วันเกิดครบรอบอายุสิบเอ็ดปีของวเรณย์
เจ้าลูกชายคนเล็กของบ้านยังคงต้องการความเอาใส่ใจและเป็นที่หนึ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญอยู่เหมือนเดิม รวมถึงเพื่อนร่วมชั้นของเขาด้วย
แค่เพียงได้ยินเพื่อนสนิทอย่างคีตาบอกว่าวันเกิดปีนี้ถ้าได้จัดงานที่สวนสนุกเหมือนการ์ตูนเรื่องนั้นก็คงจะดี เขาจึงคิดว่าถ้าเพื่อน ๆ มาร่วมงานวันเกิดครั้งนี้ได้จะต้องมีแต่ความสนุกสนานและชอบเขามากขึ้นแน่นอนจึงเอ่ยปากขอร้องผู้ปกครอง
“พ่อครับ วันเกิดปีนี้ผมเลือกของขวัญเองได้ไหมครับ” วเรณย์ถามด้วยความลังเลแม้จะรู้ว่าพ่อและแม่ไม่เคยปฏิเสธเขา แต่การที่จะจัดงานในสวนสนุกไม่รู้จะยุ่งยากเกินไปหรือเปล่า
“ปกติพ่อกับแม่ก็ซื้อตามใจเรย์อยู่แล้ว ปีนี้ลูกอยากได้อะไรเหรอครับ” ก้องเกียรติถามบ้างเพราะสีหน้าของลูกชายดูคาดหวังไม่น้อย
“คือว่า... พ่อจำการ์ตูนเรื่องนั้นได้ไหมครับ งานวันเกิดที่สวนสนุก... คือผมอยากทำแบบนั้นบ้าง” ลูกชายตัวน้อยมองคนเป็นพ่อตาละห้อยสลับกับมองคนอื่น ๆ ในบ้าน
เมธาวีกับเกวลินมองหน้ากันแล้วช่วยกันอ้อนพ่อแม่ของพวกเธอเพราะอยากมีช่วงเวลาแบบนั้นสักครั้งในชีวิตเหมือนกัน
“คุณ...” จันทร์วิมลสะกิดสามีตัวเอง “ดูแววตาลูกทั้งสามคนสิคะ เหมือนเราต้องอนุญาตแล้วไหม”
ก้องเกียรติทำท่าครุ่นคิด คิ้วขมวดให้ลูก ๆ ตื่นเต้นอยู่พักหนึ่งแล้วหันไปหาธาวิน ถามเจ้าตัวว่า “วินเห็นด้วยไหมครับ”
ธาวินสบตากับวเรณย์พอดีรีบตอบอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากโดนกดดัน “ครับ”
หลังจากนั้น ก้องเกียรติจึงสั่งงานให้เลขาและผู้ช่วยจัดการเหมาสวนสนุกหนึ่งวันเพื่อจัดงานวันเกิดให้ลูกชายคนเล็กของบ้านอย่างที่เจ้าตัวต้องการ
วันนั้นเพื่อน ๆ ของวเรณย์จึงมาที่สวนสนุกพร้อมผู้ปกครอง รวมถึงเพื่อนสนิทของพี่สาวทั้งสองคนด้วย บรรยากาศเต็มไปด้วยความสดใสของเด็ก ๆ ยกเว้นแต่คนเดียวที่ไม่กล้าเดินผ่านประตูทางเข้า
“วิน มาเร็วเข้า” เกวลินกวักมือเรียกน้องเพราะเห็นว่ายืนนิ่งอยู่พักหนึ่งแล้วตอนที่เธอรอเพื่อนสนิท
“...” เด็กชายไม่พูดอะไรเอาแต่นึกถึงคำพูดของวเรณย์
งานวันเกิดฉัน ขอแค่นายไม่โผล่หน้ามาสวนสนุก ฉันจะขอบคุณมาก เข้าใจใช่ไหม
ธาวินคิดว่าตัวเองไม่ควรมายืนอยู่ตรงนี้เลย แต่ถ้าจะให้กลับบ้านก็ไม่รู้ว่าจะต้องกลับอย่างไรเพราะพี่เข้ม คนขับรถที่คอยรับส่งธาวินกับวเรณย์ไปช่วยงานอยู่ข้างในสวนสนุก
เกวลินวิ่งมาจับมือเขาแล้วสวมสายรัดข้อมือลายเจคอบที่เป็นการ์ตูนตัวโปรดให้ “ไปเล่นข้างในกับพี่เถอะนะ นายชอบขึ้นชิงช้าสวรรค์ไม่ใช่เหรอ”
“...” เสียงเพลงในสวนสนุกดังจนเขาจับคำพูดเกวลินไม่ได้
“วิน ไป ด้วย กัน นะ” เธอพูดช้า ๆ แล้วจูงแขนคนเป็นน้องตามเข้าไปโดยไม่ถามอะไรอีก
เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของเจ้าตัวแล้วก็อมยิ้มคิดในใจว่า อยากมาขนาดนี้แต่ต้องอดใจไว้เพราะเจ้าเด็กเอาแต่ใจคนนั้นสินะ
ภายในงาน วเรณย์วิ่งไปทั่วสวนสนุกเล่นอันโน้นทีอันนี้ทีพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นอย่างสนุกสนานจึงไม่ทันได้เห็นว่าคนที่ไม่อยากให้มาร่วมงานวันเกิดปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแล้ว
เกวลินยิ้มมุมปากแล้วพาธาวินขึ้นชิงช้าสวรรค์ที่กำลังหยุดรอผู้เล่นทางด้านซ้ายมือ
“วิน ไม่ กลัว เหรอ” เธอถามเด็กน้อยอีกครั้ง
“ไม่ครับ”
แม้เขาจะพูดอย่างนั้น แต่ว่ามือไม้ที่จับแขนเธออยู่กลับสั่นระริกและเย็นยะเยือก หากแต่ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มกว้างจนเธอคิดว่าเด็กน้อยตรงหน้าคงจะทั้งกลัวทั้งอยากเล่นระคนกัน
เมื่อเจ้าหน้าที่ปิดประตูตู้เรียบร้อยแล้ว ชิงช้าอันมโหฬารก็เริ่มหมุนช้า ๆ พาตู้ของพวกเขาหมุนลอยขึ้นไปด้านบนทีละนิดจนคนที่เดินไปมาอยู่ข้างล่างตัวหดลงเท่ามด
“ว้าว!” ธาวินอ้าปากค้างเมื่อได้เห็นภาพทิวทัศน์ในสวนสนุกกว้างใหญ่แห่งนี้ เขานั่งเล็งว่าจะเล่นเครื่องเล่นอันไหนก่อนหลังแล้วจดลงแผนที่เอาไว้
เขาสลับไปเล่นตามจุดพร้อมเกวลินบ้าง เมธาวีบ้าง หรือแม้แต่เดินไปเล่นที่ม้าหมุนเพียงลำพังบ้างโดยไม่คิดถึงสิ่งใดให้รบกวนความบันเทิงของตัวเอง
ตอนนั้นบังเอิญเห็นวเรณย์เดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าสวนวงกตจึงรีบแอบหลบด้านหลังร้านหน้ากาก ไม่รู้ว่าสายตาที่จ้องอยู่มีแสงเลซอร์ออกมาหรืออย่างไร วเรณย์จึงหันขวับกลับมามองในทันที
หากแต่เห็นเพียงเจ้าเด็กตัวเล็กที่ใส่หน้ากากหัวหมูป่าเอาไว้พลันคิดว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่กำลังหลงทางจึงไปตามกลับเข้ากลุ่มของตนเอง
“ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะ ไปเล่นสวนวงกตด้วยกันสิ พ่อบอกว่าซ่อนสมบัติเอาไว้หลายอย่างเลยนะ แล้วก็มีพวงกุญแจเจคอบรุ่นใหม่ที่เรืองแสงตอนกลางคืนอยู่ข้างในนั้นด้วย
“...” ธาวินได้ยินแบบนั้นจึงหูผึ่งอยากเข้าร่วมการค้นหาสมบัติครั้งนี้ด้วยพลางพยักหน้าแล้วเดินตามวเรณย์ไป
เมื่อทุกคนเข้าไปในสวนวงกตกันแล้วต่างแยกย้ายค้นหาของที่ซ่อนเอาไว้คนละทิศคนละทาง ธาวินรู้สึกว่าได้ยินเสียงเรียกของเจคอบอยู่ไม่ไกล บอกให้มารับตัวมันกลับไปด้วยจึงเดินแยกตัวออกมาจากทุกคน ลัดเลาะไปทางซ้ายทีขวาที เผลอแปปเดียวหายวับไปอยู่ไกลจากเด็กคนอื่น
แต่การแยกตัวออกมาแบบนั้นกลับทำให้เขาหาพวงกุญแจเจคอบรุ่นพิเศษเจออย่างไม่น่าเชื่อ กระนั้น ความยากไม่ได้อยู่ที่การหาแต่เป็นการออกจากสวนวงกตแห่งนี้ต่างหาก
ธาวินหันไปรอบตัวได้ยินเพียงเสียงที่อยู่ไกล ๆ ครั้นพยายามกระโดดให้พ้นจากพุ่มไม้เพื่อดูเส้นทางก็ทำไม่ได้เพราะยอดสูงเกินไป พอลองเดินไปอย่างที่ใจคิดแต่แล้วก็วกกลับมาอยู่ที่เดิมอีกครั้งจึงคิดพักเหนื่อยอยู่ตรงมุมหนึ่งของสวนวงกตแล้วค่อยหาทางออกจะดีกว่า
ฝ่ายวเรณย์ที่เก็บสมบัติหลายชิ้นในสวนวงกตรวมถึงพวงกุญแจเจคอบที่อยากได้เรียบร้อยแล้วจึงออกมาข้างนอกกับเพื่อน ๆ หากแต่สายตามองดูแล้วไม่เห็นเจ้าหัวหมูป่าตามมาด้วยจึงนึกสงสัยว่าคนคนนั้นหลงทางอยู่ข้างในหรือเปล่า
เขารีบวิ่งขึ้นไปบนปราสาทที่อยู่ไม่ไกลด้วยความรีบร้อนนึกเป็นห่วงคนที่หายไปพลางมองลงมาข้างล่างจึงได้เห็นว่าเจ้าหัวหมูป่ากำลังนั่งขดอยู่ตรงมุมหนึ่งของสวนวงกต
ครั้นเห็นดังนั้นจึงจดจำเส้นทางเอาไว้แล้วเร่งฝีเท้าตามหาเด็กหลงทางทันที ทำท่าราวกับเป็นเจ้าชายที่กำลังไปช่วยเหลือชาวบ้านผู้ทุกข์ยากอย่างไรอย่างนั้น
เขาตะโกนเรียก “เจ้าหัวหมูป่า นายอยู่ตรงไหนน่ะ” ตลอดทางที่เดินแต่กลับไม่ได้ยินเสียงอะไรจึงได้แต่เดินตามทางที่จำเอาไว้เมื่อครู่
“ได้ยินฉันไหม” เขายังคงไม่ย่อท้อเรียกหาอีกฝ่าย “อยู่ตรงนั้นนะ เดี๋ยวฉันไปหา”
ธาวินได้ยินเสียงตะโกนจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของใคร จึงเงียบเสียงแล้วรออยู่ที่เดิม หากเขาเอ่ยปากตอบละก็ วเรณย์คงจะรู้ทันทีว่าเจ้าหัวหมูป่าคือใคร
เสียงฝีเท้าเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ และธาวินใช้วิธีหักกิ่งไม้ส่งเสียงให้อีกฝ่ายรู้แทน ในที่สุดเจ้าชายขี่ม้าขาวจึงปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขา
“นายหลงทางเหรอ ไม่ต้องกลัวนะ ฉันมาช่วยแล้ว” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มปลอบใจทำให้ธาวินรู้สึกแปลกใจเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน
พลันใจเต้นตึกตักคิดว่าเขายอมรับเป็นเพื่อนกันแล้ว แต่ก็ต้องคอตกทันทีเพราะนึกได้ว่าวเรณย์ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นเขา
ถ้าได้เป็นเพื่อนกันก็ดีสินะ ฉันอยากเป็นเพื่อนกับนายนี่นา
วเรณย์ยื่นมือมาให้ธาวินจับเพราะกลัวว่าจะพลัดหลงกันไปอีก สายตาเหลือบเห็นพวกกุญแจเจคอบจึงพูดว่า “มีสองอันเหรอเนี่ย ดูสิ ฉันก็เก็บได้เหมือนกัน แต่ว่าออกไปข้างนอกกันเถอะ”
ธาวินพยักหน้ารับรู้ถึงความเป็นมิตรจึงจับมืออีกฝ่ายแล้วตามออกมาข้างนอกโดยไม่พูดอะไรตลอดทาง
ไม่ทันจะได้พูดขอบคุณคนที่อุตส่าห์กระหืดกระหอบมาช่วย วเรณย์ก็ถูกเพื่อนสนิทดึงตัวไปอีกทางเพราะจองคิวเครื่องเล่นเอาไว้ ธาวินจึงกลับไปหาเกวลินที่กำลังยืนกินไอศกรีมอยู่อีกฟากหนึ่งแล้วถอดหัวหมูป่าออก
สายตาคู่หนึ่งของเจ้าชายน้อยหันมามองตามหลังจึงได้รู้ว่าคนที่สวมหัวหมูป่าคือใคร
ห้าวันต่อมาหลังจากเที่ยวเล่นอยู่บนเกาะตามลำพังสองคนแล้ว ทั้งคู่จึงนั่งรถไฟกลับมาที่ปารีสเพื่อมาพบกับเกวลินที่รอรับอยู่ชานชาลาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส“พี่ลิน” ธาวินเรียกเธอพลางเข้าไปกอด “ไหนพี่บอกว่าจะรีบตามมาไงครับ”“โทษทีนะ ธุระคาราคาซังจนเกือบหนีออกมาไม่ได้แน่ะ” เธอลูบหัวคนตรงหน้าด้วยความเอ็นดูพลางได้ยินเสียงน้องคนเล็กพึมพำ “ผมบอกพี่แล้วว่าให้ทำธุระก่อน พวกผมเที่ยวกันสองคนได้”เกวลินมองด้วยหางตา ถามธาวินว่า “เจ้าเด็กนี่แกล้งอะไรหรือเปล่า เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะดูแลนายเอง”แม้จะถามออกไปแบบนั้นแต่เธอเองก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศของคนทั้งสองเปลี่ยนไปจริง ๆ ตอนเห็นรูปถ่ายที่ธาวินส่งเข้าแชตครอบครัววันแรก
วันเดินทางคนในบ้านอิงสุนทรมาส่งวเรณย์กับธาวินที่สนามบินตอนสองทุ่มเพราะขึ้นเครื่องบินเที่ยวกลางคืน ทั้งคู่ตื่นเต้นที่จะได้เดินทางออกนอกประเทศเพียงลำพังครั้งแรกเพราะเกวลินติดธุระจึงตามไปทีหลังก้องเกียรติและจันทร์วิมลมองหน้าธาวินพลางเอ่ยปากบอกว่า “ยังไงก็คิดทบทวนอีกสักรอบนะวิน” พวกเขาไม่อยากปล่อยเด็กน้อยตรงหน้าไปจริง ๆ เพราะเลี้ยงดูมาตั้งนานแล้วรู้สึกว่าเหมือนเขากลายเป็นลูกคนหนึ่งไปแล้ว“ครับ” ธาวินรับปาก เขามีเวลาเหลืออีกสองปีที่จะอยู่ในบ้านอิงสุนทรต่อ ถึงเวลานั้นแล้วคนในบ้านอาจจะเปลี่ยนใจแล้วก็ได้ หากแต่คนข้างกายโอบกอดไหล่เขาเอาไว้พูดกับพ่อแม่ตัวเองว่า “พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ยังไงผมก็จะทำให้วินเปลี่ยนใจให้ได้”เมธาวีได้ยินดังนั้นจึงเดินเข้ามาตีแขนน้องชาย “วางแผนอะไรไว้ ถ้าวินคิดออกจากบ
ธาวินนิ่งเงียบหลบสายตาที่ทำให้เจ้าตัวอ่อนไหวแต่เสียงหัวใจยังคงเต้นรัวไม่อาจปิดบังความจริงได้ว่าเขาชอบวเรณย์มากแค่ไหน“ธาวิน” เสียงกระซิบข้างหูยิ่งทำให้ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วลามมาถึงหูและลำคอ “นอนกันเถอะแล้วพรุ่งนี้ไปซื้อของเตรียมตัวไปเที่ยวด้วยกัน”“นายไปนอนห้องตัวเองสิ” ธาวินพึมพำ “ถ้าอยากไปเที่ยวด้วยก็ไป ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่ายังไงฉันก็จะเรียนต่ออยู่ดีแล้วก็คงจะอยู่ที่นั่นต่อแล้วก็...”จุ๊บริมฝีปากของวเรณย์ประทับลงมาโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวจุ๊บสายตาของวเรณย์มองอย่างอ่อนโยน นับตั้งแต่ที่รู้ใจตัวเองก็รุกเข้าหาธาวินเต็มกำลัง
ไม่กี่วันต่อมาก้องเกียรติเรียกลูกชายคนเล็กเข้าไปหาที่ห้องทำงานแล้วบอกเรื่องสำคัญให้เขาได้รับรู้“พ่อบอกว่าอะไรนะครับ” เขาถามด้วยความตกใจก้องเกียรติถอนหายใจเอ่ยอีกครั้งว่า “พ่อจะรับวินมาเป็นลูกบุญธรรม”“ทำไมล่ะครับ ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงคิดจะทำแบบนั้น” เขาไม่เข้าใจเพราะที่ผ่านมาทั้งพ่อและแม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย“พ่อกับแม่ทำแบบนี้เพราะไม่อยากให้วินออกจากบ้านเราไปน่ะสิ” สีหน้าของเขาเหมือนกำลังคิดหาวิธีรั้งตัวเด็กน้อยที่เลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเท่าเมี่ยง“ทำไมวินต้องออกจากบ้านด้วยล่ะครับ”“ไม่รู้สิ จู่ ๆ ก็บอกพ่อว่าเรีย
เช้าวันต่อมาท้องฟ้าอากาศแจ่มใสจนทำให้ใครบางคนในบ้านอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่เขาได้ยินเสียงประตูของห้องข้าง ๆ เปิดออกก็รีบพุ่งตัวออกมาทักทายอีกฝ่ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“หลับฝันดีไหม”ธาวินไม่ตอบว่าคืนที่ผ่านมาเขาฝันดีมากจนรู้สึกไม่อยากตื่นแต่จะให้บอกไปตามตรงก็ไม่ได้ว่าคนในฝันคือวเรณย์“เมื่อคืนนี้นายหลับไปก่อนเลยไม่เห็นดาวหางใช่ไหมล่ะ แต่ว่าฉันเห็นพอดีเลย สงสัยอีกสี่สิบปีข้างหน้าคงต้องปลุกนายมาดูด้วยกันแล้วล่ะ” คำพูดของวเรณย์ทำให้เขานึกสงสัยว่าเจ้าตัวไม่สบายหรือเปล่าถึงได้พูดอะไรที่แปลกไปจากนิสัยปกติแม้แต่แฮปปี้เองก็กระโดดโลดเต้นส่ายหางราวกับดีใจที่พี่ชายทั้งสองคืนดีกันอย่างไรอย่างนั้น&l
ครั้นธาวินออกไปแล้ววเรณย์จึงนั่งเงียบ ๆ อยู่คนเดียว คิดในใจว่าฉันคงเป็นไอ้บ้าจริง ๆ สินะ ทำไมต้องทำอะไรแบบนั้นด้วยตึกตัก ตึกตักโอ๊ย หัวใจเลิกหยุดเต้นแบบนี้สักทีได้ไหมฉันต้องไปหาหมอไหมเนี่ยคืนนั้น ภาพในความฝันของวเรณย์จึงวนเวียนกลับมาอีกครั้ง สิ่งที่เขาพูดไปเมื่อตอนกลางวันกำลังฉายชัดในความฝันเพียงแต่คนที่ธาวินจูบไม่ใช่ณดลแต่เป็นเขามาแทนที่บรรยากาศเคลิบเคลิ้มชวนให้คนทั้งคู่ทำอะไรที่มากไปกว่านั้น ลึกล้ำดึงดูดราวกับหลงใหลจนไม่อาจถอนตัวออกมาได้ ทั้งยังทำให้เจ้าตัวเพลิดเพลินไปกับการกระทำที่อ่อนโยนของคนตรงหน้าจนกระทั่งอ๊ะ พรวด...พรึ่บ!!!วเรณย์สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วเปิดผ้าห่มดูกางเกงตัวเองก่อนจะกุมขมับแล้วกรีดร้องในใจไอ