Mag-log inเขียนโดยเพนนี ปัจจุบัน ลูปที่ 3
ฉันกระพริบตาถี่ๆ เมื่อตื่นขึ้นในเช้าวันเดิมๆ ฉันนั่งฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาผ่านจากอ้อยอิ่งอีกครั้ง แล้วก็ทำความรู้จักเพียงออและแกรมม่าอีกเช่นเคย
"เพนนีขอพูดอะไรหน่อย" ฉันเกริ่นนำและพยายามจะเข้าเรื่องให้เร็วที่สุด "เพนนีเป็นคนในคำทำนาย ที่จะสามารถช่วยคนนับล้านได้ ดังนั้นขอให้ทั้งสองคนทำตามที่เพนนีบอกโดยไม่มีคำถาม โอเค รับทราบ?"
แกรมม่าทำหน้านิ่ว ส่วนเพียงออก็เงียบเฉย เอาล่ะ ฉันทำให้ตัวเองเพิ่งกลายเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการแถมไม่น่าคบ และทั้งสองคนก็เพิ่งเจอฉันครั้งแรก แต่ฉันใช้เวลากับทั้งสองคนมาสักพักแล้ว
"ก่อนที่เพนนีจะตายจากการวนลูปครั้งที่แล้ว เพนนีเห็นรอยสักที่ต้นแขนของฆาตกร เพนนีให้อ้อยอิ่ง หมายถึงหุ่นยนต์เอไอน่ะ ช่วยทำการเสิร์จหาแล้ว แต่หาไม่เจอ เพนนีเชื่อว่า นี่จะเป็นเบาะแสของ บลูคิลเลอร์ หรือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้"
"ถ้าเพนนีเก่งขนาดไม่ต้องการความช่วยเหลือของเราสองคน แล้วแกรมม่ากับเพียงออจะจำเป็นอะไร เชิญหาไปคนเดียวเถอะ"
มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ แกรมม่าในลูปนี้ดูจะไม่ชอบฉันเอาเสียเลย
"เดี๋ยวก่อน" เพียงออเอ่ยออกมาด้วยเสียงแหลมเล็กจากการดัดเสียงด้วยแอพ "วาดรูปให้ดูหน่อยได้ไหม"
ฉันไม่มั่นใจเอาซะเลย ข้อแรกเพราะฉันเห็นเพียงแวบเดียว ส่วนข้อสองเพราะฉันวาดรูปไม่เก่ง ประมาณว่าเด็กป.หกยังวาดสวยกว่านี้เยอะ"
ฉันตวัดดินสอสองสามที รูปที่พยายามจะวาดคือวงกลมที่มีรูปดวงดาวและเนินเขา พร้อมกับดอกไม้ อะไรสักอย่าง โดยรอยสักนั้นเป็นสีน้ำเงิน
"เพียงออจะหาให้ ในระหว่างนี้เธอสองคนคุยกันไปก่อน ว่าจะสืบหาบลูคิลเลอร์ได้อย่างไร"
แกรมม่ากับฉันเงียบกริบ เธอไม่พอใจฉัน ส่วนในหัวฉันมีแต่ความคิดที่จะหาทางทำให้เธอประทับใจให้ได้ แต่จนแล้วจนรอด ก็คิดไม่ออก
ชั่วครู่ เพียงออก็กระแอมออกมา
"ว่าไงบ้าง"
ฉันถามด้วยความตื่นเต้น
"เป็นรอยสักของกลุ่มกองกำลังใต้ดินของประเทศเกิดใหม่ที่ตะวันออกกลาง ชื่อประเทศ หมายถึง ถ้าตั้งประเทศได้สำเร็จ เขาจะใช้ชื่อว่า'นาดา'"
"เพียงออ ช่วยหาเครื่องบินส่วนตัวให้หน่อย วันนี้เราจะบินไปนาดากัน"
ฉันออกคำสั่งราวกับเจ้านาย แต่ถ้าจะให้ใครนำทีม คนๆ นั้นก็ควรจะรู้เรื่องมากกว่าคนอื่นน่ะสิ ไม่สนแล้วว่าแกรมม่าจะเกลียดฉันแค่ไหน ถ้าภารกิจสำเร็จ ฉันจะค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอก็แล้วกัน ฉันจะง้อจนกว่าเธอจะใจอ่อน อะแฮ่ม..ดูท่า ฉันจะมีใจให้แม่สาวตาสวยคนนี้มากขึ้นทุกวันซะแล้ว
"ว่าไงนะ เรื่องมันยังไม่ใหญ่โตขนาดนั้น แล้วเรายังจะเอางบของประเทศไปผลาญเพียงเพราะคนสติไม่ดีคนหนึ่งมาบอกว่าจะขอใช้เครื่องบินส่วนตัวอีกนี่นะ"
"คนสติไม่ดี ฮัลโหล ถ้าไม่เชื่อก็แล้วแต่ แต่เพนนีจะบินไปนาดา ถ้าแกรมม่าอยากพิสูจน์ว่าคนบ้าพูดจริงไหม ก็ลองมาด้วยกันก่อนสิ อ่อ หรือว่ากลัว งั้นก็ไปรอบลูคิลเลอร์ที่ร้านกาแฟก่อนก็ได้นะ เขาชอบไปที่นั่น แล้วอย่าไปกระตุ้นให้เขาโกรธล่ะ เดี๋ยวคนจะพาตายกันหมด"
ฉันประชดกลับ ให้เธอเกลียดไปเลย แต่ในใจก็แอบคิด ว่าถ้าวนลูปรอบหน้า ฉันจะทำให้เธอประทับใจตั้งแต่แรกให้ได้
"เพียงออเตรียมเครื่องบินให้แล้ว ไปที่สนามบินได้เลย มีคำสั่งสายฟ้าแลบ ให้อนุมัติงบประมาณไม่จำกัดให้พวกเราสามคน ต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่ๆ"
"ลุงกาน!"
ฉันและแกรมม่าเอ่ยออกมาพร้อมๆ กัน
.
.
ฉันและแกรมม่านั่งเครื่องบินมาลงนาดา สายลมแรงพัดเอาทรายเข้ามาที่ตาพวกเรา ดีที่ฉันสวมแว่นตาดำอยู่ รันเวย์ถูกทรายทาบทับไปเกือบครึ่ง ภายในท่าอากาศยานมีเครื่องบินจอดเพียงลำเดียว ก็คือเครื่องบินของเรา อาคารเล็กกะทัดรัดจนไม่น่าเชื่อว่าจะมีประเทศที่ยากจนขนาดนี้ในโลก
ให้ตายเถอะ ทำไมกันดารขนาดนี้
ฉันรู้มาแค่ว่าที่นี่เคยเป็นแหล่งขุดเจาะน้ำมันขนาดใหญ่ แต่บ่อก็ปราศจากน้ำมันมานานแล้ว เมื่อขาดทรัพยากร ผู้นำก็คงคิดว่าจะทำอย่างไรกับประเทศต่อไป หากประเทศไม่มีเงินลงทุนภายใน เพื่อสร้างสาธารณูปโภคให้แก่ชาวประชา ก็คงต้องหาเงินมาจากที่อื่น
ประเทศส่วนใหญ่ดึงนักลงทุนต่างชาติมาสร้างฐานการผลิตที่ในประเทศ แล้วประเทศนาดาจะเอาอะไรมาดึงดูด ในเมื่อจุดแข็งเพียงจุดเดียว คือมีกองกำลังใต้ดินที่เข้มแข็ง และพยายามจะปลดแอกแยกประเทศมาจากประเทศแม่
อะแฮ่ม...ขอไม่เอ่ยนามแล้วกัน ติดลิขสิทธิ์
การที่บลูคิลเลอร์มีความสัมพันธ์กับนาดา มันอาจหมายถึงว่า นาดาอาจมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำเงินจากโลกเสมือน ไม่แน่นะ ใต้ดินทรายพวกนี้อาจมีตึก มีระบบไอทีที่ทันสมัยระเบิดระเบ้อซ่อนอยู่ก็เป็นได้
ว่าไปนั่น!
ฉันก็แค่เดาเล่นๆ ระหว่างเดินทางลงจากเครื่องบิน
ระหว่างฉันกับแกรมม่า พวกเราเงียบกริบมาได้สักพักแล้ว ฉันจะทำอย่างไรดี คนนัยน์ตาสีเทาค้อนใส่ฉันหลายรอบแล้ว ขอให้คุณงามความดีที่ฉันทำ ทำให้เธอหายโกรธ หายหมั่นไส้ หายมึนตึงใส่ฉันด้วยเถิด
"แผนของเพนนีคืออะไร"
เธอกระซิบถามฉัน เพราะเกรงว่าเครื่องแปลภาษาของอีกฝ่ายจะทำงาน จากนั้นก้มลงมองชุดที่ตัวเองใส่อย่างงงงวย เป็นเสื้อสูทแบรนด์หรู ราคาแพง ต้องขอบคุณลุงกานมา ณ โอกาสนี้ด้วย ถ้าไม่นับรองเท้าเฮงซวยนี้ ซึ่งเป็นส้นเข็มห้านิ้ว สวัสดีจ้า เรามาท่ามกลางทะเลทราย ฉันลื่นไถลไปหลายรอบ ก่อนหยิบรองเท้าผ้าใบมาใส่ นาดาจะตัดสินฉันยังไงก็แล้วแต่ แต่ฉันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
"แผนก็คือ เราเป็นนักธุรกิจ ส่วนเรื่องที่เหลือ โปรดติดตามตอนต่อไป"
แกรมม่าถอนหายใจที่คาดเดาฉันไม่ได้ ไหนจะเจ้ากี้เจ้าการ ไหนจะแผนเยอะ และยังไม่ยอมเล่าอะไรให้เธอฟังอีก
"เล่าเรื่องประเทศนี้ให้เราฟังหน่อยนะ เพนนี"
เธอทำเสียงออดอ้อน เมื่อรู้ว่าขู่หรือค้อนก็ไม่ได้ผล
"ระบบการปกครองของที่นี่ เคยมีราชวงศ์เล็กๆ ปกครองอยู่ แต่ไม่นานเมื่อทรัพยากรธรรมชาติหมด และผู้นำไม่มีวิสัยทัศน์ จึงไม่สามารถเอาชนะความยากจนไปได้ และหมดหนทางที่จะทำอะไรแล้ว กลุ่มเด็กนักเรียนนอกก็กลับประเทศ ถึงแม้ว่าจะเป็นอดีตเชื้อพระวงศ์ด้วยล่ะนะ ปลุกปั้นกำลังคน คิดค้นวิธีพลิกผืนทรายให้กลายเป็นผืนแผ่นดินทอง หยิบปืนขึ้นสู้กับประเทศที่กดขี่ จนตอนนี้เกิดสงครามกลางเมืองบ่อยครั้ง และหน้าที่ของเรา คือหาผลประโยชน์ตอนที่แทบจะไม่มีหวังเลยนี่แหละ"
รถจิ๊บคันสีแดงวิ่งมาหาเราสองคน ชายฉกรรจ์สองคนสวมชุดโด๊ปหรือชุดอาหรับมาด้วย เล็งปืนกลมาที่เรา ซึ่งตอนนี้ฉันและแกรมม่าไม่มีอาวุธติดตัวมาเลย มีแต่ความสวยเป็นอาวุธล้วนๆ
เรายกมือขึ้น แล้วรอให้พวกเขาเข้ามาถึงตัว
"มีธุระอะไรกับนาดาไม่ทราบ"
เขาเอ่ยผ่านเครื่องแปลภาษา อย่าหาว่าฉันไร้การศึกษาเลย นี่ภาษาอาหรับนะ
"เราเป็นนักธุรกิจ เราอยากเจอผู้นำของคุณ"
ฉันเอง เอ่ยเป็นภาษาไทยกลับไป อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงัก
"เชิญ"
เขาให้พวกเราสองคนนั่งข้างหลัง พร้อมเล็งปืนมาที่เราสองคน ฉันไม่คิดว่าจะไปหาผู้นำของนาดาได้ง่ายขนาดนี้ จึงใช้สายตามองภาพวิวทิวทัศน์ไปเรื่อย
ตอนนี้เราผ่านชุมชนเล็กๆ ของนาดา ไม่เหมือนบ้านเมืองที่ฉันเคยเห็น ในระหว่างหุบเขามีบ้านจำนวนนับพันถูกสร้างขึ้นจากก้อนอิฐสีส้ม วางเรียงรายตลอดแซมด้วยต้นไม้แห่งทะเลทราย ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดนัก และบางส่วนของชุมชนมีรอยดำไหม้จากการสู้รบ กว่าจะสร้างประเทศได้ ต้องเสียงเลือดเนื้อและทรัพย์สินไปมากเท่าไหร่กันนะ
เมื่อเข้ามาในเมือง ชายที่ถืออาวุธก็ปิดตาฉัน แต่เห็นเมืองแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ฉันยักไหล่ รู้ดีว่ามีพลังแห่งกาลเวลาคอยคุ้มครองอยู่ ต่อให้ตายอีกกี่ครั้งก็ทำให้ฉันหวั่นไหวไม่ได้
ฉันและแกรมม่าถูกมัดไว้กับเก้าอี้ ข้างหน้าเรามีโทรศัพท์มือถือตั้งถ่ายคลิปเอาไว้ รอบๆ นั้นมีชายแต่งชุดโด๊ปสีขาวและแว่นตากันแดด ในมือมีปืนกล ถ้าเราทำอะไรผิดจากที่คาดไว้ คงโดนยิงถล่มจนตายแน่นอน ฉันกลืนน้ำลาย ไม่ได้กลัวตายหรอก แต่กลัวเจ็บมากกว่า
"มาทำอะไรที่นาดา"
คนที่ดูเหมือนหัวหน้าเอ่ยขึ้นก่อน เครื่องแปลภาษายังทำงานได้ดีในหูฟังของฉัน และดูท่าเขาก็มีเครื่องแปลภาษาด้วยเหมือนกัน ดีกว่าวุ้นแปลภาษานิดหน่อย ตรงที่เราไม่ต้องเคี้ยวให้เสียเวลา ฉันยืมภาษาของแมวสีฟ้ามาใช้ หวังว่าแมวอ้วนจะไม่คิดค่าลิขสิทธิ์นะ
"เราเป็นนักธุรกิจ ได้ยินมาว่าอีกไม่นานนาดาจะชนะในสงครามกลางเมือง เราสองคนเลยมากว้านซื้อที่ดินไว้ทำโรงแรม และ..." ฉันเอ่ยค้างไว้ เพื่อให้เขาสงสัยยิ่งขึ้น "เรามีอาวุธสงครามมาเสนอขาย"
"บอกชื่อคุณมา เราจะให้เอไอของเราตามหา"
"เคที่ หว่อง"
"ฉันเป็นเลขาค่ะ หาชื่อไปก็ไม่เจอหรอก"
ฉันหวังว่าแผนจะได้ผล เพราะเตี้ยมกับเพียงออไว้แล้ว แต่มีจุดอ่อนนิดหน่อย และชาวนาดาก็จับได้
"ทำไมชุดของเลขาถึงเป็นแบรนด์ไฮโซขนาดนี้"
เราเงียบกริบ ที่ลืมใส่ใจในรายละเอียดปลีกย่อย
"เธอไม่ได้เป็นแค่เลขา แต่เป็นแฟนของฉันด้วย"
ฉันเองจะใครซะอีกที่เอ่ยออกมา พวกเขาพยักหน้าเข้าใจ
"ฉันรู้จักพวกคุณ ผ่านทางตัวแทนVVIP เธอชื่อ บาบาร่า อีแวนสัน เธอรู้ว่าเราสนใจสร้างโรงแรมไปทั่วโลก"
ฉันแนะนำตัวเองสั้นๆ ได้ข้อมูลมาจากเพียงออ เธอเป็นแฮกเกอร์และนักต้มตุ๋นมืออาชีพ ก่อนเอ่ยว่าสนใจสร้างโรงแรมในที่ดินของนาดา บ้านสีอิฐและภูมิหลังประเทศจะทำให้ที่นี่ขายดี พวกเขาเลยปลดเชือกที่มัดให้ เชือกทำมาจากวัตถุดิบพิเศษที่ใช้มีดตัดไม่ขาด แต่ถ้าปลดดีๆ ก็จะหลุดอย่างง่ายดาย และเราก็ทำเองไม่ได้เพราะมองไม่เห็นปม พวกเราลูบข้อมือที่เป็นรอยแดง ก่อนที่ชายคนหนึ่งจะเดินมาในห้องนั้น
"แต่ผมสนใจสร้างอาคารสำนักงานมากกว่าโรงแรม" ผู้นำเอ่ย ดวงตาของเขาแหลมคมดังมีดที่ตัดทุกอย่างได้แค่การมองเพียงชั่ววูบ "เพราะจุดแข็งของเราคือบุคลากรด้านไอที คุณคงไม่รู้ว่าเราได้สร้างแฮกเกอร์ไว้จำนวนมากโดยการสอนจากนักเรียนนอกที่เราส่งไปเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก และมีระบบการแข่งขันเพื่อคัดคนที่แข็งแกร่งไว้เป็นผู้นำ และต่อไปเราจะทุ่มเงินสร้างคนแบบนี้อีก สิ่งที่เราอยากได้คือความน่าเชื่อถือ และอาคารอันสวยงามจะทำให้เราได้เปรียบ"
"ออฟฟิซบิ้วดิ้ง" ฉันเอ่ยทับศัพท์ออกไปอย่างตกใจ ผู้นำชาวนาดาหันมาพยักหน้าและยิ้มให้ "ไม่เลวเลยทีเดียว ยิ่งมีบุคลากรที่มีทักษะสูงเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มแต้มได้เปรียบให้กับนาดาได้เท่านั้น"
จากนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ทำความเคารพผู้นำและกระซิบข้างหูเขา สีหน้าผู้นำเปลี่ยนไป ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
"ผมจะพาคุณไปดูเด็กๆ ของเรา"
เขาเดินไปในบ้าน แล้วกดประตูลับให้เปิดออก จากนั้นก็นำทางเราเข้าไปในอุโมงค์ลึกลับมืดสลัว ก่อนทางเข้าจะขยายใหญ่ขึ้น จนกลายเป็นห้องโถงยักษ์ มีคอมพิวเตอร์วางเรียงรายนับร้อยพร้อมแฮกเกอร์ที่เป็นชาวนาดานั่งรัวแป้นพิมพ์อยู่
ฉันเก็บปากไว้ไม่ทัน ได้แต่อ้าปากกว้างกับความอลังการที่ผู้นำชาวนาดาได้เตรียมไว้ หลังจากปลดแอกประเทศให้เป็นของตัวเอง
"ก่อนจะตาย ผมอยากให้คุณเห็นว่า เราไม่ได้มาเล่นๆ แต่ตั้งใจจะเป็นผู้นำด้านไอทีในโลกยุคใหม่ แม้ว่าเราจะไม่มีทรัพยากรอะไรเลยก็ตาม" ชายผู้มีตาแหลมคมเอ่ย "ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณเป็นตำรวจจากประเทศไทย คงจะมาเรื่องไอ้เรวัชนั่นสินะ แต่เสียใจด้วย ผมไม่ยอมคืนเงินให้ง่ายๆ หรอก"
โป๊ะเชะ! อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าบลูคิลเลอร์มาจากประเทศนาดานี่
"คืนเพชรมา"
"เขาขายไปแล้ว"
"งั้นคืนเงินมา"
"ใช้ไปเกินครึ่งแล้ว"
"โธ่เว้ย!"
ปืนกลเล็งมาที่เราสองคน เมื่อไม่มีประโยชน์แล้ว เขาจึงยิงเราสองคนทิ้ง!
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 4 เดือน ลูปที่ 6 ฉันพาแกรมม่ามาที่ห้องพักบ่อยครั้ง พวกเราค่อนข้างหวานแหวว ตัวติดกันจนแทบจะแยกไม่ออก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันรู้สึกเปลี่ยนไปตั้งแต่มีเธอ นั่นคือ… อ้อยอิ่ง หุ่นยนต์แม่บ้านเอไอทำตัวแปลกออกไป อย่างที่ฉันสงสัยมาเสมอ ว่าเธอถูกใส่โปรแกรมให้รักเจ้านายเข้าไปด้วย หรือไม่วิวัฒนาการก็ทำให้เธอมีอารมณ์เหมือนมนุษย์ อ้อยอิ่งไม่ฮัมเพลงเวลาทำกับข้าว อ้อยอิ่งไม่รีบมาเวลาฉันเรียก และอ้อยอิ่งประชดประชันฉันบ่อยขึ้น “หุ่นยนต์เอไอ” ฉันเรียกเธอ “ค่ะ เจ้านาย” แทนที่จะต่อปากต่อคำให้ฉันเรียกชื่อเหมือนอย่างเคย แต่เธอกลับตอบรับอย่างไม่มีชีวิตชีวา “งอนเหรอ” “หุ่นยนต์ไม่สามารถมีความรู้สึกได้ นอกจากยินดีทำตามคำสั่งค่ะ และอ้อยอิ่งก็เป็นแค่หุ่นยนต์” ฉันต้องแคร์ไหมเนี่ย เอา ก็ได้วะ “ขอบคุณอ้อยอิ่งมาก ที่ทำงานรับใช้ฉันอย่างดีเสมอมา” ฉันไม่รู้จะจบประโยคนี้ได้อย่
เขียนโดยนิวตัน เมื่อ 16 ปีก่อน พ่อแม่ของเรามาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ่อยๆ จนพี่เพนนีจำหน้าพ่อกับแม่ได้ เธอจะยิ้มกว้างทุกครั้งที่เห็นพวกท่าน เพราะท่านจะเข้ามาพูดคุยกับเด็กๆ ไม่เว้นแม่แต่กับเธอ เด็กในนี้จะโหยหาความรัก และอยากให้คนมาสนใจ อันที่จริง เพราะอยากจะมีโอกาสได้คุยกับพี่เพนนีด้วย แต่ไม่อยากให้มันโจ่งแจ้งนัก กระทั่งพ่อกับแม่เป็นห่วงพี่เพนนีมาก จนแม่ต้องร้องไห้ทุกคืน “เดี๋ยวผมจะไปอยู่กับพี่เพนนีเองครับ” ผมอาสา “เราเสียลูกสาวให้ส่วนรวมไปแล้ว ยังต้องเสียลูกชายไปด้วยเหรอคะคุณ” แม่ทำตาแดงๆ เหมือนจะร้องไห้ “ผมจะดูแลพี่เพนนี จะเอ็นเตอร์เทนจนพี่ต้องร้องขอพัก” ผมหัวเราะคิกคัก “ผมจะเล่าให้ฟังว่าเราทำอะไร กินอะไร นอนยังไงนะครับ แม่จะได้หายกังวล” หลังจากนั้นอีกสามวัน ผมก็เข้ามาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ผมเป็นเด็กใหม่ที่ค่อนข้างอ้วน หลายๆ คนจึงเข้ามาบูลลี่ผม เพราะเด็กที่นี่หุ่นสมส่วนทุกคน “ไอ้เด็กอ้วนๆ มันจะโดนไม้เสียบๆ เสียบตูดซ้าย เสียบตูดขวา ร้อนจริงๆ ร
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 93 วัน ลูปที่ 6 ภาพรอบๆ ตัวฉันเป็นสีขาวโพลน แวบแรกฉันคิดว่า นี่คือสวรรค์หรือไม่ก็โลกหลังความตาย มีคนตายกี่คนที่จะกลับมาบอกเราว่า โลกหลังความตายเป็นอย่างไร แล้วภาพก็ค่อยๆ กระจ่างชัดขึ้น ฉันจึงเห็นว่าสวรรค์แห่งนี้ ดูเหมือนโรงพยาบาล "ตื่นแล้วเหรอ" "คอแห้งมากเลย" ฉันตอบกลับเสียงนั่นเบาๆ ก่อนจะเห็นว่าเป็นแกรมม่า เป็นแกรมม่าเวอร์ชั่นที่ไม่ได้เห็นนานแล้ว นั่นคือเวอร์ชั่นที่ไม่อมทุกข์ "รู้สึกอย่างไรบ้าง" ฉันสำรวจแขนขาตัวเอง ก็ยังผอมบางเหมือนเดิม แต่รู้สึกได้ว่ามีกำลังวังชายิ่งกว่าเดิม เหมือนได้รับยาเพิ่มพลังชีวิตอย่างไรอย่างนั้น "ก็ดี" "พูดให้เจาะจงหน่อย" "รู้สึกมีแรงมากขึ้น ตัวเบาขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อน" "วิเศษมาก!!" แกรมม่าแทบจะตะโกน "ตอนนี้เพนนีหายแล้วนะ เพนนีจะไม่ตายแล้ว" "ว่าไงนะ บุญช่วยงั้นเหรอ" ฉันเอ่ยอย่างใสซื่อ ไม่รู้จะนึกเรื่องไหนได้อีกแล้ว "เพนนีจะไม่ตายจ
เขียนโดยเพนนี หลังจากนั้น 3 เดือน ลูปที่ 6 "เพนนีเป็นยังไงบ้าง" แกรมม่าถามเมื่อเห็นสีหน้าฉันขาวราวกับกระดาษ โธ่ ลืมปัดแก้มอีกแล้ว "ก็ยังสบายดีค่ะ เพนนีเคลียร์งานนี้เสร็จ จะไปกินข้าวด้วยนะ" "แกรมม่ามีเรื่องจะบอก" เธอทำหน้านิ่ง จนฉันกลัวอีกแล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่น่ารู้ก่อนที่ฉันจะตายอีกไหมนะ แต่ก็อีกเป็นปีๆ แหละนะ "แกรมม่าจำได้ทั้งหมด ทุกครั้งที่มีการวนลูป" "หะ?" ฉันอุทาน "ได้ยังไง" "แกรมม่าจดจำเรื่องทุกอย่างได้เพราะ โธ่ อย่าทำหน้าตกใจขนาดนั้น ก็แค่จำได้ ลุงกานเลยคุยกับแกรมม่าเพื่อยืนยันเรื่องของเพนนี ตลอดเวลาที่เราวนลูป" "แล้วยังไงอีก" "หมายความว่าไง ก็บอกไปทุกเรื่องแล้ว" เธอก้มหน้าหงุด รู้ว่าถึงฉันจะวนลูป แต่ในใจก็มีเธอเสมอ โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ ฉันได้บอกรักเธอ หน้าฉันเลยมีสีจัดขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ "แล้ว...แล้ว...แล้ว" "แล้วอะไร" แกรมม่าคงจะเขินจริงๆ "แล้วรักเพนนีบ้างหรือยัง"
เขียนโดยเรย์ หลังจากนั้น 8 วัน ลูปที่ 6 ภายหลังนาดาเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ อาจารย์เพนนีก็มาหาผมที่บ้าน และขอคุยกับผมตามลำพังในห้องรับแขก “อาจารย์เข้าเรื่องเลยละกัน” “มีนัดต่อกับพี่แกรมม่าเหรอครับ” ผมดักทาง เหม็นกลิ่นความรัก “ขอเขกหัวทีเถอะ ไอ้เด็กนี่” ไม่พูดเปล่า แต่ยกมะเหงกขึ้นมาด้วย แต่ผมหลบไวกว่า ผู้หญิงหรือจะไวสู้ผู้ชายได้ อาจารย์เลยทำหน้าเคร่งขึ้นมา “มานั่งให้ดีๆ” “ครับ” “ไปหาคุณฮาริสที่เพนเฮาส์ ไปต่อหน้าอาจารย์นี่แหละ” “ครับ” ผมสวมเสื้อสูท VR ส่วนอาจารย์เพนนีเปิดแท็บเล็ตส่วนตัวเพื่อติดตามบทสนทนาระหว่างเรา ผมขึ้นลิฟท์ไปแบบอารยชน ไม่ได้ไปในฐานะขโมยหรือผู้ร้าย ผมรู้จากคำบอกเล่าของอาจารย์เพนนีที่ว่า ผมกระตุ้นให้เกิดเรื่องร้ายแรงในประเทศเรา และกำลังจะทำให้คนบริสุทธิ์ต้องเดือนร้อนจำนวนมาก ถึงขั้นตายเลยเสียด้วยซ้ำ “ผมขอโทษครับ” ผมก้มกราบคุณฮาริสที่อยู่ในรูปร่างบลูค
เขียนโดยฮาริส หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ลูปที่ 6 ผมเข้าประชุมกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อขอปลดแอกประเทศนาดาจากประเทศมหาอำนาจและช่วยให้พ้นความยากจน เพื่อทำแนวทางใหม่สู่ความยั่งยืนและความเสมอภาค ในเวทีนี้ ผมคาดหวังว่าจะได้รับไอเดียดีๆ และพันธมิตรที่จะมาช่วยเหลือนาดาได้สำเร็จ ประธานในที่ประชุมกล่าวต้อนรับเรา และชี้แจงวัตถุประสงค์ในการประชุมวันนี้ ผมตื่นเต้นจนมือเปียก น้ำลายหนืด แถมปากแห้งไปหมด ถึงอย่างนั้น แต่ผมหันหน้าสี่สิบห้าองศาให้กล้องที่กำลังถ่ายทอดสดพวกเราอยู่ แหม ต้องขอบคุณเพื่อนนายแบบที่สอนทริคนี้ให้ผม ส่วนตัวผมกล่าวขึ้นแถลงเป็นคนถัดไป ผมซ้อมมาหลายวันกว่าจะกล้าขึ้นเวทีในวันนี้ ผมบอกตัวเองหลายรอบแล้ว ว่าผมคือพระเอกในวันนี้ พระเอกที่ทำทุกอย่างอย่างที่ควรเป็น เลิกเสียทีการสละเลือดเนื้อ เพื่อเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน “ในประเทศของเรา ความยากจนเป็นปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะเชื่อมโยงความไม่เท่าเทียมทางการศึกษาและสิทธิในการเข้าถึงโอกาสทางการปกครอง โดยเฉพาะเมื่อประเทศที่ปกครองเราอ







