที่ว่างเปล่า ที่ระอาก็เพราะเบื่อนิสัยเอาแต่ใจไร้ความคิดขององค์หญิงเต็มทีและ
“เจ้ามีเรือนลับอยู่ที่ใดบ้างหรือไม่?” หรงชางถามเหม่ยฮว๋าเสียงเข้มหาได้ตอบคำถามนาง ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววจริงจัง สายตาเรียวคมจับจ้องนางไม่วางตาเขากำลังต้องการหาที่หลบภัยตามคำเตือนของเฉิงอู่“ท่านจะถามทำไม ธุระกงการอันใดของท่านไม่ทราบ!” เหม่ยฮว๋าเชิดหน้ากล่าวเสียงเหยียดหรงชางหรี่ตามองแวบหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาบีบปลายคางของเหม่ยฮว๋าอย่างแรง“อย่าเล่นลิ้นกับข้า มิเช่นนั้นเรื่องของเรา ข้าจะไปบอกสามีของเจ้าให้หมด”“...!?”เหม่ยฮว๋าถึงกับเบิกตาโพลง ริมฝีปากสีแดงสดพยายามจะด่าทอ แต่จนใจจะเอ่ยปาก เพราะปลายคางถูกบีบจนเจ็บไปหมดหญิงสาวทำได้แค่ถลึงตาจ้องมองชายตรงหน้าอย่างโกรธกรุ่น เห็นเพียงสายตาคู่คมที่มีเสน่ห์ลึกล้ำในระยะประชิด นางจึงทำได้แค่กะพริบตาปริบๆอึดใจใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มเข้ามา ถึงแม้ว่าฝ่ามือเขาจะยังคงจับตรึงปลายคางมนหรงชางก้มหน้าลงประกบริมฝีปากตนกับกลีบปากเหม่ยฮว๋า แล้วบดขยี้ไม่ปรานีปลายลิ้นร้อนชื้นตวัดแทรกโพรงปากหวานล้ำของหญิงสาว เขากระทำการเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง แต่แฝงความเร่าร้อนอย่างช่ำชอง สร้างความรู้สึกปั่นป่วนไปทั่วท้องน้อยของเหม่ยฮว๋าความรู้สึกร้อนรุ่มพลันพวยพุ่งฉุดก
ร้านฟาไฉย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน ยามที่หรงชางกลับมาที่ร้านฟาไฉเขาจึงพบกับร้านของเขาที่เคยหรูหรา กลับกลายสภาพราวกับเป็นสถานที่รกร้างไม่ต่างจากสุสาน ไร้ผู้คน ไร้สมุน มีเพียงลักษณะของร้านที่คล้ายมีลมพายุหมุนพัดวูบมาแล้วพาสรรพสิ่งหมุนไปกับพายุนั้นทั่วทั้งร้านกลายสภาพไม่ต่างจากสมรภูมิรบหลังความตาย ให้รู้สึกวังเวงยิ่งนักสายตาเรียวคมบนใบหน้าหล่อเหลามองสำรวจไปทั่วอย่างแปลกใจ เขาเดินเข้ามาด้านในอย่างเงียบงันอัญมณีและเครื่องประดับของมีค่าทั้งหมดหายไปไม่มีเหลือ คล้ายกับถูกโจรบุกถล่มกวาดเอาไปจนเกลี้ยงเมื่อเดินมาเรื่อยๆ ถึงห้องด้านใน หลงจู๊ที่เฝ้าร้านอยู่ถูกจับมัดแล้วขังเอาไว้ในห้องนั้น หรงชางหรี่ตามองอย่างโกรธกรุ่นก่อนจะเข้าแก้มัดด้วยความรุนแรงคล้ายบันดาลโทสะหลงจู๊ได้แต่ร้องโอดครวญ ใบหน้าบิดเบี้ยว“จงบอกข้า ว่าเกิดสิ่งใด!” เสียงของหรงชางที่เคยทุ้มนุ่มบัดนี้แหบห้วนยิ่งนักหลงจู๊ได้แต่คุกเข่าอยู่กับพื้น ก้มหน้าพูดเสียงสั่นว่า “ร้านฟาไฉถูกปล้นขอรับ”หรงชางเบิกตากว้างทันใด ร้านฟาไฉถูกปล้นจริงหรือนี่?มหาโจรเช่นเขาถูกปล้นรึ?หลงจู๊เงยหน้าที่มีน้ำตากลิ้งอาบแก้มพลางเล่าว่า“เฉิงอู่กลับเข้ามาในส
หน้าห้องของเหม่ยหลินหลังจากคล้อยหลังสง่างามของจ้าวฮองเฮาไปนานแล้ว ก็มีนางกำนัลอาวุโสมายืนอยู่จนเต็มพื้นที่นางกำนัลเหล่านี้ ไม่พ้นรับคำสั่งมาให้คอยดูแลขัดเกลาหมายบ่มเพาะเหม่ยหลิน เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวในงานสมรสเชื่อมสัมพันธ์นอกจากนางกำนัลมากมายแล้วยังมีองครักษ์หญิงหลายคน มายืนขึงขังเต็มไปหมดเหม่ยหลินจึงรู้แน่ชัดว่ากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงใด นางกำลังถูกกักบริเวณ!หญิงสาวจึงทำได้เพียงหลับตาลงเพื่อข่มจิตใจเนิ่นนานผ่านไปนางก็ยังนั่งอยู่ในตำหนัก ที่บัดนี้มิต่างจากคุกหลวง เพราะว่านางถูกขังเอาไว้มิให้ได้ออกไปที่ใด กระทั่งนางกำนัลที่คอยส่งข่าวไปหาฟางหลัน หญิงสาวก็ยังไม่สามารถหาทางติดต่อได้ เนื่องจากนางกำนัลผู้นั้นถูกจับไปกักตัวเอาไว้ เพื่อมิให้ใครส่งข่าวหรือนางส่งข่าวหาใครได้ นางจึงนั่งอย่างเดียวดาย ร่ำไห้ไร้หนทางเลือกเป็นอื่นสามวันผ่านมาภายในห้องหรูหราแต่เงียบเหงา มีเงาร่างระหงเลือนราง นั่งนิ่งๆ ไม่ไหวติงอยู่ริมหน้าต่าง นางไม่ได้รับอนุญาตแม้กระทั่งให้ออกไปเดินเล่นรับแสงตะวันนอกตำหนักเหม่ยหลินได้แต่นั่งบรรเลงเพลงพิณเพื่อถ่ายทอดอารมณ์แสนเศร้า ดวงหน้าหวานล้ำเคล้าไปด้วยหยาดน้ำใสพร้อมหลั