ログインแม้ว่า หลานเสวี่ยอิง จะเคยบรรลุพลังปราณเยือกแข็งในระดับสูงสุด ครอบครองพลังที่ทำให้ยุทธภพต้องสั่นสะเทือน ทว่ายามนี้… นางคือเพียง ทารกน้อยที่อ่อนแอ
ไร้ซึ่งพลังปราณไร้ซึ่งพรสวรรค์ไร้แม้แต่เรี่ยวแรงจะขยับร่างกาย
หิมะยังคงโปรยปรายลงมาอย่างไร้ปรานี ความหนาวเหน็บกัดกินร่างเล็กอย่างโหดร้าย หัวใจของทารกที่เพิ่งฟื้นคืนชีพเริ่มเต้นอ่อนลงทุกขณะ...
"ไม่... ข้าจะไม่ยอมตายเป็นครั้งที่สองเป็นอันขาด!"
เสียงแห่งจิตวิญญาณดังขึ้นอย่างแน่วแน่ ความดื้อรั้นของผู้ที่เคยเป็นราชันย์เหมันต์ ไม่ยอมให้ตนเองต้องดับสิ้นไปเช่นนี้!
ทันใดนั้นพลังปราณอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ในร่างนี้ถูกรีดเค้นออกมา แสงสีขาวอ่อนๆ ค่อยๆ ห่อหุ้มร่างเล็กเอาไว้ อุณหภูมิรอบกายค่อยๆ อุ่นขึ้น แม้เพียงเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายเล็กๆ นี้ ยังคงอยู่รอดได้อีกครั้ง
แต่พลังของนางนั้นเหลือน้อยเหลือเกิน...
สติของนางเริ่มพร่ามัว ร่างของทารกแรกเกิดไม่อาจทนต่อความหนาวเย็นอันโหดร้ายได้อีกต่อไป
ในขณะที่ดวงจิตของนางกำลังจะเลือนหายไปนั้น…
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น เสียงของสตรีผู้หนึ่งที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและความกระวนกระวายใจ
"คุณหนู! คุณหนูอยู่ที่ไหนเจ้าคะ!?"
เสียงนั้น... ดังขึ้นมาอย่างเร่งร้อน ฝ่าลมหนาวและหิมะที่พัดกระหน่ำจนกระทั่ง
"คุณหนู!!"
เงาร่างของสตรีผู้หนึ่งปรากฏขึ้น หญิงสาววิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน และทันทีที่ดวงตาของนางจับจ้องไปยังร่างของทารกน้อยที่นอนแน่นิ่งอยู่กลางหิมะ นางก็รีบถลาเข้าไป โอบอุ้มร่างเล็กๆ นี้ไว้แนบอกทันที
ความอบอุ่นจากอ้อมแขนค่อยๆ แผ่ซ่านเข้าสู่ร่างกายที่เย็นเฉียบ
"ท่านพ่อ ท่านแม่ของท่านช่างใจร้ายกับท่านนัก!" หญิงสาวพึมพำ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเวทนาและโกรธแค้น "บ่าวรับใช้ผู้นี้จะดูแลท่านเอง…" แม้เสียงนั้นจะฟังดูสั่นเครือ แต่มันกลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
หลานเสวี่ยอิงที่กำลังจะจมลงสู่ห้วงนิทราสัมผัสได้ถึงอ้อมแขนที่โอบอุ้มตนไว้ มันแตกต่างจากความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านมาตลอดตั้งแต่ฟื้นคืนชีพ ร่างกายของทารกอ่อนแอเกินไป นางไม่อาจพูด ไม่อาจโต้ตอบ หรือแม้แต่จะเปิดเปลือกตาขึ้นมามองเห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นี้ได้แต่สิ่งที่นางรับรู้ได้คือความจริงใจของสตรีผู้นี้
แม้ว่านางจะเป็นเพียงสาวใช้ แม้สถานะของนางจะต่ำต้อยในตระกูลเซี่ย แต่นางกลับเลือกที่จะปกป้องทารกที่ถูกทอดทิ้ง แทนที่จะปล่อยให้นางจบชีวิตลงในค่ำคืนอันหนาวเหน็บนี้สายลมพัดกระหน่ำอีกครั้ง นำพาหิมะปลิวไสวไปทั่วผืนป่า
แต่ครานี้ ร่างของหลานเสวี่ยอิงไม่ต้องเผชิญกับมันเพียงลำพังอีกต่อไป
กลางพายุหิมะที่โหมกระหน่ำ ลมเย็นจัดพัดผ่านราวกับคมมีดกรีดลึกเข้าสู่ผิวกายสาวใช้ผู้นั้นโอบอุ้มร่างของทารกน้อยแนบอก แม้ว่าความหนาวเหน็บจะกัดกินร่างของนางจนสั่นสะท้าน แต่ดวงตาของนางยังคงแน่วแน่ มือที่แข็งเกร็งจากความเย็นยังคงกอดร่างเล็กๆ เอาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าหากปล่อยมือแม้เพียงเสี้ยววินาที สิ่งมีชีวิตในอ้อมแขนนี้จะสูญหายไปตลอดกาลหิมะตกหนักขึ้นทุกขณะ ร่างกายของสาวใช้สั่นสะท้าน ความหนาวเย็นแทรกซึมไปถึงขั้วจิตวิญญาณ
ทารกน้อยที่แนบอยู่กับอกของนางสามารถสัมผัสได้ถึงทุกสิ่ง
ความเจ็บปวดของนางความทุกข์ทรมานของนางความอดทนของนาง
แม้นางเป็นเพียงคนอ่อนแอ ไร้ซึ่งพลังปราณ ไร้ซึ่งความสามารถที่จะต่อสู้กับโชคชะตา แต่กลับเลือกที่จะปกป้องสิ่งมีชีวิตที่ไร้ทางสู้ ราวกับว่าเป็นหน้าที่ของนาง "สตรีนางนี้ ช่างโง่เขลายิ่งนัก"
แม้หลานเสวี่ยอิงจะไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำพูดออกมา แต่จิตวิญญาณของนางกำลังเย้ยหยัน
"เป็นเพียงผู้ไร้พลังปราณ แต่กลับคิดหาทางช่วยเหลือผู้อื่น นางไม่รู้เลยหรือว่าการกระทำเช่นนี้อาจนำภัยมาสู่ตัวเอง?"
ทว่ายิ่งคิดเช่นนั้น นางกลับสัมผัสได้ถึงสิ่งหนึ่งที่แตกต่างออกไปความอบอุ่นอันแปลกประหลาดเริ่มแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของทารกน้อย ความหนาวเย็นที่เคยปกคลุมจิตใจของนางจนมืดมิด บัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วยไออุ่นจากร่างของสาวใช้
แม้นางจะเคยครอบครองพลังปราณอันยิ่งใหญ่ แม้นางจะเคยบรรลุศาสตร์เยือกแข็งขั้นสูงสุด แต่ในชีวิตที่แล้ว ไม่มีสักครั้งที่นางจะได้รับสัมผัสเช่นนี้ ไม่รู้ว่าทำไม... แม้จะรู้ว่าสตรีผู้นี้ไร้ซึ่งพลัง ไม่ได้แข็งแกร่ง ไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่นางกลับ กล้าท้าทายชะตากรรมเพื่อปกป้องชีวิตที่ไร้ค่าในสายตาของตระกูลเซี่ย
"โง่เง่าจริงๆ..."
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ปลายนิ้วของทารกน้อยกลับขยับเล็กน้อย สัมผัสพลังปราณอันบอบบางในร่างของตน แม้มันจะเลือนรางแทบไม่มีเหลือ แต่นางยังคงรีดเค้นมันออกมา แล้วส่งผ่านไปยังร่างของสาวใช้
เป็นเพียงพลังอันน้อยนิด มิได้แข็งแกร่งดั่งเคย มิอาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตาใดๆแต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกลับชัดเจนไอเย็นที่กัดกินร่างของสาวใช้ เริ่มอ่อนลงนางสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ค่อยๆ แทรกผ่านร่างกาย ปลุกความแข็งแกร่งให้ฝืนเดินต่อไปได้ แม้จะอยู่ท่ามกลางพายุหิมะอันโหดร้ายสาวใช้ไม่รอช้า รีบกอดร่างทารกน้อยไว้แน่น ย่ำเท้าไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง
"อดทนไว้เจ้าค่ะคุณหนู... อดทนไว้นะเจ้าคะ!" นางกัดฟันแน่น รีบเร่งฝีเท้าก้าวไปข้างหน้าเพื่อพานายหญิงตัวน้อยของนางออกไปจากสถานที่อันโหดร้ายนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!
ในช่วงเวลาที่ ไป๋เสวี่ยหรง พำนักอยู่ในสำนักหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็ง นางมิได้เพียงมาเพื่อพักผ่อนหรือชำระความแค้นเท่านั้น แต่ยังถือโอกาสรังสรรค์สิ่งล้ำค่าไว้ให้สำนักแห่งนี้ตำราทักษะวิชาเยือกแข็งเล่มใหม่ที่นางบรรจงเขียนด้วยมือของนางเองทักษะที่ถูกจารึกลงในตำรานั้นมีความลึกซึ้งอย่างหาใดเปรียบได้ มันมิใช่เพียงศาสตร์แห่งการต่อสู้ แต่ยังเป็นผลรวมของประสบการณ์ ความเจ็บปวด และสัจธรรมที่นางสะสมมาตลอด ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าสำนักคนก่อนอย่าง ฉินเยว่หาน มิอาจเทียบชั้นได้แม้เพียงเศษเสี้ยว"สำหรับสำนักหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็งแห่งนี้ ข้าจะเป็นผู้วางรากฐาน... แต่ปล่อยให้มันเติบโตด้วยพลังของพวกเจ้าเอง" ไป๋เสวี่ยหรงกล่าวอย่างแผ่วเบา ขณะส่งมอบตำราให้กับ จิ่วเยว่ซิน ศิษย์ผู้ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด"จิ่วเยว่ซิน... ต่อไปนี้เจ้าจงดูแลสำนักของข้าให้ดี" น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่งในโลกแห่งยุทธ์"ท่านอาจารย์... ตัวท่านจะไปแล้วจริงๆ เหรอ" หญิงสาวเอ่ยถามด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยอาลัย แม้เวลาที่รู้จักกันจะไม่นาน แต่ไป๋เสวี่ยหรงคือผู้เปลี่ยนชะตาชีวิตของนาง จากหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความสับสน สู่ผู้ครอบครอง
ใต้ท้องฟ้าสีเทาเงิน ผืนหิมะที่ปกคลุมผาแห่งการสิ้นสุดยังคงหล่นโปรยราวกับร่วมไว้อาลัยให้กับจุดจบของตำนานหนึ่ง... และมิตรภาพที่ไม่มีวันหวนกลับไป๋เสวี่ยหรงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางเศษน้ำแข็งที่ยังคงล่องลอย ร่างบางของนางไม่ขยับเขยื้อน ราวกับกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งอีกหนึ่งชิ้นในสถานที่แห่งนี้ สายตาที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้าช่างว่างเปล่า แต่ภายในเบื้องลึกของแววตานั้นคือกระแสความรู้สึกมากมายที่ถาโถมย้อนกลับมาทุกเสียงหัวเราะ ทุกหยาดน้ำตา ทุกคำสัตย์ที่เคยให้กันในวัยเยาว์"ข้าไม่อยากให้เรื่องของเรามันจบลงเช่นนี้เลย... เพื่อนรักของข้า"เสียงของนางเบาราวสายลม ละมุนราวบทกลอนส่งท้าย ดั่งคำอำลาที่ไม่มีผู้รับฟังแม้ศัตรูจะสิ้นสูญ แม้การล้างแค้นจะสัมฤทธิ์ แต่นางไม่ได้รู้สึกถึงชัยชนะ หากมีเพียงความว่างเปล่าอันแหลมคมทิ่มแทงอยู่ในอกลึก เพียงลมหายใจเดียวต่อมา ไป๋เสวี่ยหรงก็ปิดเปลือกตาลงอย่างแผ่วเบา เสี้ยวความทรงจำของฉินเยว่หานในหัวใจของนางค่อย ๆ เลือนลางลง ราวกับว่าไม่เคยมีสตรีนางนั้นอยู่บนโลกใบนี้มาก่อน ไม่เคยมีเสียงหัวเราะร่วมกัน ไม่เคยมีมือที่เคยจับไว้ในยามทุกข์เมื่อดวงตางามคู่นั้นลืมขึ้นอีกครั้ง ก็ไม่มีแม้แต่เ
ในยามนี้ ทั่วทั้งสำนักเงียบงันราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน...เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็ง ต่างยืนตัวแข็งทื่อลมหายใจสะดุด ใบหน้าซีดเผือด มือไม้เย็นเฉียบไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า...มันเหนือความเข้าใจและเกินกว่าจินตนาการ นางเซียนเยือกแข็งเจ้าสำนักผู้เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งสวรรค์ของพวกเขาบัดนี้กลับมีผู้กล้าสตรีนิรนามผู้มีใบหน้าอ่อนวัย ยืนหยัดต่อกรกับนางอย่างไม่หวั่นไหวและไม่ใช่แค่ท้าทาย... แต่กลับสามารถต้านรับแรงกดดันของเจ้าสำนักได้อย่างไม่ขาดตก"นางผู้นั้นเป็นใคร?""เหตุใดพลังของนางถึง...ไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้?"เสียงกระซิบของเหล่าศิษย์เริ่มดังขึ้นประปรายด้วยความตื่นตระหนกแม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงบางคนก็เริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นกลางหน้าผาก ทั้งที่อากาศยังเย็นยะเยือกรัศมีพลังเยือกแข็งของหญิงสาวปริศนาแผ่กระจายออกไปอย่างมั่นคงเยียบเย็น... ลึกซึ้ง... แน่นิ่งดั่งมหาสมุทรใต้ธารน้ำแข็งหากพลังของฉินเยว่หานคือห่าหิมะที่โหมกระหน่ำพลังของหญิงสาวผู้นั้น...กลับคล้ายหิมะที่หลับใหลมานับพันปี รอเพียงปริบตาเดียวก็พร้อมแช่แข็งโลกทั้งใบศิษย์ตาต่ำพวกเขามองไ
ภายใต้ใบหน้าอันงดงามดุจนางเซียนของฉินเยว่หาน ซึ่งมักจะสงบนิ่งไม่ไหวติงต่อสิ่งใด ในยามนี้กลับฉายแววตื่นตะลึงอย่างปิดไม่มิดไม่ใช่เพราะพลังอันมหาศาลของหญิงสาวเบื้องหน้า แต่เป็นเพราะคลื่นพลังนั้นช่างคุ้นเคย… คุ้นจนเกินจะหลอกตัวเองได้"เป็นไปไม่ได้... มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?"นางพึมพำซ้ำไปมา ราวกับพยายามสลัดความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าให้หลุดออกจากจิตใจ หญิงสาวปริศนา ผู้มีใบหน้าเยาว์วัยราวเด็กสาวเพิ่งแตกเนื้อสาวกลับยืนประจันหน้ากับนางอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาคู่นั้นคมดั่งกระบี่น้ำแข็ง จ้องลึกเข้ามาในหัวใจของผู้เคยเป็นเพื่อนรัก"เป็นอย่างไรบ้าง ฉินเยว่หาน... เจ้าดูแก่ขึ้นมากเลยนะ"เสียงหวานนุ่มดังขึ้นราวกับสายลม คำทักทายธรรมดา กลับกลายเป็นคมมีดกรีดลงกลางใจของฉินเยว่หานอย่างแผ่วเบาแต่รุนแรง ใบหน้าเยือกเย็นของนางเริ่มสั่นไหว มือขาวกำแน่นจนเล็บจิกฝ่ามือคลื่นพลังลมปราณที่แผ่ออกมา ไม่ผิดแน่…เป็นพลังของ หลานเสวี่ยอิง ผู้ที่นางเคยคิดว่าได้ส่งลงนรกไปแล้วด้วยมือของตนเองสองเท้าที่เคยมั่นคงของฉินเยว่หาน บัดนี้กลับเหมือนเหยียบอยู่บนผืนหิมะบางที่พร้อมจะถล่มลงทุกเมื่อสายตาของนางจ้องลึกเข้าไปในดวงหน้าของหญิง
ทุกท่วงท่า ทุกการเคลื่อนไหวของจิ่วเยว่ซินล้วนแล้วเฉียบคมไร้ปรานี พลังลมปราณที่แผ่ออกมาแต่ละระลอกนั้นแฝงไว้ด้วยเจตนาแห่งการสังหารอย่างชัดเจน การโจมตีทุกครั้งมิใช่เพียงเพื่อทดสอบฝีมือ หากแต่เป็นการประลองเพื่อปลิดชีพโดยแท้ หากฉินเยว่หานพลั้งเผลอแม้เพียงครึ่งก้าว ก็อาจต้องสูญสิ้นชีวิตยิ่งเวลาผ่านไป รูม่านตาของฉินเยว่หานก็ค่อย ๆ ขยายกว้างขึ้น แววตาที่เคยสงบนิ่งเริ่มสะท้อนแววหวั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ การเคลื่อนไหวของจิ่วเยว่ซินเริ่มทับซ้อนกับภาพจำบางอย่างในอดีต ภาพของสตรีผู้หนึ่ง... สตรีที่นางพยายามลบเลือนจากห้วงความคิดมานานหลายสิบปีหลานเสวี่ยอิงนามนั้นแม้จะถูกกลบฝังในก้นบึ้งของสำนึก แต่มันก็ผุดขึ้นมาราวกับต้องมนต์สะกด ไม่มีสิ่งใดสามารถปิดบังความรู้สึกคุ้นเคยนี้ได้อีกต่อไปแต่ก่อนที่ฉินเยว่หานจะถลำลึกไปในห้วงคิด ทักษะของจิ่วเยว่ซินก็พลันจู่โจมเข้ามาอีกระลอก ความคุ้นชินในเคล็ดวิชาเยือกแข็งที่นางเคยสอนกลับถูกแก้ทางอย่างแนบเนียนทีละชั้น ทักษะที่นางเคยภาคภูมิใจกำลังถูกลบล้างด้วยปลายนิ้วของศิษย์สาวผู้เป็นความภาคภูมิใจของนางเอง“นี่ข้า... กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยศิษย์ของตนเองอย่างนั้นหรือ?”
ใต้แสงสลัวของตำหนักน้ำแข็ง ดวงตาของจิ่วเยว่ซินฉายแววอ่อนโยนเช่นเคย รอยยิ้มยังคงงดงาม ทว่าภายในนั้นคือความเยียบเย็นที่แม้หิมะพันปียังมิอาจเทียบเคียงได้ นางยืนอยู่เบื้องหน้าอาจารย์ผู้เลี้ยงดูและหล่อหลอมตนมาแต่เล็กผู้หญิงที่นางเคยบูชาเทียบเท่าฟ้าดิน และในเวลาเดียวกันคือผู้ที่ล้างผลาญครอบครัวของนางทั้งตระกูลนางรู้ดีว่าภาพลักษณ์ภายนอกที่แสดงออกจะต้องไร้ที่ติทุกกระเบียดนิ้ว เพราะสายตาของฉินเยว่หานนั้นแหลมคมเกินกว่าที่ใครจะตบตาได้โดยง่าย แม้จะอ่อนโยนแต่ก็ซ่อนพิษลึก ราวกับกลีบเหมยบนผืนน้ำแข็ง หากเพียงเผลอสัมผัสอาจถูกหนาวสะท้านถึงวิญญาณ"จิ่วเยว่ซิน ข้ารู้สึกชอบแววตาของเจ้าในตอนนี้ยิ่งนัก"เสียงของฉินเยว่หานดังขึ้น เงียบงัน ทว่าเจือด้วยความพึงพอใจความพึงพอใจของผู้ที่คิดว่าตนสามารถหล่อหลอมชีวิตผู้อื่นตามอำเภอใจได้เสมอคำชมที่เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นนั้น กลับเป็นเหมือนมีดที่กรีดลงกลางหัวใจของจิ่วเยว่ซิน ช่างน่าขันยิ่งนัก… แม้แต่แววตาที่ผ่านความเกลียดชังและการทรยศมาแล้ว ยังถูกหล่อนชมด้วยรอยยิ้มหญิงสาวสูดลมหายใจแผ่วเบา ก่อนกล่าวเสียงนุ่ม"เจ้าค่ะอาจารย์"คำพูดของนางยังคงสุภาพและสงบ ราวกับไม่มีอะไรเ







