ログインในค่ำคืนที่หนาวเหน็บ ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายไม่ขาดสาย สาวใช้ผู้หนึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้เก่าแก่ กอดร่างเล็กของทารกน้อยไว้แนบอก ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ไป๋จิงซู หญิงสาวจากหมู่บ้านห่างไกล ความฝันเดียวของนางคือการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง นางออกจากบ้านเกิดมาทำงานรับใช้ตระกูลเซี่ย หวังจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
แต่แล้ว... โชคชะตากลับพานางมาพบกับ เด็กทารกผู้ถูกทอดทิ้ง
แม้นางเป็นเพียงสาวใช้ที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียง แม้ฐานะของนางจะต่ำต้อยเพียงใด แต่นางกลับไม่อาจละสายตาไปจากเด็กคนนี้ได้ เด็กที่ควรจะเป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ แต่กลับถูกทอดทิ้งให้นอนตายกลางหิมะหากตระกูลเซี่ยมิปรารถนานาง เช่นนั้นนางจะกลายเป็นบุตรของข้าเอง!
หญิงสาวก้มลงมองใบหน้าของเด็กน้อยในอ้อมแขน นางลูบศีรษะเล็กๆ นั้นด้วยสัมผัสอ่อนโยน น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความรักและความตั้งใจ
"คุณหนู... ต่อไปนี้ คุณหนูมีชื่อว่า ‘ไป๋เสวี่ยหรง’ นะเจ้าค่ะ เพื่อความปลอดภัยของคุณหนู" ทารกน้อยลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นเป็นสีดำสนิท ส่องประกายเย็นเยียบคล้ายหิมะพันปี นางจ้องมองไป๋จิงซูที่ยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน
"ไป๋เสวี่ยหรง อย่างนั้นรึ?" นางกระพริบตาเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
"เป็นชื่อที่ใช้ได้… ไม่เลว" ไป๋จิงซูมองทารกน้อยที่พยักหน้า นางหัวเราะเบาๆ พลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ราวกับจะปกป้องเด็กน้อยผู้นี้จากโลกอันโหดร้ายตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป นางจะเป็นมารดาของเด็กคนนี้
ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปเด็กทารกที่ถูกทอดทิ้ง... จะถือกำเนิดขึ้นใหม่ ในนามของ ไป๋เสวี่ยหรง
หลังจากการเดินทางอันยาวนานหลายวัน ท่ามกลางลมหนาวที่ยังคงพัดผ่าน ไป๋จิงซู ก็อุ้มร่างของทารกน้อยเข้าสู่ หมู่บ้านจิ่วอัน สถานที่ที่เป็นบ้านเกิดของนาง
หมู่บ้านจิ่วอัน ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา ถูกล้อมรอบด้วยธรรมชาติอันเงียบสงบ ป่าไม้อันเขียวขจีทอดตัวล้อมรอบหมู่บ้านราวกับเป็นเกราะป้องกันจากโลกภายนอก ลำธารสายเล็กๆ ไหลผ่านหมู่บ้าน ให้เสียงน้ำไหลเป็นท่วงทำนองที่ผ่อนคลาย
บ้านเรือนในหมู่บ้านเป็นเพียงกระท่อมไม้หลังเล็กที่มุงหลังคาด้วยฟาง บ้างก็เป็นบ้านดินที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย ผู้คนที่นี่ใช้ชีวิตเรียบง่ายและสมถะ กลิ่นหอมของฟืนที่ถูกเผาไหม้ลอยอ้อยอิ่งในอากาศ มาจากเตาไฟที่ใช้ทำอาหารในบ้านแต่ละหลัง
ลานกว้างกลางหมู่บ้านเป็นพื้นที่ที่เด็กๆ วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน บ้างปีนต้นไม้ บ้างไล่จับกันท่ามกลางแสงอาทิตย์อ่อนๆ ของยามเย็น ชาวบ้านเดินสวนกันไปมา พวกเขาสวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าหยาบๆ แต่ดูอบอุ่น สีหน้าของพวกเขาดูสงบ มิได้เต็มไปด้วยความวุ่นวายเช่นเมืองใหญ่
รอบนอกของหมู่บ้านมีทุ่งนาและไร่เพาะปลูก ข้าวสาลีและพืชผักขึ้นเขียวขจี บรรดาชาวบ้านกำลังใช้จอบพลิกดิน ดูแลผลผลิตของตนเอง เสียงวัวและแพะร้องเบาๆ ดังแทรกมากับสายลม มีเด็กบางคนกำลังไล่ต้อนเป็ดและไก่ให้เข้าเล้า
แม้ว่าหมู่บ้านจิ่วอันจะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่มิได้มั่งคั่งหรือหรูหรา แต่บรรยากาศที่นี่กลับให้ความรู้สึกสงบและอบอุ่น ชีวิตที่นี่อาจไม่หรูหราเหมือนในเมืองใหญ่ แต่เต็มไปด้วยความเรียบง่ายและความอบอุ่นของผู้คนที่ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ไป๋จิงซูเงยหน้ามองท้องฟ้า แสงอาทิตย์ยามเย็นกำลังทอประกายระเรื่อ ก่อนจะมองลงไปยังเด็กน้อยในอ้อมแขน
"เสวี่ยหรง… ที่นี่จะเป็นบ้านใหม่ของเจ้า"สายลมอ่อนๆ พัดผ่านพุ่มไม้ ทำให้ใบไม้ไหวเอนราวกับกำลังพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อ ไป๋จิงซู อุ้มทารกน้อยกลับมายังหมู่บ้านจิ่วอัน นางหวังเพียงได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่กลับต้องเผชิญกับสายตาของผู้คนที่เต็มไปด้วย ความดูถูกและคำครหา
"กลับมาแล้วหรือ? สตรีที่เคยอยากหนีไปจากที่นี่ สุดท้ายก็เอาตัวไม่รอดกลับมาพร้อมกับลูกที่ไม่มีพ่อ!"
"ข้าล่ะสงสารเด็กคนนั้นนัก นางคงเกิดจากความอับอายของมารดา..."
"พวกขุนนางน่ะเหรอจะจริงใจกับสาวใช้? ดูเอาเถิด โดนทอดทิ้งกลับมาไม่ต่างจากคนไร้ที่พึ่ง!"
คำพูดเหล่านั้นดังแทรกผ่านทุกตรอกซอกของหมู่บ้าน เสียงซุบซิบของชาวบ้านกลายเป็นกระแสที่ไหลเวียนไปทั่ว ไม่มีใครมองไป๋จิงซูด้วยสายตาที่เป็นมิตรอีกต่อไป แต่นาง… หาได้ใส่ใจไม่
ไป๋จิงซูยังคงยืนหยัดด้วยรอยยิ้ม แม้จะถูกกล่าวหาเยี่ยงไร นางก็เพียงแค่ยิ้มบางเบา มิได้เอ่ยถ้อยคำแก้ตัวใดๆ
ที่สำคัญที่สุด... นางมิได้ละสายตาจากเด็กในอ้อมแขนเลยแม้แต่วินาทีเดียว
"พวกเจ้าจะพูดอย่างไรก็ได้ แต่สำหรับข้า เด็กคนนี้คือพรหมลิขิตที่ฟ้าประทานมา"
ในทุกเช้า ไป๋จิงซูออกไปทำงานในไร่นา แม้จะเป็นหญิงเดียวดาย แต่กลับขยันขันแข็ง ไม่เคยปริปากบ่น นางตื่นเช้ากว่าผู้ใด ออกไปเก็บสมุนไพรและทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงเด็กในอ้อมแขน ทุกค่ำคืน นางจะกอดทารกน้อยไว้แน่น อุ้มกล่อมด้วยเสียงที่อ่อนโยน แม้โลกจะโหดร้าย แต่นางกลับมอบ ความอบอุ่นและความมั่นคง ให้กับเด็กในอ้อมแขน
"เสวี่ยหรง เจ้าคือสิ่งเดียวที่ข้าจะปกป้องจนสุดชีวิต" ชาวบ้านที่เคยมองนางอย่างดูแคลน เริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง
พวกเขาเห็นหญิงสาวที่เคยถูกตราหน้าว่าเป็นหญิงไร้ยางอาย กลับมอบชีวิตทั้งหมดให้กับเด็กคนหนึ่ง พวกเขาเห็นว่าหญิงที่ถูกดูถูกมิได้มีความคับแค้น มิได้โต้เถียงหรือแสดงความเกลียดชัง มิได้พยายามแก้ตัวหรือร้องไห้ให้กับโชคชะตา
นางเพียงแค่ ยิ้ม และมอบความรักให้แก่เด็กน้อยในอ้อมแขนความดี และความอดทนของนาง ค่อยๆ ทำลายกำแพงในใจของชาวบ้าน
จากสายตาที่เคยเต็มไปด้วยความดูถูก เริ่มเปลี่ยนเป็น ความสงสารจากความสงสาร เริ่มเปลี่ยนเป็น ความเห็นใจจากความเห็นใจ เริ่มเปลี่ยนเป็น ความเคารพ
"ไป๋จิงซูเป็นคนดี... นางไม่ใช่คนไร้ยางอายเช่นที่เราคิด"
"เด็กคนนี้ก็น่ารักเหลือเกิน ดูไป๋จิงซูสิ นางรักเด็กคนนี้จากใจจริง"
"นางไม่ได้กลับมาเพราะอับอาย แต่นางกลับมาเพราะอยากให้ลูกของนางมีชีวิตที่ดี"
ผู้คนเริ่มอ่อนลงกับนาง เริ่มให้ความช่วยเหลือ นำอาหารมาให้ ช่วยแบ่งปันเมล็ดพันธุ์ และเริ่มพูดคุยกับไป๋จิงซูมากขึ้น
แม้โลกจะเคยทอดทิ้งนาง แม้จะต้องเผชิญกับคำดูถูกมากมาย แต่ไป๋จิงซูยังคงยืนหยัด โอบกอดเด็กน้อยในอ้อมแขนของนางด้วยความภาคภูมิใจและด้วยความดีของนาง… นางสามารถเปลี่ยนใจของผู้คนในหมู่บ้านไปได้ทีละน้อย
ไป๋เสวี่ยหรงมองดูทุกสิ่งอย่างเงียบงันถึงแม้ว่านางจะยังอยู่ในร่างของทารกไร้เรี่ยวแรง
"น่าสนใจนัก..."
ชีวิตที่แล้วของนาง นางถูกอิจฉา ถูกหักหลัง ถูกทรยศ แม้นางจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่เคยมีผู้ใดโอบกอดนางเช่นนี้มาก่อน
แต่ในชาตินี้ หญิงที่ต่ำต้อยที่สุดในสายตาผู้คน กลับเป็นผู้ที่มี จิตใจที่สูงส่งยิ่งกว่าใคร
ในโลกนี้… พลังอำนาจมิใช่ทุกสิ่งเสมอไป
ไป๋เสวี่ยหรงที่เคยเป็นจ้าวยุทธภพ แค่นเสียงหัวเราะในใจ แม้ยังพูดไม่ได้ แต่จิตวิญญาณของนางกลับเต็มไปด้วย ความยอมรับในหญิงสาวผู้นี้
"เจ้าแพ้ต่อคำพูดของผู้คนไม่ได้ แต่พวกเขาแพ้ให้กับความดีของเจ้า... น่าสนใจนัก"
นางยอมรับแล้วว่า ไป๋จิงซูผู้นี้ คือมารดาของนางในชาตินี้
ในช่วงเวลาที่ ไป๋เสวี่ยหรง พำนักอยู่ในสำนักหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็ง นางมิได้เพียงมาเพื่อพักผ่อนหรือชำระความแค้นเท่านั้น แต่ยังถือโอกาสรังสรรค์สิ่งล้ำค่าไว้ให้สำนักแห่งนี้ตำราทักษะวิชาเยือกแข็งเล่มใหม่ที่นางบรรจงเขียนด้วยมือของนางเองทักษะที่ถูกจารึกลงในตำรานั้นมีความลึกซึ้งอย่างหาใดเปรียบได้ มันมิใช่เพียงศาสตร์แห่งการต่อสู้ แต่ยังเป็นผลรวมของประสบการณ์ ความเจ็บปวด และสัจธรรมที่นางสะสมมาตลอด ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าสำนักคนก่อนอย่าง ฉินเยว่หาน มิอาจเทียบชั้นได้แม้เพียงเศษเสี้ยว"สำหรับสำนักหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็งแห่งนี้ ข้าจะเป็นผู้วางรากฐาน... แต่ปล่อยให้มันเติบโตด้วยพลังของพวกเจ้าเอง" ไป๋เสวี่ยหรงกล่าวอย่างแผ่วเบา ขณะส่งมอบตำราให้กับ จิ่วเยว่ซิน ศิษย์ผู้ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด"จิ่วเยว่ซิน... ต่อไปนี้เจ้าจงดูแลสำนักของข้าให้ดี" น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่งในโลกแห่งยุทธ์"ท่านอาจารย์... ตัวท่านจะไปแล้วจริงๆ เหรอ" หญิงสาวเอ่ยถามด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยอาลัย แม้เวลาที่รู้จักกันจะไม่นาน แต่ไป๋เสวี่ยหรงคือผู้เปลี่ยนชะตาชีวิตของนาง จากหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความสับสน สู่ผู้ครอบครอง
ใต้ท้องฟ้าสีเทาเงิน ผืนหิมะที่ปกคลุมผาแห่งการสิ้นสุดยังคงหล่นโปรยราวกับร่วมไว้อาลัยให้กับจุดจบของตำนานหนึ่ง... และมิตรภาพที่ไม่มีวันหวนกลับไป๋เสวี่ยหรงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางเศษน้ำแข็งที่ยังคงล่องลอย ร่างบางของนางไม่ขยับเขยื้อน ราวกับกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งอีกหนึ่งชิ้นในสถานที่แห่งนี้ สายตาที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้าช่างว่างเปล่า แต่ภายในเบื้องลึกของแววตานั้นคือกระแสความรู้สึกมากมายที่ถาโถมย้อนกลับมาทุกเสียงหัวเราะ ทุกหยาดน้ำตา ทุกคำสัตย์ที่เคยให้กันในวัยเยาว์"ข้าไม่อยากให้เรื่องของเรามันจบลงเช่นนี้เลย... เพื่อนรักของข้า"เสียงของนางเบาราวสายลม ละมุนราวบทกลอนส่งท้าย ดั่งคำอำลาที่ไม่มีผู้รับฟังแม้ศัตรูจะสิ้นสูญ แม้การล้างแค้นจะสัมฤทธิ์ แต่นางไม่ได้รู้สึกถึงชัยชนะ หากมีเพียงความว่างเปล่าอันแหลมคมทิ่มแทงอยู่ในอกลึก เพียงลมหายใจเดียวต่อมา ไป๋เสวี่ยหรงก็ปิดเปลือกตาลงอย่างแผ่วเบา เสี้ยวความทรงจำของฉินเยว่หานในหัวใจของนางค่อย ๆ เลือนลางลง ราวกับว่าไม่เคยมีสตรีนางนั้นอยู่บนโลกใบนี้มาก่อน ไม่เคยมีเสียงหัวเราะร่วมกัน ไม่เคยมีมือที่เคยจับไว้ในยามทุกข์เมื่อดวงตางามคู่นั้นลืมขึ้นอีกครั้ง ก็ไม่มีแม้แต่เ
ในยามนี้ ทั่วทั้งสำนักเงียบงันราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน...เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็ง ต่างยืนตัวแข็งทื่อลมหายใจสะดุด ใบหน้าซีดเผือด มือไม้เย็นเฉียบไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า...มันเหนือความเข้าใจและเกินกว่าจินตนาการ นางเซียนเยือกแข็งเจ้าสำนักผู้เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งสวรรค์ของพวกเขาบัดนี้กลับมีผู้กล้าสตรีนิรนามผู้มีใบหน้าอ่อนวัย ยืนหยัดต่อกรกับนางอย่างไม่หวั่นไหวและไม่ใช่แค่ท้าทาย... แต่กลับสามารถต้านรับแรงกดดันของเจ้าสำนักได้อย่างไม่ขาดตก"นางผู้นั้นเป็นใคร?""เหตุใดพลังของนางถึง...ไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้?"เสียงกระซิบของเหล่าศิษย์เริ่มดังขึ้นประปรายด้วยความตื่นตระหนกแม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงบางคนก็เริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นกลางหน้าผาก ทั้งที่อากาศยังเย็นยะเยือกรัศมีพลังเยือกแข็งของหญิงสาวปริศนาแผ่กระจายออกไปอย่างมั่นคงเยียบเย็น... ลึกซึ้ง... แน่นิ่งดั่งมหาสมุทรใต้ธารน้ำแข็งหากพลังของฉินเยว่หานคือห่าหิมะที่โหมกระหน่ำพลังของหญิงสาวผู้นั้น...กลับคล้ายหิมะที่หลับใหลมานับพันปี รอเพียงปริบตาเดียวก็พร้อมแช่แข็งโลกทั้งใบศิษย์ตาต่ำพวกเขามองไ
ภายใต้ใบหน้าอันงดงามดุจนางเซียนของฉินเยว่หาน ซึ่งมักจะสงบนิ่งไม่ไหวติงต่อสิ่งใด ในยามนี้กลับฉายแววตื่นตะลึงอย่างปิดไม่มิดไม่ใช่เพราะพลังอันมหาศาลของหญิงสาวเบื้องหน้า แต่เป็นเพราะคลื่นพลังนั้นช่างคุ้นเคย… คุ้นจนเกินจะหลอกตัวเองได้"เป็นไปไม่ได้... มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?"นางพึมพำซ้ำไปมา ราวกับพยายามสลัดความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าให้หลุดออกจากจิตใจ หญิงสาวปริศนา ผู้มีใบหน้าเยาว์วัยราวเด็กสาวเพิ่งแตกเนื้อสาวกลับยืนประจันหน้ากับนางอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาคู่นั้นคมดั่งกระบี่น้ำแข็ง จ้องลึกเข้ามาในหัวใจของผู้เคยเป็นเพื่อนรัก"เป็นอย่างไรบ้าง ฉินเยว่หาน... เจ้าดูแก่ขึ้นมากเลยนะ"เสียงหวานนุ่มดังขึ้นราวกับสายลม คำทักทายธรรมดา กลับกลายเป็นคมมีดกรีดลงกลางใจของฉินเยว่หานอย่างแผ่วเบาแต่รุนแรง ใบหน้าเยือกเย็นของนางเริ่มสั่นไหว มือขาวกำแน่นจนเล็บจิกฝ่ามือคลื่นพลังลมปราณที่แผ่ออกมา ไม่ผิดแน่…เป็นพลังของ หลานเสวี่ยอิง ผู้ที่นางเคยคิดว่าได้ส่งลงนรกไปแล้วด้วยมือของตนเองสองเท้าที่เคยมั่นคงของฉินเยว่หาน บัดนี้กลับเหมือนเหยียบอยู่บนผืนหิมะบางที่พร้อมจะถล่มลงทุกเมื่อสายตาของนางจ้องลึกเข้าไปในดวงหน้าของหญิง
ทุกท่วงท่า ทุกการเคลื่อนไหวของจิ่วเยว่ซินล้วนแล้วเฉียบคมไร้ปรานี พลังลมปราณที่แผ่ออกมาแต่ละระลอกนั้นแฝงไว้ด้วยเจตนาแห่งการสังหารอย่างชัดเจน การโจมตีทุกครั้งมิใช่เพียงเพื่อทดสอบฝีมือ หากแต่เป็นการประลองเพื่อปลิดชีพโดยแท้ หากฉินเยว่หานพลั้งเผลอแม้เพียงครึ่งก้าว ก็อาจต้องสูญสิ้นชีวิตยิ่งเวลาผ่านไป รูม่านตาของฉินเยว่หานก็ค่อย ๆ ขยายกว้างขึ้น แววตาที่เคยสงบนิ่งเริ่มสะท้อนแววหวั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ การเคลื่อนไหวของจิ่วเยว่ซินเริ่มทับซ้อนกับภาพจำบางอย่างในอดีต ภาพของสตรีผู้หนึ่ง... สตรีที่นางพยายามลบเลือนจากห้วงความคิดมานานหลายสิบปีหลานเสวี่ยอิงนามนั้นแม้จะถูกกลบฝังในก้นบึ้งของสำนึก แต่มันก็ผุดขึ้นมาราวกับต้องมนต์สะกด ไม่มีสิ่งใดสามารถปิดบังความรู้สึกคุ้นเคยนี้ได้อีกต่อไปแต่ก่อนที่ฉินเยว่หานจะถลำลึกไปในห้วงคิด ทักษะของจิ่วเยว่ซินก็พลันจู่โจมเข้ามาอีกระลอก ความคุ้นชินในเคล็ดวิชาเยือกแข็งที่นางเคยสอนกลับถูกแก้ทางอย่างแนบเนียนทีละชั้น ทักษะที่นางเคยภาคภูมิใจกำลังถูกลบล้างด้วยปลายนิ้วของศิษย์สาวผู้เป็นความภาคภูมิใจของนางเอง“นี่ข้า... กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยศิษย์ของตนเองอย่างนั้นหรือ?”
ใต้แสงสลัวของตำหนักน้ำแข็ง ดวงตาของจิ่วเยว่ซินฉายแววอ่อนโยนเช่นเคย รอยยิ้มยังคงงดงาม ทว่าภายในนั้นคือความเยียบเย็นที่แม้หิมะพันปียังมิอาจเทียบเคียงได้ นางยืนอยู่เบื้องหน้าอาจารย์ผู้เลี้ยงดูและหล่อหลอมตนมาแต่เล็กผู้หญิงที่นางเคยบูชาเทียบเท่าฟ้าดิน และในเวลาเดียวกันคือผู้ที่ล้างผลาญครอบครัวของนางทั้งตระกูลนางรู้ดีว่าภาพลักษณ์ภายนอกที่แสดงออกจะต้องไร้ที่ติทุกกระเบียดนิ้ว เพราะสายตาของฉินเยว่หานนั้นแหลมคมเกินกว่าที่ใครจะตบตาได้โดยง่าย แม้จะอ่อนโยนแต่ก็ซ่อนพิษลึก ราวกับกลีบเหมยบนผืนน้ำแข็ง หากเพียงเผลอสัมผัสอาจถูกหนาวสะท้านถึงวิญญาณ"จิ่วเยว่ซิน ข้ารู้สึกชอบแววตาของเจ้าในตอนนี้ยิ่งนัก"เสียงของฉินเยว่หานดังขึ้น เงียบงัน ทว่าเจือด้วยความพึงพอใจความพึงพอใจของผู้ที่คิดว่าตนสามารถหล่อหลอมชีวิตผู้อื่นตามอำเภอใจได้เสมอคำชมที่เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นนั้น กลับเป็นเหมือนมีดที่กรีดลงกลางหัวใจของจิ่วเยว่ซิน ช่างน่าขันยิ่งนัก… แม้แต่แววตาที่ผ่านความเกลียดชังและการทรยศมาแล้ว ยังถูกหล่อนชมด้วยรอยยิ้มหญิงสาวสูดลมหายใจแผ่วเบา ก่อนกล่าวเสียงนุ่ม"เจ้าค่ะอาจารย์"คำพูดของนางยังคงสุภาพและสงบ ราวกับไม่มีอะไรเ