เปลวเพลิงน้อยๆ จากกองไฟตรงหน้าของชายหนุ่มและหญิงสาวยังคงปะทุดังเปรี๊ยะๆ อยู่ใต้ร่างของไก่ป่าตัวหนึ่ง
เหม่ยหลินยังคงตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่งยวดในการหักไม้ในมือ เพื่อที่จะนำมันไปใส่ในกองไฟ หวังเพียงได้ทำตัวให้มีประโยชน์สำหรับอาหารประทังชีวิตมื้อนี้
แต่ทว่าเวลาผ่านมาเกือบครึ่งเค่อแล้วกิ่งไม้เพียงกิ่งเดียวนางยังไม่สามารถหักออกได้เลย
นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอายเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ นางช่างไร้ประโยชน์ไร้ค่าเสียจริง แม้แต่เรื่องแค่นี้ก็ยังทำไม่ได้
การเกิดมาเป็นสตรีสูงศักดิ์ในห้องหอไม่เห็นจะดีตรงไหน การมีบ่าวไพร่ล้อมหน้าล้อมหลังคอยปรนนิบัติทำแทนทุกอย่าง นำพามาซึ่งการไร้ค่าในตัวตนอย่างแท้จริง วันนี้นางได้ประจักษ์จนสิ้น ไม่ต้องรอวันต่อไป
“ข้าขอโทษ” อีกครั้งที่เหม่ยหลินกล่าวคำๆ นี้ออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว รู้สึกผิดอย่างมหันต์ การเป็นองค์หญิงของนางช่างต่ำตมยิ่ง ไม่น่าเลย...
บุรุษที่นั่งตรงกันข้ามรับรู้ได้จากสีหน้าของนางว่านางรู้สึกอย่างไร ถึงแม้ว่ารอบด้านจะมืดมิดประดุจดั่งหมึกดำแผ่ปกคลุมจนถ้วนทั่ว แต่แสงสีทองจากกองไฟตรงหน้ากำลังส่องให้เห็นใบหน้าหวานล้ำของสตรีนางนี้ได้เป็นอย่างดี
คิ้วเรียวโค้งของนางขมวดเข้าหากันแน่นจนหว่างคิ้วเกิดริ้วรอยสายหนึ่งที่บ่งบอกได้ว่านางออกแรงมากมายปานใด ดวงตาที่หลุบลงสนใจแต่กิ่งไม้ในมือจนไม่สนใจสิ่งรอบด้าน ริมฝีปากบางแต่อวบอิ่มจิ้มลิ้มขบเม้มเข้าหากันแน่นจนห้อเลือดบ่งบอกว่านางอดกลั้นมากมายปานใด
นางกำลังพยายามเป็นอย่างมากกับแค่เพียงการหักกิ่งไม้
เขามิรู้ได้ว่าควรจะขบขันหรือเห็นใจนางดี นางเป็นอย่างนี้แล้วเขาควรทำอย่างไร
ชายหนุ่มเอื้อมฝ่ามือมาดึงไม้จากมือนาง แล้วนำไปหักใส่กองไฟเสียเอง มิใช่ว่ารำคาญหากแต่เขาควรช่วยนางก็เท่านั้น
เหม่ยหลินทำได้แค่มองตามไม้ที่ถูกดึงไป ในใจยังคงรู้สึกผิด หากแต่จำต้องนั่งอยู่นิ่งๆ ไม่คิดขัดขืน เมื่อช้อนตาขึ้นมองชายข้างกายจึงคลี่ยิ้มส่งให้ เป็นยิ้มที่จริงใจหมายขออภัยกัน
บุรุษลึกลับถึงกับต้องเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ยามเห็นรอยยิ้มนี้ของนาง ก่อนหน้าที่เจอกัน นางเอาแต่นั่งตัวสั่นน้ำตานองหน้าร่ำไห้แบบไร้เสียง ทว่ายามนี้นางกำลังคลี่ยิ้มงดงาม และยังนั่งใกล้เขาเสียจน...
ให้ความรู้สึกอึดอัด
ถึงแม้จะมีความทรงจำที่ว่างเปล่า หากแต่สัญชาตญาณบางอย่างบอกกล่าวแก่เขาได้ว่า ไม่เคยมีใครได้นั่งใกล้เขาในระดับนี้ และยิ่งไม่มีใครกล้าส่งยิ้มให้เขาด้วย
นางช่างไม่กลัวตาย!
ชายแซ่หงได้แต่นั่งงงกับตนเอง สายตาดำขลับเพียงจ้องมองหญิงข้างกายอยู่นิ่งๆ ความเย็นเยียบแผ่ปกคลุมไปทั่ว กลิ่นอายสังหารเริ่มเข้มข้นทุกขณะ กระทั่งงูตัวหนึ่งที่เลื้อยอยู่ไม่ไกลยังต้องเลื้อยหนีไปอย่างกลัวตาย
หากแต่เหม่ยหลินเพียงกะพริบตา นางยังคงคลี่ยิ้มให้เขา ไม่มีความคิดที่จะถอยห่างแต่อย่างใด ตั้งแต่เจอกัน กลิ่นอายอำมหิตอย่างนี้ทำให้นางรู้สึกปลอดภัย หาใช่หวาดกลัว
ยามรัตติกาลกลางป่าอันมืดมิดจนน่าหวาดหวั่น มีเปลวไฟกองน้อยใต้ไก่ป่าส่งเสียงปะทุดังเบาๆ ผสมผสานกับเสียงของแมลงกลางคืนที่มีอยู่รอบทิศทาง ทั้งยังมีสัตว์เลื้อยคลานที่เคลื่อนตัวผ่านใบไม้แห้งจนเกิดเสียงดังกรอบแกรบ
ภายใต้ภาวะเงียบงันของสองชายหญิงล้วนมีเสียงเหล่านั้นดังอยู่รอบกาย ทว่าพวกเขากลับไม่นำพา สองสายตาที่ต่างขั้วเพียงสบประสานกัน
หนึ่งคือสายตาเย็นชาที่ส่งผ่านความเย็นเยียบราวน้ำแข็งพันปีมองนางตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจอันใด
สองคือสายตาหวานล้ำให้ความรู้สึกเย็นฉ่ำดั่งธาราสวยใสมองชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกไว้วางใจ
ท่ามกลางป่าพนาไพรรกทึบ รอบทิศทางมีแต่เสียงหวีดหวิวของใบไม้ที่ถูกสายลมหนาวเหน็บที่โบกโชยจนกิ่งไม้เสียดสีกัน บรรยากาศวังเวงชวนหวาดหวั่นสั่นสะพรึง หากแต่นางกลับมิได้ขลาดกลัวเหมือนเช่นกาลก่อน เพราะยามนี้มีสิ่งที่น่ากลัวมากกว่านั้นอยู่ข้างกายนาง
สีหน้าคนงามยามนี้ดูสงบนิ่งจริงจัง ฉายแววความเป็นสตรีที่เปี่ยมพลังน่าค้นหา มิใช่สตรีอ่อนหัดที่ทำได้เพียงเดินชดช้อยไปมาในเรือนนางดูสุขุมนุ่มนวล สายตาเฉียบขาดทว่าอ่อนโยน ท่าทางสูงส่งทว่าอ่อนน้อมถ่อมตนเมื่อพิศมองเนิ่นนาน จึงพบว่าสตรีนางนี้ มีเสน่ห์งดงามและเข้มแข็งความเป็นผู้นำของนางล้วนมีให้เห็น แต่ในความเป็นผู้นำนั้นกลับมีความเป็นผู้ตามที่ดี ซึ่งบ่งบอกว่าไว้วางใจได้ อาจจะเทียบเท่าการฝากฝังชีวิตให้ดูแลได้เลยกระมังนัยน์ตาสีดำสนิทจ้องมองฟางหลันไม่กระพริบ ในใจพลันรู้สึกอยากเห็นนางยามออดอ้อน ช้อนตามองเขาอย่างเอียงอาย พร่ำคำรักให้กันได้ยิ่งดียามแข็งขึงประหนึ่งดั่งหินผา ยามอ่อนโยนกลับละมุนตาน่าหลงใหลถึงแม้ว่าหยวนจงจะยังไม่เคยได้เห็นมุมอ่อนโยนของฟางหลัน หากแต่เขากลับรู้สึกได้เช่นนั้นในยามนี้ชายหนุ่มเกิดและโตมาในตระกูลที่มีสตรีเต็มหลังเรือน บิดาของเขามีภรรยาหลายคนภรรยาแต่ละคนของบิดานั้น บางคนมารยาจนน่ารำคาญ บางคนดื้อรั้นจนน่าสั่งสอน และบางคนก็ร้ายกาจเสียจนน่าสังหารทิ้ง แต่ทุกคนก็เป็นเพียงสตรีบอบบาง ที่วันๆ เอาแต่เดินไปเดินมาจนรกหูรกตา สิ่งที่พวกนางทำได้ ก็มีแต่หาวิธีชั่วช้าเรียกร้องความสน
“กลับมาแล้วหรือ?” เสียงหวานใสเอ่ยทักทายทันที ที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นใครบางคนยืนพิงขอบประตูอยู่ประโยคคำถามนั้นทำเอาหยวนจงถึงกับรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างประหลาดภาพของสตรีงดงามนั่งปักผ้ารอกินข้าว แล้วเอ่ยประโยคสามัญเยี่ยงภรรยาแสนดีที่มีต่อสามีสิ่งที่ฟางหลันทำอยู่นี้ทำเอาหยวนจงถึงกับนิ่งอึ้งฟางหลันเห็นใบหน้าหล่อเหลาแข็งค้าง เรือนร่างสูงใหญ่แข็งขึง จึงหรี่ตามองแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เราตกลงกันแล้วว่าจะเป็นเพียงสหายที่ดีต่อกัน เช่นนั้นแล้ว...”นางหลุบตาลงเล็กน้อย แล้วจ้องเขม็งที่กลางลำตัวของหยวนจง พลางเอ่ยต่อเนิบนาบ“เจ้าแท่งหยกของท่าน จงอย่าริบังอาจตื่นผงาดชี้หน้าข้า!”หยวนจงถึงกับหางคิ้วกระตุก ใบหน้าคมคายถึงกับขึ้นสีระเรื่อ เมื่อได้ฟังคำตรงมาตรงไปจากอีกฝ่ายนางช่างพูดจาได้อย่างไร้ยางอายสิ้นดี ไม่รู้หรือไร ว่าแท่งหยกนั้น มันมีชีวิตเป็นของมันเอง!“เจ้าก็อย่ามากมารยามิได้หรือไร?” เสียงทุ้มต่ำแตกพร่าดังออกมาอย่างขัดเคืองเขามิได้พิศวาสนางเลยแม้แต่น้อย แต่แท่งหยกของเขามันทรงพลังเกินควบคุมถึงเพียงนี้ จักให้ทำเช่นไร?ฟางหลันยกมือขึ้นกอดอกยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็คนมันงาม”“สตรีเช่นเจ้าเรียกว่างาม ก็
ยามราตรีเย็นเยียบเวียนมาบรรจบอีกครั้งค่ำนี้เป็นคืนที่เท่าไหร่แล้วหนอ ที่ซือฮุยกับเพ่ยอิงต้องคอยจัดฉาก ว่าองค์หญิงเหม่ยฮว๋าทรงพักผ่อนอยู่ในห้อง และไม่อนุญาตให้ผู้ใดรบกวนสาวใช้ทั้งสองนั่งอยู่ที่ด้านหน้าประตูห้องส่วนตัวของเหม่ยฮว๋า เพื่อคอยคุ้มกันมิให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้ามามิรู้ได้ว่าองค์หญิงทรงไปท่องเที่ยวถึงไหนต่อไหน ไปเจอสิ่งใดถูกใจกัน ถึงไม่กลับมาเสียทีทั้งสองทำได้แค่ถอนหายใจหนักหน่วง รู้สึกหนักอึ้งในอกเหลือจะกล่าวหลายวันมาแล้วที่ท่านแม่ทัพเดินทางกลับเข้าจวนมา พวกนางต้องรีบออกไปรับหน้าตั้งแต่หน้าประตูเรือนของท่านแม่ทัพด้วยเกรงว่าเขาจะเข้าหาองค์หญิงถึงในเรือน!ดียิ่งนักที่ท่านแม่ทัพมิได้ย่างกรายเข้ามาที่เรือนขององค์หญิงเลยสักวันเดียว มิเช่นนั้นคงจะได้เจอแต่ผ้าห่มม้วนเอาไว้บนเตียงนอนเย็นเฉียบไร้ซึ่งร่างอุ่นของภรรยาเฮ้อ!สาวใช้ทั้งสองถอนหายใจอย่างพร้อมเพรียงกัน การถอนหายใจนั้นผสมปนเประหว่างโล่งอก เบื่อหน่าย ระอา และน้อยเนื้อต่ำใจที่โล่งอกก็เพราะท่านแม่ทัพมิได้มาหาองค์หญิง ที่เบื่อหน่ายก็เพราะต้องนั่งเฝ้าห้องที่ว่างเปล่า ที่ระอาก็เพราะเบื่อนิสัยเอาแต่ใจไร้ความคิดขององค์หญิงเต็มทีและ
“เจ้ามีเรือนลับอยู่ที่ใดบ้างหรือไม่?” หรงชางถามเหม่ยฮว๋าเสียงเข้มหาได้ตอบคำถามนาง ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววจริงจัง สายตาเรียวคมจับจ้องนางไม่วางตาเขากำลังต้องการหาที่หลบภัยตามคำเตือนของเฉิงอู่“ท่านจะถามทำไม ธุระกงการอันใดของท่านไม่ทราบ!” เหม่ยฮว๋าเชิดหน้ากล่าวเสียงเหยียดหรงชางหรี่ตามองแวบหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาบีบปลายคางของเหม่ยฮว๋าอย่างแรง“อย่าเล่นลิ้นกับข้า มิเช่นนั้นเรื่องของเรา ข้าจะไปบอกสามีของเจ้าให้หมด”“...!?”เหม่ยฮว๋าถึงกับเบิกตาโพลง ริมฝีปากสีแดงสดพยายามจะด่าทอ แต่จนใจจะเอ่ยปาก เพราะปลายคางถูกบีบจนเจ็บไปหมดหญิงสาวทำได้แค่ถลึงตาจ้องมองชายตรงหน้าอย่างโกรธกรุ่น เห็นเพียงสายตาคู่คมที่มีเสน่ห์ลึกล้ำในระยะประชิด นางจึงทำได้แค่กะพริบตาปริบๆอึดใจใบหน้าหล่อเหลาก็โน้มเข้ามา ถึงแม้ว่าฝ่ามือเขาจะยังคงจับตรึงปลายคางมนหรงชางก้มหน้าลงประกบริมฝีปากตนกับกลีบปากเหม่ยฮว๋า แล้วบดขยี้ไม่ปรานีปลายลิ้นร้อนชื้นตวัดแทรกโพรงปากหวานล้ำของหญิงสาว เขากระทำการเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง แต่แฝงความเร่าร้อนอย่างช่ำชอง สร้างความรู้สึกปั่นป่วนไปทั่วท้องน้อยของเหม่ยฮว๋าความรู้สึกร้อนรุ่มพลันพวยพุ่งฉุดก
ร้านฟาไฉย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน ยามที่หรงชางกลับมาที่ร้านฟาไฉเขาจึงพบกับร้านของเขาที่เคยหรูหรา กลับกลายสภาพราวกับเป็นสถานที่รกร้างไม่ต่างจากสุสาน ไร้ผู้คน ไร้สมุน มีเพียงลักษณะของร้านที่คล้ายมีลมพายุหมุนพัดวูบมาแล้วพาสรรพสิ่งหมุนไปกับพายุนั้นทั่วทั้งร้านกลายสภาพไม่ต่างจากสมรภูมิรบหลังความตาย ให้รู้สึกวังเวงยิ่งนักสายตาเรียวคมบนใบหน้าหล่อเหลามองสำรวจไปทั่วอย่างแปลกใจ เขาเดินเข้ามาด้านในอย่างเงียบงันอัญมณีและเครื่องประดับของมีค่าทั้งหมดหายไปไม่มีเหลือ คล้ายกับถูกโจรบุกถล่มกวาดเอาไปจนเกลี้ยงเมื่อเดินมาเรื่อยๆ ถึงห้องด้านใน หลงจู๊ที่เฝ้าร้านอยู่ถูกจับมัดแล้วขังเอาไว้ในห้องนั้น หรงชางหรี่ตามองอย่างโกรธกรุ่นก่อนจะเข้าแก้มัดด้วยความรุนแรงคล้ายบันดาลโทสะหลงจู๊ได้แต่ร้องโอดครวญ ใบหน้าบิดเบี้ยว“จงบอกข้า ว่าเกิดสิ่งใด!” เสียงของหรงชางที่เคยทุ้มนุ่มบัดนี้แหบห้วนยิ่งนักหลงจู๊ได้แต่คุกเข่าอยู่กับพื้น ก้มหน้าพูดเสียงสั่นว่า “ร้านฟาไฉถูกปล้นขอรับ”หรงชางเบิกตากว้างทันใด ร้านฟาไฉถูกปล้นจริงหรือนี่?มหาโจรเช่นเขาถูกปล้นรึ?หลงจู๊เงยหน้าที่มีน้ำตากลิ้งอาบแก้มพลางเล่าว่า“เฉิงอู่กลับเข้ามาในส
หน้าห้องของเหม่ยหลินหลังจากคล้อยหลังสง่างามของจ้าวฮองเฮาไปนานแล้ว ก็มีนางกำนัลอาวุโสมายืนอยู่จนเต็มพื้นที่นางกำนัลเหล่านี้ ไม่พ้นรับคำสั่งมาให้คอยดูแลขัดเกลาหมายบ่มเพาะเหม่ยหลิน เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวในงานสมรสเชื่อมสัมพันธ์นอกจากนางกำนัลมากมายแล้วยังมีองครักษ์หญิงหลายคน มายืนขึงขังเต็มไปหมดเหม่ยหลินจึงรู้แน่ชัดว่ากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงใด นางกำลังถูกกักบริเวณ!หญิงสาวจึงทำได้เพียงหลับตาลงเพื่อข่มจิตใจเนิ่นนานผ่านไปนางก็ยังนั่งอยู่ในตำหนัก ที่บัดนี้มิต่างจากคุกหลวง เพราะว่านางถูกขังเอาไว้มิให้ได้ออกไปที่ใด กระทั่งนางกำนัลที่คอยส่งข่าวไปหาฟางหลัน หญิงสาวก็ยังไม่สามารถหาทางติดต่อได้ เนื่องจากนางกำนัลผู้นั้นถูกจับไปกักตัวเอาไว้ เพื่อมิให้ใครส่งข่าวหรือนางส่งข่าวหาใครได้ นางจึงนั่งอย่างเดียวดาย ร่ำไห้ไร้หนทางเลือกเป็นอื่นสามวันผ่านมาภายในห้องหรูหราแต่เงียบเหงา มีเงาร่างระหงเลือนราง นั่งนิ่งๆ ไม่ไหวติงอยู่ริมหน้าต่าง นางไม่ได้รับอนุญาตแม้กระทั่งให้ออกไปเดินเล่นรับแสงตะวันนอกตำหนักเหม่ยหลินได้แต่นั่งบรรเลงเพลงพิณเพื่อถ่ายทอดอารมณ์แสนเศร้า ดวงหน้าหวานล้ำเคล้าไปด้วยหยาดน้ำใสพร้อมหลั