ログイン
กลางผืนหิมะอันหนาวเหน็บ ดวงจันทร์ทอแสงสีเงินจางลงท่ามกลางม่านเมฆ เสียงลมพัดกระหน่ำราวกับกำลังร่ำไห้ให้กับชะตากรรมของสตรีผู้หนึ่ง หลานเสวี่ยอิง และ ฉินเยว่หาน สองอัจฉริยะที่ทั่วทั้งยุทธภพกล่าวขาน ในวัยเพียงยี่สิบปี พวกนางได้ก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ผู้ครอบครอง พลังเยือกแข็งระดับสูงสุด สิ่งที่คนทั้งโลกใฝ่ฝันหา ทว่าสิ่งที่ผู้คนชื่นชม...กลับเป็นเพียงหนึ่งเดียว หลานเสวี่ยอิง
พรสวรรค์ของนางเจิดจรัสยิ่งกว่าหิมะที่สะท้อนแสงจันทร์ สวรรค์ดูเหมือนจะลำเอียง มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้นาง ทั้งพลัง ทั้งความงดงามที่ยากจะหาใครเทียบ ฉินเยว่หานเคยคิดว่านางคือพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน คือเพื่อนรักที่ไม่มีวันหักหลังกันได้
แต่ในใจมนุษย์... ความอิจฉาริษยา ไม่เคยมีขีดจำกัด นับวันช่องว่างระหว่างพวกนางยิ่งกว้างขึ้น ไม่ว่าฉินเยว่หานจะพยายามมากเพียงใด ก็มิอาจไล่ตามเงาของหลานเสวี่ยอิงทัน สายตาของผู้คนไม่เคยหยุดที่นาง มีแต่หลานเสวี่ยอิงที่เป็นประกายระยิบระยับเหนือฟากฟ้า
จากความรักเริ่มเปลี่ยนเป็นความริษยาจากความริษยาเริ่มกลายเป็นความแค้น
จนกระทั่ง ค่ำคืนแห่งการทรยศมาถึง
บนโต๊ะไม้โบราณมีเพียงน้ำชาอุ่นๆ หนึ่งถ้วย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรลอยคลุ้งในอากาศ หลานเสวี่ยอิงรับมันไปโดยไม่คิดอะไร นางไม่เคยต้องระแวงต่อฉินเยว่หาน เพราะ คนผู้นี้คือสหายที่นางเชื่อใจที่สุด
แต่ทันทีที่ของเหลวสีอำพันแตะลิ้น ความผิดปกติก็โจมตีร่างกายนางทันที!
"อึก...!"
ร่างของเซี่ยซูหรงกระตุกอย่างรุนแรง ความเย็นเฉียบที่ควรจะเป็นพลังของนางกลับแปรเปลี่ยนเป็นมีดคมกริบกรีดแทงจากภายใน พลังปราณปั่นป่วนเหมือนถูกฉีกกระชาก นางทรุดลงกับพื้น หอบหายใจหนัก ดวงตาสั่นไหว
"พิษ..."
แม้พลังของนางจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่พิษนี้นางสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่สิ่งธรรมดา นี่คือ พิษร้ายที่รุนแรงที่สุดในโลก ไร้ซึ่งหนทางเยียวยา ไร้โอกาสรอดชีวิต! หลานเสวี่ยอิงฝืนเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่นางเคยเรียกว่า ‘เพื่อนรัก’
ฉินเยว่หานยืนอยู่ตรงนั้นมองนางล้มลงด้วยสายตาเย็นชา นาง... มิได้สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
"ทำไม..." น้ำเสียงของหลานเสวี่ยอิงแผ่วเบา นางเจ็บปวดทั้งร่างกายและหัวใจ "ทำไมเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้?"
ฉินเยว่หานเพียงแค่แสยะยิ้ม ดวงตานางเต็มไปด้วยประกายแห่งความสะใจ
"หากจะโทษ ก็จงโทษตัวเจ้าเองที่มีพรสวรรค์มากเกินไป ข้าอดทนมานานแล้ว!"
คำพูดของฉินเยว่หานดังชัดเจนในคืนอันหนาวเหน็บ นางมองหลานเสวี่ยอิงอย่างเย็นชา ไม่เหลือร่องรอยของความรักหรือความผูกพันใดๆ ที่เคยมีต่อกัน "จงตายไปซะ เพื่อเพื่อนรักของเจ้า"
หลานเสวี่ยอิงมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น ภาพที่ปรากฏต่อหน้านางคือใบหน้าของสตรีผู้เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมา บัดนี้กลับเต็มไปด้วย ความเหยียดหยาม
"เจ้า..." นางกัดฟันแน่น พลังปราณของนางเริ่มอ่อนแรง หิมะที่เคยเป็นสิ่งที่นางควบคุมได้ บัดนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ดูดกลืนความอบอุ่นสุดท้ายไปจากร่างกาย แต่ถึงกระนั้น... เปลวเพลิงแห่งความแค้นกลับลุกโชนขึ้นในใจของนาง
"หากข้ามีชีวิตรอดกลับมา... ข้าจะต้องล้างแค้นกับเจ้าให้จงได้!"
ฉินเยว่หานหัวเราะเสียงเย้ยหยัน
"เจ้าสิ้นท่าแล้ว ยังคิดว่าตัวเองจะรอดได้อีกหรือ?" นางก้าวเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงข้างร่างของหลานเสวี่ยอิง พลางเอื้อมมือเชยคางของนางขึ้นอย่างดูถูก "ช่างน่าสมเพชเสียจริง..."
สายตานั้น... มันคือสายตาของผู้ชนะ!
ร่างของหลานเสวี่ยอิงสั่นสะท้าน ความหนาวเย็นกัดกินร่างกายและจิตวิญญาณ ภาพเบื้องหน้าของนางเริ่มพร่ามัว เสียงหัวเราะของฉินเยว่หานค่อยๆ ห่างไกลออกไป
แสงสุดท้ายดับลง...
เหลือเพียง ความมืดมิดและคำสัตย์แห่งความแค้น!
ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่า หลานเสวี่ยอิง จมดิ่งสู่ความมืดมิดไปนานเท่าใด… ไร้ซึ่งกาลเวลา ไร้ซึ่งเสียงใดๆมีเพียงความหนาวเย็นที่เกาะกุมดวงจิต
ภาพสุดท้ายที่นางจำได้คือร่างของตนเองทรุดลงกับพื้น หิมะเปื้อนเลือด ศัตรูผู้เป็น ‘เพื่อนรัก’ แสยะยิ้มเย้ยหยัน มองดูนางตายอย่างช้าๆ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของฉินเยว่หานยังคงก้องสะท้อนอยู่ในหัวของนาง...
ความทรยศความเจ็บปวดความแค้น!
"ข้ายังไม่ตาย!"
เฮือก!
หลานเสวี่ยอิงเบิกตาขึ้น สติของนางกลับคืนมาอย่างรุนแรง
แต่สิ่งที่นางรับรู้ได้กลับมิใช่ร่างของยอดฝีมือที่ควบคุมพลังเยือกแข็งแห่งยุทธภพอีกต่อไป ทั่วร่างของนางช่างอ่อนแอ บอบบาง และ…เล็กจนน่าขัน นาง… กลายเป็นทารกน้อย!
เกล็ดหิมะโปรยปรายจากท้องฟ้าเบื้องบน ลมหิมะพัดกระหน่ำราวกับจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง เสียงหวีดหวิวของลมหนาวแทรกซึมเข้าถึงกระดูก ข้างกายของนางเต็มไปด้วยกองหิมะหนาทึบ และไม่มีแม้กระทั่งผ้าห่มมาปกป้องร่างกายที่บอบบาง
เด็กทารกน้อยที่ควรจะไร้เดียงสา กลับจ้องมองไปรอบๆ อย่างสงบนิ่ง
แม้นางไม่อาจขยับร่างกายไปไหนได้ แต่จิตใจของนางนั้นยังคงเยือกเย็นและเฉียบคมดังเดิม
"ข้าฟื้นคืนมาแล้วหรือ? นี่คือร่างของผู้ใด?" ไม่นานนัก ความทรงจำก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามา
ทารกที่นางสถิตอยู่… คือลูกสาวของตระกูลเซี่ย ตระกูลใหญ่ที่กุมอำนาจเหนือดินแดนแห่งนี้ แต่กลับถูกทอดทิ้ง ถูกปล่อยให้นอนตายกลางหิมะ! เพียงเพราะเด็กคนนี้ ไร้พรสวรรค์ในการฝึกปราณ
บิดาของนาง ตระกูลของนาง ผู้ที่ควรจะรักและปกป้องกลับเลือกที่จะ ลบตัวตนของเด็กคนนี้ออกไป ตั้งแต่แรกเกิด ทิ้งให้นางสิ้นลมอยู่กลางหิมะ หาใช่เพราะรักหรือเวทนา แต่เพราะกลัวว่าชื่อเสียงของตระกูลจะเสื่อมเสีย!
ช่างน่าขัน!
หลานเสวี่ยอิง ที่เคยถูกสหายรักทรยศ ถูกหักหลัง ถูกปลิดชีวิตอย่างไร้ศักดิ์ศรีบัดนี้กลับมาอยู่ในร่างของเด็กน้อยผู้ถูกทอดทิ้งและไม่มีใครต้องการ!
แต่…
“หากฟ้ากล้าให้ข้ากลับมา เช่นนั้นข้าจะเหยียบย่ำชะตากรรมของข้าเอง!”
แม้ในร่างนี้จะไร้พลังปราณ แม้จะเป็นเพียงเด็กน้อยที่ไร้เรี่ยวแรง แต่ จิตวิญญาณของข้า คือจอมราชันแห่งเหมันต์!
สายตาทารกน้อยสะท้อนประกายเย็นยะเยือก ริมฝีปากเล็กเผยรอยยิ้มบางเบา นางจับจ้องไปยังท้องฟ้ายามราตรี
หลานเสวี่ยอิง… ได้กลับมาแล้ว!
และครานี้ สวรรค์จะมิอาจลิขิตข้าได้อีกต่อไป!
ในช่วงเวลาที่ ไป๋เสวี่ยหรง พำนักอยู่ในสำนักหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็ง นางมิได้เพียงมาเพื่อพักผ่อนหรือชำระความแค้นเท่านั้น แต่ยังถือโอกาสรังสรรค์สิ่งล้ำค่าไว้ให้สำนักแห่งนี้ตำราทักษะวิชาเยือกแข็งเล่มใหม่ที่นางบรรจงเขียนด้วยมือของนางเองทักษะที่ถูกจารึกลงในตำรานั้นมีความลึกซึ้งอย่างหาใดเปรียบได้ มันมิใช่เพียงศาสตร์แห่งการต่อสู้ แต่ยังเป็นผลรวมของประสบการณ์ ความเจ็บปวด และสัจธรรมที่นางสะสมมาตลอด ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าสำนักคนก่อนอย่าง ฉินเยว่หาน มิอาจเทียบชั้นได้แม้เพียงเศษเสี้ยว"สำหรับสำนักหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็งแห่งนี้ ข้าจะเป็นผู้วางรากฐาน... แต่ปล่อยให้มันเติบโตด้วยพลังของพวกเจ้าเอง" ไป๋เสวี่ยหรงกล่าวอย่างแผ่วเบา ขณะส่งมอบตำราให้กับ จิ่วเยว่ซิน ศิษย์ผู้ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด"จิ่วเยว่ซิน... ต่อไปนี้เจ้าจงดูแลสำนักของข้าให้ดี" น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่งในโลกแห่งยุทธ์"ท่านอาจารย์... ตัวท่านจะไปแล้วจริงๆ เหรอ" หญิงสาวเอ่ยถามด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยอาลัย แม้เวลาที่รู้จักกันจะไม่นาน แต่ไป๋เสวี่ยหรงคือผู้เปลี่ยนชะตาชีวิตของนาง จากหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความสับสน สู่ผู้ครอบครอง
ใต้ท้องฟ้าสีเทาเงิน ผืนหิมะที่ปกคลุมผาแห่งการสิ้นสุดยังคงหล่นโปรยราวกับร่วมไว้อาลัยให้กับจุดจบของตำนานหนึ่ง... และมิตรภาพที่ไม่มีวันหวนกลับไป๋เสวี่ยหรงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางเศษน้ำแข็งที่ยังคงล่องลอย ร่างบางของนางไม่ขยับเขยื้อน ราวกับกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งอีกหนึ่งชิ้นในสถานที่แห่งนี้ สายตาที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้าช่างว่างเปล่า แต่ภายในเบื้องลึกของแววตานั้นคือกระแสความรู้สึกมากมายที่ถาโถมย้อนกลับมาทุกเสียงหัวเราะ ทุกหยาดน้ำตา ทุกคำสัตย์ที่เคยให้กันในวัยเยาว์"ข้าไม่อยากให้เรื่องของเรามันจบลงเช่นนี้เลย... เพื่อนรักของข้า"เสียงของนางเบาราวสายลม ละมุนราวบทกลอนส่งท้าย ดั่งคำอำลาที่ไม่มีผู้รับฟังแม้ศัตรูจะสิ้นสูญ แม้การล้างแค้นจะสัมฤทธิ์ แต่นางไม่ได้รู้สึกถึงชัยชนะ หากมีเพียงความว่างเปล่าอันแหลมคมทิ่มแทงอยู่ในอกลึก เพียงลมหายใจเดียวต่อมา ไป๋เสวี่ยหรงก็ปิดเปลือกตาลงอย่างแผ่วเบา เสี้ยวความทรงจำของฉินเยว่หานในหัวใจของนางค่อย ๆ เลือนลางลง ราวกับว่าไม่เคยมีสตรีนางนั้นอยู่บนโลกใบนี้มาก่อน ไม่เคยมีเสียงหัวเราะร่วมกัน ไม่เคยมีมือที่เคยจับไว้ในยามทุกข์เมื่อดวงตางามคู่นั้นลืมขึ้นอีกครั้ง ก็ไม่มีแม้แต่เ
ในยามนี้ ทั่วทั้งสำนักเงียบงันราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน...เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็ง ต่างยืนตัวแข็งทื่อลมหายใจสะดุด ใบหน้าซีดเผือด มือไม้เย็นเฉียบไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า...มันเหนือความเข้าใจและเกินกว่าจินตนาการ นางเซียนเยือกแข็งเจ้าสำนักผู้เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งสวรรค์ของพวกเขาบัดนี้กลับมีผู้กล้าสตรีนิรนามผู้มีใบหน้าอ่อนวัย ยืนหยัดต่อกรกับนางอย่างไม่หวั่นไหวและไม่ใช่แค่ท้าทาย... แต่กลับสามารถต้านรับแรงกดดันของเจ้าสำนักได้อย่างไม่ขาดตก"นางผู้นั้นเป็นใคร?""เหตุใดพลังของนางถึง...ไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้?"เสียงกระซิบของเหล่าศิษย์เริ่มดังขึ้นประปรายด้วยความตื่นตระหนกแม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงบางคนก็เริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นกลางหน้าผาก ทั้งที่อากาศยังเย็นยะเยือกรัศมีพลังเยือกแข็งของหญิงสาวปริศนาแผ่กระจายออกไปอย่างมั่นคงเยียบเย็น... ลึกซึ้ง... แน่นิ่งดั่งมหาสมุทรใต้ธารน้ำแข็งหากพลังของฉินเยว่หานคือห่าหิมะที่โหมกระหน่ำพลังของหญิงสาวผู้นั้น...กลับคล้ายหิมะที่หลับใหลมานับพันปี รอเพียงปริบตาเดียวก็พร้อมแช่แข็งโลกทั้งใบศิษย์ตาต่ำพวกเขามองไ
ภายใต้ใบหน้าอันงดงามดุจนางเซียนของฉินเยว่หาน ซึ่งมักจะสงบนิ่งไม่ไหวติงต่อสิ่งใด ในยามนี้กลับฉายแววตื่นตะลึงอย่างปิดไม่มิดไม่ใช่เพราะพลังอันมหาศาลของหญิงสาวเบื้องหน้า แต่เป็นเพราะคลื่นพลังนั้นช่างคุ้นเคย… คุ้นจนเกินจะหลอกตัวเองได้"เป็นไปไม่ได้... มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?"นางพึมพำซ้ำไปมา ราวกับพยายามสลัดความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าให้หลุดออกจากจิตใจ หญิงสาวปริศนา ผู้มีใบหน้าเยาว์วัยราวเด็กสาวเพิ่งแตกเนื้อสาวกลับยืนประจันหน้ากับนางอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาคู่นั้นคมดั่งกระบี่น้ำแข็ง จ้องลึกเข้ามาในหัวใจของผู้เคยเป็นเพื่อนรัก"เป็นอย่างไรบ้าง ฉินเยว่หาน... เจ้าดูแก่ขึ้นมากเลยนะ"เสียงหวานนุ่มดังขึ้นราวกับสายลม คำทักทายธรรมดา กลับกลายเป็นคมมีดกรีดลงกลางใจของฉินเยว่หานอย่างแผ่วเบาแต่รุนแรง ใบหน้าเยือกเย็นของนางเริ่มสั่นไหว มือขาวกำแน่นจนเล็บจิกฝ่ามือคลื่นพลังลมปราณที่แผ่ออกมา ไม่ผิดแน่…เป็นพลังของ หลานเสวี่ยอิง ผู้ที่นางเคยคิดว่าได้ส่งลงนรกไปแล้วด้วยมือของตนเองสองเท้าที่เคยมั่นคงของฉินเยว่หาน บัดนี้กลับเหมือนเหยียบอยู่บนผืนหิมะบางที่พร้อมจะถล่มลงทุกเมื่อสายตาของนางจ้องลึกเข้าไปในดวงหน้าของหญิง
ทุกท่วงท่า ทุกการเคลื่อนไหวของจิ่วเยว่ซินล้วนแล้วเฉียบคมไร้ปรานี พลังลมปราณที่แผ่ออกมาแต่ละระลอกนั้นแฝงไว้ด้วยเจตนาแห่งการสังหารอย่างชัดเจน การโจมตีทุกครั้งมิใช่เพียงเพื่อทดสอบฝีมือ หากแต่เป็นการประลองเพื่อปลิดชีพโดยแท้ หากฉินเยว่หานพลั้งเผลอแม้เพียงครึ่งก้าว ก็อาจต้องสูญสิ้นชีวิตยิ่งเวลาผ่านไป รูม่านตาของฉินเยว่หานก็ค่อย ๆ ขยายกว้างขึ้น แววตาที่เคยสงบนิ่งเริ่มสะท้อนแววหวั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ การเคลื่อนไหวของจิ่วเยว่ซินเริ่มทับซ้อนกับภาพจำบางอย่างในอดีต ภาพของสตรีผู้หนึ่ง... สตรีที่นางพยายามลบเลือนจากห้วงความคิดมานานหลายสิบปีหลานเสวี่ยอิงนามนั้นแม้จะถูกกลบฝังในก้นบึ้งของสำนึก แต่มันก็ผุดขึ้นมาราวกับต้องมนต์สะกด ไม่มีสิ่งใดสามารถปิดบังความรู้สึกคุ้นเคยนี้ได้อีกต่อไปแต่ก่อนที่ฉินเยว่หานจะถลำลึกไปในห้วงคิด ทักษะของจิ่วเยว่ซินก็พลันจู่โจมเข้ามาอีกระลอก ความคุ้นชินในเคล็ดวิชาเยือกแข็งที่นางเคยสอนกลับถูกแก้ทางอย่างแนบเนียนทีละชั้น ทักษะที่นางเคยภาคภูมิใจกำลังถูกลบล้างด้วยปลายนิ้วของศิษย์สาวผู้เป็นความภาคภูมิใจของนางเอง“นี่ข้า... กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยศิษย์ของตนเองอย่างนั้นหรือ?”
ใต้แสงสลัวของตำหนักน้ำแข็ง ดวงตาของจิ่วเยว่ซินฉายแววอ่อนโยนเช่นเคย รอยยิ้มยังคงงดงาม ทว่าภายในนั้นคือความเยียบเย็นที่แม้หิมะพันปียังมิอาจเทียบเคียงได้ นางยืนอยู่เบื้องหน้าอาจารย์ผู้เลี้ยงดูและหล่อหลอมตนมาแต่เล็กผู้หญิงที่นางเคยบูชาเทียบเท่าฟ้าดิน และในเวลาเดียวกันคือผู้ที่ล้างผลาญครอบครัวของนางทั้งตระกูลนางรู้ดีว่าภาพลักษณ์ภายนอกที่แสดงออกจะต้องไร้ที่ติทุกกระเบียดนิ้ว เพราะสายตาของฉินเยว่หานนั้นแหลมคมเกินกว่าที่ใครจะตบตาได้โดยง่าย แม้จะอ่อนโยนแต่ก็ซ่อนพิษลึก ราวกับกลีบเหมยบนผืนน้ำแข็ง หากเพียงเผลอสัมผัสอาจถูกหนาวสะท้านถึงวิญญาณ"จิ่วเยว่ซิน ข้ารู้สึกชอบแววตาของเจ้าในตอนนี้ยิ่งนัก"เสียงของฉินเยว่หานดังขึ้น เงียบงัน ทว่าเจือด้วยความพึงพอใจความพึงพอใจของผู้ที่คิดว่าตนสามารถหล่อหลอมชีวิตผู้อื่นตามอำเภอใจได้เสมอคำชมที่เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นนั้น กลับเป็นเหมือนมีดที่กรีดลงกลางหัวใจของจิ่วเยว่ซิน ช่างน่าขันยิ่งนัก… แม้แต่แววตาที่ผ่านความเกลียดชังและการทรยศมาแล้ว ยังถูกหล่อนชมด้วยรอยยิ้มหญิงสาวสูดลมหายใจแผ่วเบา ก่อนกล่าวเสียงนุ่ม"เจ้าค่ะอาจารย์"คำพูดของนางยังคงสุภาพและสงบ ราวกับไม่มีอะไรเ







