ปีเตอร์รับฟังและพยักหน้า พร้อมรอยยิ้มกับแววตาบ่งบอกความดีใจอย่างชัดเจนที่หนูนาแทนตัวเองกับเขาว่า ‘หนูนา’ โดยที่เธอเป็นไปตามธรรมชาติไม่รู้ตัวสักนิด และยิ่งได้มองหน้าเธอใกล้ๆอีกครั้ง แต่เป็นครั้งแรกที่เธอไม่ได้หลับหนูนามีดวงตาที่กลมโต ขนตางอนยาวอย่างธรรมชาติรับกับดวงตา จนเขาอยากจะจับมาชิมและจูบปากอิ่มที่ช่างเจรจานี้จริงๆ พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆที่น่าจะมาจากกลิ่นแป้งบวกกลิ่นสาวช่างน่าหลงใหลนักจนไม่อยากถอยห่างจากเธอเลย
สมาชิกในกลุ่มต่างก็เดินมาที่เธอเพื่อที่จะมากล่าวคำลา และก็เดินออกจากห้องไป “พีท นายยังไม่กลับเหรอ?” และเป็นไรอัลที่หันมาถาม
“อืม...สักพัก...บาย” พูดเพียงแค่นั้นและกล่าวลา โดยสายตาไม่ได้หันมองคู่สนทนาด้วยเลย
“บาย...” ไรอัลกล่าวลาพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ “บาย..นีน่า”
“บาย...” หนูนากล่าวพร้อมยิ้มน่ารักส่งให้ไรอัล ทำให้ปีเตอร์ที่เห็นถึงกับหน้าตึงใส่ทั้งสองอย่างลืมตัว
“เอ่อ!...คือคุณจะกลับตอนไหนคะ?” ทันทีที่ไรอัลเดินออกไป หนูนาก็หันมามองนักร้องหนุ่มที่เหลือเพียงหนึ่งเดียว
“ถามทำไม...” ปีเตอร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เนื่องจากอารมณ์ยังค้างกับสถานการณ์เมื่อครู่
“เป็นอะไรของเขา ถามดีๆอยู่ๆก็มาทำน้ำเสียงไม่พอใจใส่ยังไงไม่รู้” หนูนาคิดแต่ตอบกลับไปว่า “คือฉันจะต้องรอปิดห้องค่ะถ้าพวกคุณไม่ใช้ห้องแล้ว” พอได้ฟังคำตอบของเธอทำให้ปีเตอร์ที่อารมณ์ค้างอยู่เมื่อกี้นี้เพิ่มความขุ่นมัวมากไปอีก เพราะจากตอนแรกแทนตัว ‘หนูนา’ เป็น ‘ฉัน’ ทำให้ปีเตอร์ขบกรามแน่นและลุกจากตรงนั้น คว้าเสื้อโค้ชแล้วก็เดินออกจากห้องไปเลย
“การกระทำแบบนั้นคงหมายถึง กลับแล้วสินะ” หนูนาบ่นกับตัวเองและมองอย่างไม่เข้าใจ หรือว่าศิลปินอารมณ์ต้องแปรปรวนแบบนี้
ปีเตอร์ตอนนี้นั่งอยู่ในรถแต่ยังไม่เคลื่อนรถออกจากที่จอดรถของตึกด้วยความรู้สึกที่หงุดหงิด
“ทำไมถึงหงุดหงิดแบบนี้ว่ะ..” บ่นกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจตัวเองหรือว่าจะคิดถึงเจซี เพราะเขากับเจซีไม่ได้เจอกันมากว่าสองเดือนกว่า เพราะเขาต้องไปทัวร์คอนเสิร์ต พอเขากลับมาเธอก็ต้องไปเดินแบบที่ฝรั่งเศษอีกสามสัปดาห์ได้แต่คุยโทรศัพท์กันบ้างเวลาว่างที่ไม่ตรงกันจึงไม่ค่อยได้คุย ทั้งเขาและเธอต่างก็ชินเพราะรู้จักคบหากันมากว่าสิบปี ถ้าเป็นคู่อื่นคงแต่งงานไปแล้ว แต่ระหว่างเขากับเธอต่างก็ไม่มีใครเร่งรัดใคร หรือแสดงความต้องการที่จะอยากแต่งงานใช้ชีวิตครอบครัวกัน
แต่ความรู้สึกของเขาที่เป็นอยู่นี้ เกิดขึ้นกับผู้หญิงที่เขาพึ่งเจอได้แค่สองวัน เมื่อนั่งทบทวนแต่ก็ยังหาคำตอบกับความรู้สึกนี้ไม่ได้ จึงตัดสินใจปล่อยมันไปและขับรถอออกไป ด้วยความรู้สึกที่ค้างคา....
เช้าของอีกวันของหนูนารถไฟใต้ดินเป็นยานพาหนะที่เธอใช้เดินทางจากหอพักไปสตูดิโอเหมือนอย่างทุกวัน นิวยอร์กเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาความเจริญมากที่สุด เมืองที่ไม่เคยหลับไหลซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจรวมถึงบันเทิง แต่สำหรับหนูนาตั้งแต่เธอได้เป็นสมาชิกเมืองที่ไม่เคยหลับใหลชีวิตต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดต้องประหยัดและต้องหางานที่สามารถเรียนไปด้วยได้นั้นเวลาในแต่ละวันของเธอก็ไม่พออยู่แล้ว เธอมีเป้าหมายในชีวิตสำหรับเด็กกำพร้าที่ไม่รู้จักพ่อแม่ เติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บั่นทอนชีวิต กับเป็นแรงกระตุ้นให้เธอต้องเติบโตมาอย่างคนมีคุณภาพ และปัจจุบันเธอก็สามารถมาเรียนต่อระดับปริญญาโทที่อเมริกา อีกสองปีเท่านั้นเธอบอกกับตัวเองว่าเธอต้องทำให้ได้
หนูนาเมื่อมาถึงสตูดิโอก็จัดการงานตามหน้าที่ แต่วันนี้เธอได้หอบหิ้วถุงอาหารมื้อเช้าสำหรับกลุ่มศิลปิน
“ไม่แน่ใจว่าปกติพวกเขากินอะไรเป็นมื้อเช้า เอาน่า!...ถือซะว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง มี ดีกว่าไม่มีอะไรเลย” คิดได้แบบนั้นก็จัดวางทุกอย่างที่โต๊ะกลางตรงมุมโซฟาที่ทั้งเธอและกลุ่มศิลปินชอบมานั่งพักผ่อนและนั่งคุย เพราะมุมนี้จะอยู่ริมห้องใกล้หน้าต่างเห็นวิวแห่งนครนิวยอร์ก และหยิบกระดาษเขียนอะไรบางอย่างวางไว้ที่โต๊ะและคว้าเป้ออกจากห้องไป
“WOW!!!!” ทันทีที่ปีเตอร์ผลักประตูสตูดิโอเข้ามาก็ได้ยินเสียงของพอล กับเห็น ไรอัล ยืนกอดอกมองบางสิ่งที่วางอยู่และกระดาษ...............
“สวัสดีตอนเช้าค่ะ นีน่าขอโทษค่ะ เมื่อวานไม่ได้แจ้งให้ทราบว่าช่วงสายวันนี้ มีเรียน ขออนุญาตนะคะ ถ้าหากพวกคุณต้องการทานมื้อเที่ยงที่นี่ รบกวนแจ้งให้ทราบได้ที่..XXX..ตามเบอร์นี้นะคะ ทานอาหารเช้าให้อร่อยนะคะ
นีน่า”
หลังจากที่อ่านแล้วปีเตอร์นั่งลงทันที และเริ่มจัดการกับอาหารตรงหน้าไม่ได้พูดอะไรกับสองหนุ่มที่ยืนมองพฤติกรรมของเขาอย่างงงๆ แต่ก็นั่งลงและจัดการกับอาหารเช่นเดียวกัน แต่เมื่อสองคนเริ่มให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าปีเตอร์ก็หยิบกระดาษโน้ตโดยที่อีกสองหนุ่มไม่ทันสังเกตและเป็นที่สนใจเลย
ในห้องเรียนของหนูนา จู่ๆโทรศัพท์ของหนูนาก็สั่นเป็นสัญญาณข้อความเข้า “พวกเรารอมื้อเที่ยงจากหนูนา ตามสบาย”ข้อความเพียงเท่านี้ หนูนาก็รู้ได้ทันทีว่ามาจากใคร แต่ที่ทำให้หนูนาจ้องตาไม่กะพริบคือคำว่า ‘หนูนา’เป็นภาษาไทย ครั้งแรกที่ได้ยินจากปากของนักร้องนำของวง และนี้ก็เป็นข้อความอีกได้แต่เก็บความสงสัยไว้ก่อนและบ่นกับตัวเอง “ไม่ได้...ไม่ได้.!! ตั้งใจเรียนซิยายหนูนา”
เมื่อจบชั่วโมงหนูนาก็รีบเก็บของ และกล่าวลาขอตัวกับเพื่อนร่วมคลาสต่างชาติอีกหลายคน ไม่มีใครที่นี่ทราบว่าเธอทำงานที่ค่ายเพลงดังของที่นี่ และเธอก็ไม่คิดจะบอกให้ชีวิตต้องวุ่นวาย ทุกคนทราบเพียงว่าเธอมีงานพาร์ทไทม์เท่านั้น
ปีเตอร์ดูดรั้งยอดเกสรดอกไม้ตูมตามอารมณ์และแรงการขยับมือนั้นที่จังหวะเปลี่ยนไปจนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ความเสียวซ่านที่เกิดขึ้นในตัวของเขาทำให้ระบบการเต้นของหัวใจเป็นจังหวะที่เร็วขึ้น เขาผละออกจากดอกไม้ตูมหนูนาก็ขยับตามแต่มือเล็กทั้งสองยังไม่ยอมหยุดกระทำการต่อไปจนปีเตอร์แหงนหน้าพิงกับพนักโซฟาหายใจใบหน้าแดงก่ำจากการกระทำอย่างต่อเนื่องของมือเล็กๆของเธอ หนูนาเร่งจังหวะมือให้เร็วขึ้นเมื่อเสียงครางอย่างพึงพอใจของสามีดังออกมาอย่างต่อเนื่อง หนูนาผละมือออกข้างหนึ่งเพื่อที่จะดึงกางเกงยีนส์ออกจากสามีแต่มืออีกข้างก็ยังคงทำหน้าที่สร้างความกระสันเสียวซ่านให้กับสามีต่อไป ปีเตอร์ให้ความร่วมมือกับหนูนาเป็นอย่างดีจนตอนนี้ตัวเขาไม่มีอาภรณ์ชิ้นใดบนร่างกาย หนูนาแทรกตัวเองเข้าไประหว่างขาของปีเตอร์ที่เขาขยับให้กว้างขึ้น เธอย่อตัวคุกเข่าลงนั่งกับพื้นปากอิ่มเปิดกว้างและเข้าครอบครองแก่นกายที่ขยายพองตัวแข็งแรง และกระทำการสร้างความเสียวให้กับปีเตอร์เพิ่มเป็นทวีคูณ ป
“พ่อพีทครับ...ผมเก่ง...สมเป็นลูก...พ่อมั้ย...ครับ” คราวนี้เด็กชายอลันพูดเป็นภาษาอังกฤษ ปีเตอร์หันมายิ้มกับหนูนา “รักพ่อ...กับแม่มากๆ...ครับ” เด็กชายอลันโบกมือบ้ายบายกับกล้อง และกล่าวเป็นภาษาอังกฤษกับผู้เป็นพ่อ และเมื่อเขาพูดกับผู้เป็นแม่เขาจะพูดเป็นภาษาไทย หนูนาหันไปมองปีเตอร์และอดยิ้มไม่ได้ เมื่อคิดไปถึงเช้าวันหนึ่งที่จู่ๆ ปีเตอร์ตื่นนอนขึ้นมาและเขารู้สึกวิงเวียนศีรษะและมีอาการคลื่นไส้ “พีท...เป็นอะไรคะ...” หนูนารู้สึกตัวตื่น เมื่อได้ยินเสียงสามีอาเจียนอยู่ในห้องน้ำ “ขอโทษนะที่ทำให้หนูนาต้องตื่น...ผมไม่รู้เป็นอะไรจู่ๆก็คลื่นไส้” “อาหารเป็นพิษหรือเปล่าคะ?
ทีมที่ถูกจัดให้เดินทางไปประเทศไทยคือ โคล ฌอว์น และมาเรียที่เดินทางกลับมาพร้อมกับฌอว์น โดยที่มาเรียต้องปลอมตัวมา เพื่อไม่ให้เป็นที่เห็นของสมาชิกแก๊งของพ่อเธอและแน่นอนแผนนี้ อีธาน เบนเน็ต รู้เป็นอย่างดีและอีกคนในสมาชิกแก๊งที่รู้ก็คือ ดอม มือขวาของอีธานนั้นเอง เพราะดอมเป็นผู้อารักขาเด็กชายอลัน ซาวันเดอร์ ไปประเทศไทย และสมาชิกที่ติดตามไปอีกกว่าสิบคนจะเป็นคนของฌอว์นที่จะปะปนไปกับเครื่องบินที่จะบินไปประเทศไทยในวันนี้ เพราะเครื่องบินเที่ยวพิเศษถูกจองกว่าครึ่งลำเพื่อทีมอารักขาทุกคนโดยทันที แผนการณ์นี้ถูกเตรียมไว้ทันที เมื่อหนูนารู้ตัวว่าท้องและทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไปเมื่อเด็กในท้องของหนูนาเป็นผู้ชาย เพราะเขาจะต้องเกิดมาเป็น อลัน เบนเน็ต ไม่ใช่ อลัน ซาวันเดอร์ แต่หนูนาไม่สามารถที่จะให้ลูกของตัวเองต้องเข้าไปเติบโตในแก๊งที่ยังคงเป็นสีเทา เพราะเธอไม่ต้องการให้ลูกของเธอต้องแปดเปื้อนกับสิ่งเหล่านี้ เพราะจนถึงตอนนี้ปีเตอร์เองก็เป็นเพียงทายาทเพราะอีธาน ยังคงรับตำแหน่งต่อไป เพราะอีธานเองก็คิดเหมือนหนูน
ปีเตอร์ หยุดยืนอยู่หน้าห้องโดยที่ยังไม่ผลักประตูเข้าไป เพราะว่าตอนนี้เขาเองก็รู้สึกอ่อนแอและเจ็บปวดเช่นกัน ปีเตอร์ได้รับแจ้งจากมาเซลหลังจากที่เขาทำการแสดงจบ ว่าลูกชายเขาหายตัวไปจากโรงพยาบาลในขณะที่เขากำลังวาดลวดลายทั้งร้องทั้งเต้นบนเวทีแสดงคอนเสิร์ตให้เหล่าแฟนเพลง มาเซลต้องรอให้เขาแสดงจบก็กว่าชั่วโมงแล้วที่ลูกเขาถูกลักพาตัวไป มาเซลได้ประสานงานกับทีมค้นหากันโดยตลอด ข่าวที่ลูกชายของเขาได้หายไปล่วงรู้ไปยังสมาชิกแก๊งมาเฟียแล้ว อีธาน เบนเน็ต ได้จัดทีมเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อติดตามหาหลานชายของตนเองทั่วทุกรัฐในอเมริกา ปีเตอร์ต้องเดินทางกลับจากลานคอนเสิร์ตด้วยเฮลิคอปเตอร์ที่ถูกส่งไปรอรับเขาทันที ปีเตอร์สูดหายใจยาวๆเข้าออกก่อน และเขาค่อยๆเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูและค่อยๆผลักเข้าไป พร้อมกับสมาชิกในวงที่ต่างก็เดินตามเขาเข้ามา หลังจากที่ไรอัลกับพอลได้พยุงตัวมาเซล ส่งให้กับการ์ดที่ยืนมองไม่ห่าง ต่างเข้ามาช่วยเพื่อพามาเซลไปทำแผล เหล่าสมาชิกต่างมองกลับมาที่
“หนูนา...โอ้วว...” ปีเตอร์ร้องบอกพร้อมกับขยับสะโพกกระแทกแรงขึ้นเมื่อเขาถูกตอดรัดมากขึ้น และเขาก็ใกล้ที่จะถึงจุดปลดปล่อย และอีกเพียงไม่กี่ครั้งเสียงร้องครางจากหนูนาและปีเตอร์ก็ดังเมื่อปีเตอร์เป็นผู้สร้างสวรรค์บนดิน ณ ที่แห่งนี้ให้กับเธอและตัวเขาเองอีกครั้ง ปีเตอร์ดึงหนูนาลงมานั่งบนตักเขา เมื่อเขาปลดปล่อยธารน้ำใส่ภายในตัวของหนูนา โดยที่จุดประสานยังคงตราตรึงอยู่ในตัวเธอ ปีเตอร์นั่งนิ่งๆปล่อยให้หนูนาได้พักหายใจ เขารอจนเธอระบบการหายใจเข้าสู่ปกติและค่อยๆถอดแก่นกายออกมา และเขาเอื้อมมือดึงกระดาษทิชชู่เช็ดทำความสะอาดให้หนูนา และช่วยแต่งตัวให้เธอจนเรียบร้อยและหันมาจัดการตัวเองจนทุกอย่างเรียบร้อยเขาก็จูงมือหนูนาเดินออกจากห้องหนังสือเพื่อไปยังห้องอาหารที่ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยตามเวลาดินเนอร์ “อิ่มจัง...ถ้ากินแบบนี้ทุกมื้อมีหวังหนูนากลายเป็นหมูแน่ๆ” หนูนาเดินเอามือข้างที่ว่างลูบท้อง หลังจากที่ทั้งเธอและปีเตอร์ทานดินเนอร์เสร็
“ผมต้องการให้หนูนาเซ็นเอกสารในซองนี้” ปีเตอร์พูดพร้อมกับเอื้อมหยิบซองที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาและส่งให้หนูนา ซึ่งเธอก็รับมาพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจและเธอก็ดึงเอกสารที่อยู่ข้างในขึ้น “นี้มัน!...” หนูนาพูดออกมาทันทีเมื่อเห็นหัวกระดาษ นี้เป็นเอกสารการครอบครองทรัพย์สินร่วมกันและในเอกสารก็มีชื่อจริงของสามีและชื่อเธอ “เซ็น...” ปีเตอร์พูดพร้อมกับส่งปากกาให้หนูนา ส่วนมืออีกข้างก็กอดรัดเอว หนูนาไว้อย่างไม่ต้องการให้หนูนาลุกออกจากเขาไปได้จนกว่าเขาจะอนุญาต “ไม่เซ็น...” หนูนากล่าวปฎิเสธทันทีเมื่อพลิกดูใบต่อไป “ผมบอกแล้วนะ...ถ้ารู้แล้ว...ห้ามดื้อ...ห้ามขัด...ต้องทำตามที่ผมสั่งทุกอย่าง” ปีเตอร์รั้งเอวหนูนาไว้แน่น เพราะหน