ログイン15 ปีผ่านไป
จากทารกน้อยที่เคยถูกทอดทิ้งท่ามกลางพายุหิมะ… บัดนี้ ไป๋เสวี่ยหรง มิใช่เด็กไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว
ดวงตะวันลอยสูงเหนือฟากฟ้า หมู่บ้านจิ่วอันยังคงเงียบสงบเหมือนดั่งวันวาน แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากอดีต คือเด็กสาวผู้หนึ่งที่เติบโตขึ้นมาอย่างโดดเด่น งดงามเกินกว่าผู้ใดในหมู่บ้านนี้จะคาดคิด
เงาร่างของนางอ่อนช้อยราวกับดอกเหมยที่เบ่งบานกลางหิมะ เส้นผมดำขลับยาวสลวยดุจเส้นไหม ดวงตากระจ่างใสประดุจเงาสะท้อนของธารน้ำแข็ง ใบหน้าเรียวได้สัดส่วน คิ้วเรียวงามดั่งเส้นพู่กัน ลำคอระหงดังหงส์ร่ายรำ
ยิ่งนางเติบโต ความงดงามของนางก็ยิ่ง เหนือกว่าสามัญชน
ผู้คนในหมู่บ้านแม้จะเคยยอมรับไป๋จิงซูและลูกสาวของนาง แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป พวกเขากลับเริ่มเกิดความลังเลและสงสัย "เป็นไปได้หรือที่ไป๋จิงซูจะให้กำเนิดเด็กที่งดงามถึงเพียงนี้?"
"เด็กสาวผู้นี้ ท่วงท่าของนางสูงศักดิ์เกินไป ไม่เหมือนลูกสาวของชาวบ้านธรรมดา"
ทุกย่างก้าวของไป๋เสวี่ยหรงเต็มไปด้วยความสง่างาม นางมิได้เหมือนหญิงสาวชาวบ้านที่เติบโตขึ้นมาเพื่อเป็นภรรยาผู้เพาะปลูก นางมิได้เป็นเพียงเด็กหญิงที่วิ่งเล่นไปมาเช่นผู้อื่น นางเงียบสงบ สุขุม และลึกลับเกินกว่าจะเป็นเพียง ‘บุตรสาวของสาวใช้’
"ไม่ใช่เพียงความงาม แต่ความสง่างามของนางก็เหนือกว่าผู้ใด... นี่มิใช่สิ่งที่ชาวบ้านธรรมดาควรมีได้"
แม้พวกเขาจะมิอาจปฏิเสธความรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่มีผู้ใดเอ่ยคำพูดใดออกมา พวกเขาทำได้เพียงเก็บมันไว้ในใจ
เพราะสิ่งหนึ่งที่พวกเขาแน่ใจคือ ไป๋จิงซู รักเด็กคนนี้ดั่งชีวิตของนางเอง
ไม่ว่าต้นกำเนิดของไป๋เสวี่ยหรงจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าชาติกำเนิดของนางจะสูงศักดิ์หรือสามัญ แต่ไป๋จิงซูคือผู้ที่เลี้ยงดูและปกป้องนางมาตลอด 15 ปี
"เด็กคนนี้อาจมิใช่ลูกแท้ๆ ของไป๋จิงซู แต่พวกเราไม่มีสิทธิ์กล่าวอะไร"
"นางเป็นผู้มีบุญ แม้แต่สวรรค์ยังมอบโฉมหน้างดงามให้นาง"
ด้วยความดีของไป๋จิงซู และบุคลิกอันสง่างามของไป๋เสวี่ยหรง ผู้คนจึงมิได้กล่าวสิ่งใดออกมา เพียงแต่ทุกครั้งที่พบเจอเด็กสาว พวกเขาจะเฝ้ามองด้วยสายตาแปลกประหลาด ทั้งชื่นชม ทั้งหวาดหวั่น และเต็มไปด้วยความสงสัย
ไป๋เสวี่ยหรงมองดูทุกสิ่งด้วยสายตาเรียบนิ่ง
ตั้งแต่วันแรกที่นางฟื้นคืนมาในร่างของทารก นางรู้ดีว่าต้องเผชิญกับอะไร 15 ปีที่ผ่านมา นางใช้เวลาศึกษาสิ่งที่เรียกว่า ความผูกพัน สิ่งที่ชีวิตก่อนหน้านี้ของนางไม่เคยได้รับจากผู้ใด ไม่ว่าพลังของนางจะเคยยิ่งใหญ่เพียงใด สุดท้ายก็ไม่มีผู้ใดอยู่เคียงข้างนางจริงๆ แต่ไป๋จิงซู… หญิงสาวธรรมดาผู้นี้กลับทำให้ชาตินี้ของนางแตกต่างออกไป ยามนี้ นางมิใช่ หลานเสวี่ยอิง อีกต่อไปแล้ว นางคือ ไป๋เสวี่ยหรง เด็กสาวแห่งหมู่บ้านจิ่วอัน ผู้ที่โลกยังมิอาจคาดเดาเส้นทางในอนาคตของนางได้…
แสงแดดยามสายสาดส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้เข้ามาภายในกระท่อมหลังเล็ก เสียงน้ำเดือดปุดๆ ดังขึ้นจากหม้อที่ตั้งอยู่บนเตาไฟ กลิ่นหอมของซุปที่เคี่ยวจนได้ที่ลอยอบอวลไปทั่วห้องภายในกระท่อมเรียบง่ายแห่งนี้ สองแม่ลูกกำลังช่วยกันจัดเตรียมอาหาร ไป๋จิงซู หญิงสาวผู้เป็นมารดา แม้อายุของนางจะแตะเข้าเลขสี่แล้ว แต่รอยยิ้มของนางยังคงอ่อนโยนไม่เปลี่ยน นางจ้องมองเด็กสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ อย่างเอ็นดู
"ลูกแม่ เจ้าช่างเป็นเด็กที่แปลกประหลาดยิ่งนัก ทำไมตัวเจ้าไม่รู้จักหัดไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนบ้าง?"
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ดวงตาฉายแววอ่อนโยนยิ่งนัก
ไป๋เสวี่ยหรงเหลือบตามองไป๋จิงซู ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ นางใช้มือเรียวหยิบมีดมาหั่นผักต่อไปอย่างเชื่องช้า
"ข้าโตเกินกว่าที่จะไปเที่ยวเล่นกับผู้ใดแล้ว" เสียงของเด็กสาวเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย แม้ว่าใบหน้าของนางจะยังดูเยาว์วัย แต่แววตากลับนิ่งสงบและเฉียบคม ราวกับมิใช่ของเด็กสาววัยสิบห้า
ไป๋จิงซูหัวเราะเบาๆ นางรู้ดีว่าเด็กคนนี้มิใช่เด็กธรรมดา ตั้งแต่เล็ก นางก็สังเกตเห็นว่าไป๋เสวี่ยหรงแตกต่างจากเด็กคนอื่น
เด็กสาวคนนี้มีความสงบนิ่งเกินวัย สุขุม เยือกเย็น และบางครั้งก็ดู เข้าใจโลกเกินไป
แต่ไม่ว่านางจะเป็นเช่นไร… นางก็คือลูกของนาง
"ต่อให้เจ้าคิดว่าตนเองโตเพียงใด แต่ในสายตาแม่ เจ้าก็ยังเป็นเด็กของแม่เสมอ" ไป๋เสวี่ยหรงชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ "เฮ้อ... เจ้านี่มันจริงๆ เลยนะ" นางคิดในใจแฝงความไม่สบอารมณ์ แต่ริมฝีปากกลับปรากฏรอยยิ้มจางๆ ไป๋จิงซูยิ้มกว้างกว่าเดิม นางเอื้อมมือไปลูบศีรษะของเด็กสาวเบาๆ อย่างเอ็นดู ก่อนจะหันกลับไปจัดการกับหม้อซุปบนเตาต่อ เสียงหัวเราะเบาๆ ของสองแม่ลูกดังขึ้นในกระท่อม เสียงตะหลิวกระทบกับหม้อ เสียงน้ำเดือดปุดๆ เสียงของเตาไฟที่ลุกโชน…
ภายในกระท่อมเล็กอันอบอุ่น แสงจากเตาไฟสะท้อนเงาบนใบหน้าของ ไป๋จิงซู นางยังคงยิ้มแย้ม ดวงตาทอดมองเด็กสาวที่กำลังช่วยหั่นผักอยู่ตรงหน้า
ไป๋เสวี่ยหรง… บุตรสาวของนางหรือ… เด็กที่นางอุปการะมา
แม้นางจะเรียกนางว่าลูก แม้นางจะรักเด็กสาวผู้นี้ดั่งสายเลือดเดียวกัน แต่นางก็ไม่อาจลบความจริงที่ว่าตัวเอง มิใช่มารดาที่แท้จริงของนางไป๋จิงซูกลับหมุนทัพพีในหม้อซุปช้าๆ สีหน้ายังคงอ่อนโยน ทว่าสายตากลับซ่อนความครุ่นคิดบางอย่าง
"ข้าควรบอกนางดีหรือไม่?"
"ข้าควรบอกหรือไม่ว่า ข้า… มิใช่แม่ที่แท้จริงของนาง"
"ข้าควรบอกหรือไม่ ว่านางมิใช่ลูกสาวของหญิงรับใช้ต่ำต้อยเช่นข้า"
ไป๋จิงซูไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปเมื่อใด นางกังวล… นางกลัว…
แม้ว่าตลอด 15 ปีที่ผ่านมา นางเลี้ยงดูไป๋เสวี่ยหรงด้วยหัวใจของมารดา แต่เมื่อคิดถึงชาติกำเนิดของเด็กคนนี้ นางก็รู้สึกว่าตนเองต่ำต้อยเกินกว่าจะกักขังนางไว้ในสถานะเช่นนี้
หากวันหนึ่งนางรู้ความจริง นางจะยังเรียกข้าว่า แม่ ได้อีกหรือไม่?
ไป๋จิงซูซ่อนความหนักใจไว้ภายใต้สีหน้ายิ้มแย้ม นางมิอยากให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความคิดในใจของนาง
แต่สิ่งที่ไป๋จิงซู หารู้ไม่ เด็กสาวตรงหน้าของนาง... รับรู้เรื่องราวทุกอย่างมาโดยตลอด
ในช่วงเวลาที่ ไป๋เสวี่ยหรง พำนักอยู่ในสำนักหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็ง นางมิได้เพียงมาเพื่อพักผ่อนหรือชำระความแค้นเท่านั้น แต่ยังถือโอกาสรังสรรค์สิ่งล้ำค่าไว้ให้สำนักแห่งนี้ตำราทักษะวิชาเยือกแข็งเล่มใหม่ที่นางบรรจงเขียนด้วยมือของนางเองทักษะที่ถูกจารึกลงในตำรานั้นมีความลึกซึ้งอย่างหาใดเปรียบได้ มันมิใช่เพียงศาสตร์แห่งการต่อสู้ แต่ยังเป็นผลรวมของประสบการณ์ ความเจ็บปวด และสัจธรรมที่นางสะสมมาตลอด ย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าสำนักคนก่อนอย่าง ฉินเยว่หาน มิอาจเทียบชั้นได้แม้เพียงเศษเสี้ยว"สำหรับสำนักหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็งแห่งนี้ ข้าจะเป็นผู้วางรากฐาน... แต่ปล่อยให้มันเติบโตด้วยพลังของพวกเจ้าเอง" ไป๋เสวี่ยหรงกล่าวอย่างแผ่วเบา ขณะส่งมอบตำราให้กับ จิ่วเยว่ซิน ศิษย์ผู้ได้รับความไว้วางใจมากที่สุด"จิ่วเยว่ซิน... ต่อไปนี้เจ้าจงดูแลสำนักของข้าให้ดี" น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่งในโลกแห่งยุทธ์"ท่านอาจารย์... ตัวท่านจะไปแล้วจริงๆ เหรอ" หญิงสาวเอ่ยถามด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยอาลัย แม้เวลาที่รู้จักกันจะไม่นาน แต่ไป๋เสวี่ยหรงคือผู้เปลี่ยนชะตาชีวิตของนาง จากหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความสับสน สู่ผู้ครอบครอง
ใต้ท้องฟ้าสีเทาเงิน ผืนหิมะที่ปกคลุมผาแห่งการสิ้นสุดยังคงหล่นโปรยราวกับร่วมไว้อาลัยให้กับจุดจบของตำนานหนึ่ง... และมิตรภาพที่ไม่มีวันหวนกลับไป๋เสวี่ยหรงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางเศษน้ำแข็งที่ยังคงล่องลอย ร่างบางของนางไม่ขยับเขยื้อน ราวกับกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งอีกหนึ่งชิ้นในสถานที่แห่งนี้ สายตาที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้าช่างว่างเปล่า แต่ภายในเบื้องลึกของแววตานั้นคือกระแสความรู้สึกมากมายที่ถาโถมย้อนกลับมาทุกเสียงหัวเราะ ทุกหยาดน้ำตา ทุกคำสัตย์ที่เคยให้กันในวัยเยาว์"ข้าไม่อยากให้เรื่องของเรามันจบลงเช่นนี้เลย... เพื่อนรักของข้า"เสียงของนางเบาราวสายลม ละมุนราวบทกลอนส่งท้าย ดั่งคำอำลาที่ไม่มีผู้รับฟังแม้ศัตรูจะสิ้นสูญ แม้การล้างแค้นจะสัมฤทธิ์ แต่นางไม่ได้รู้สึกถึงชัยชนะ หากมีเพียงความว่างเปล่าอันแหลมคมทิ่มแทงอยู่ในอกลึก เพียงลมหายใจเดียวต่อมา ไป๋เสวี่ยหรงก็ปิดเปลือกตาลงอย่างแผ่วเบา เสี้ยวความทรงจำของฉินเยว่หานในหัวใจของนางค่อย ๆ เลือนลางลง ราวกับว่าไม่เคยมีสตรีนางนั้นอยู่บนโลกใบนี้มาก่อน ไม่เคยมีเสียงหัวเราะร่วมกัน ไม่เคยมีมือที่เคยจับไว้ในยามทุกข์เมื่อดวงตางามคู่นั้นลืมขึ้นอีกครั้ง ก็ไม่มีแม้แต่เ
ในยามนี้ ทั่วทั้งสำนักเงียบงันราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน...เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสแห่งหุบเขาเทพยุทธน้ำแข็ง ต่างยืนตัวแข็งทื่อลมหายใจสะดุด ใบหน้าซีดเผือด มือไม้เย็นเฉียบไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า...มันเหนือความเข้าใจและเกินกว่าจินตนาการ นางเซียนเยือกแข็งเจ้าสำนักผู้เป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งสวรรค์ของพวกเขาบัดนี้กลับมีผู้กล้าสตรีนิรนามผู้มีใบหน้าอ่อนวัย ยืนหยัดต่อกรกับนางอย่างไม่หวั่นไหวและไม่ใช่แค่ท้าทาย... แต่กลับสามารถต้านรับแรงกดดันของเจ้าสำนักได้อย่างไม่ขาดตก"นางผู้นั้นเป็นใคร?""เหตุใดพลังของนางถึง...ไม่ธรรมดาถึงเพียงนี้?"เสียงกระซิบของเหล่าศิษย์เริ่มดังขึ้นประปรายด้วยความตื่นตระหนกแม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงบางคนก็เริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นกลางหน้าผาก ทั้งที่อากาศยังเย็นยะเยือกรัศมีพลังเยือกแข็งของหญิงสาวปริศนาแผ่กระจายออกไปอย่างมั่นคงเยียบเย็น... ลึกซึ้ง... แน่นิ่งดั่งมหาสมุทรใต้ธารน้ำแข็งหากพลังของฉินเยว่หานคือห่าหิมะที่โหมกระหน่ำพลังของหญิงสาวผู้นั้น...กลับคล้ายหิมะที่หลับใหลมานับพันปี รอเพียงปริบตาเดียวก็พร้อมแช่แข็งโลกทั้งใบศิษย์ตาต่ำพวกเขามองไ
ภายใต้ใบหน้าอันงดงามดุจนางเซียนของฉินเยว่หาน ซึ่งมักจะสงบนิ่งไม่ไหวติงต่อสิ่งใด ในยามนี้กลับฉายแววตื่นตะลึงอย่างปิดไม่มิดไม่ใช่เพราะพลังอันมหาศาลของหญิงสาวเบื้องหน้า แต่เป็นเพราะคลื่นพลังนั้นช่างคุ้นเคย… คุ้นจนเกินจะหลอกตัวเองได้"เป็นไปไม่ได้... มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?"นางพึมพำซ้ำไปมา ราวกับพยายามสลัดความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าให้หลุดออกจากจิตใจ หญิงสาวปริศนา ผู้มีใบหน้าเยาว์วัยราวเด็กสาวเพิ่งแตกเนื้อสาวกลับยืนประจันหน้ากับนางอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาคู่นั้นคมดั่งกระบี่น้ำแข็ง จ้องลึกเข้ามาในหัวใจของผู้เคยเป็นเพื่อนรัก"เป็นอย่างไรบ้าง ฉินเยว่หาน... เจ้าดูแก่ขึ้นมากเลยนะ"เสียงหวานนุ่มดังขึ้นราวกับสายลม คำทักทายธรรมดา กลับกลายเป็นคมมีดกรีดลงกลางใจของฉินเยว่หานอย่างแผ่วเบาแต่รุนแรง ใบหน้าเยือกเย็นของนางเริ่มสั่นไหว มือขาวกำแน่นจนเล็บจิกฝ่ามือคลื่นพลังลมปราณที่แผ่ออกมา ไม่ผิดแน่…เป็นพลังของ หลานเสวี่ยอิง ผู้ที่นางเคยคิดว่าได้ส่งลงนรกไปแล้วด้วยมือของตนเองสองเท้าที่เคยมั่นคงของฉินเยว่หาน บัดนี้กลับเหมือนเหยียบอยู่บนผืนหิมะบางที่พร้อมจะถล่มลงทุกเมื่อสายตาของนางจ้องลึกเข้าไปในดวงหน้าของหญิง
ทุกท่วงท่า ทุกการเคลื่อนไหวของจิ่วเยว่ซินล้วนแล้วเฉียบคมไร้ปรานี พลังลมปราณที่แผ่ออกมาแต่ละระลอกนั้นแฝงไว้ด้วยเจตนาแห่งการสังหารอย่างชัดเจน การโจมตีทุกครั้งมิใช่เพียงเพื่อทดสอบฝีมือ หากแต่เป็นการประลองเพื่อปลิดชีพโดยแท้ หากฉินเยว่หานพลั้งเผลอแม้เพียงครึ่งก้าว ก็อาจต้องสูญสิ้นชีวิตยิ่งเวลาผ่านไป รูม่านตาของฉินเยว่หานก็ค่อย ๆ ขยายกว้างขึ้น แววตาที่เคยสงบนิ่งเริ่มสะท้อนแววหวั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ การเคลื่อนไหวของจิ่วเยว่ซินเริ่มทับซ้อนกับภาพจำบางอย่างในอดีต ภาพของสตรีผู้หนึ่ง... สตรีที่นางพยายามลบเลือนจากห้วงความคิดมานานหลายสิบปีหลานเสวี่ยอิงนามนั้นแม้จะถูกกลบฝังในก้นบึ้งของสำนึก แต่มันก็ผุดขึ้นมาราวกับต้องมนต์สะกด ไม่มีสิ่งใดสามารถปิดบังความรู้สึกคุ้นเคยนี้ได้อีกต่อไปแต่ก่อนที่ฉินเยว่หานจะถลำลึกไปในห้วงคิด ทักษะของจิ่วเยว่ซินก็พลันจู่โจมเข้ามาอีกระลอก ความคุ้นชินในเคล็ดวิชาเยือกแข็งที่นางเคยสอนกลับถูกแก้ทางอย่างแนบเนียนทีละชั้น ทักษะที่นางเคยภาคภูมิใจกำลังถูกลบล้างด้วยปลายนิ้วของศิษย์สาวผู้เป็นความภาคภูมิใจของนางเอง“นี่ข้า... กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยศิษย์ของตนเองอย่างนั้นหรือ?”
ใต้แสงสลัวของตำหนักน้ำแข็ง ดวงตาของจิ่วเยว่ซินฉายแววอ่อนโยนเช่นเคย รอยยิ้มยังคงงดงาม ทว่าภายในนั้นคือความเยียบเย็นที่แม้หิมะพันปียังมิอาจเทียบเคียงได้ นางยืนอยู่เบื้องหน้าอาจารย์ผู้เลี้ยงดูและหล่อหลอมตนมาแต่เล็กผู้หญิงที่นางเคยบูชาเทียบเท่าฟ้าดิน และในเวลาเดียวกันคือผู้ที่ล้างผลาญครอบครัวของนางทั้งตระกูลนางรู้ดีว่าภาพลักษณ์ภายนอกที่แสดงออกจะต้องไร้ที่ติทุกกระเบียดนิ้ว เพราะสายตาของฉินเยว่หานนั้นแหลมคมเกินกว่าที่ใครจะตบตาได้โดยง่าย แม้จะอ่อนโยนแต่ก็ซ่อนพิษลึก ราวกับกลีบเหมยบนผืนน้ำแข็ง หากเพียงเผลอสัมผัสอาจถูกหนาวสะท้านถึงวิญญาณ"จิ่วเยว่ซิน ข้ารู้สึกชอบแววตาของเจ้าในตอนนี้ยิ่งนัก"เสียงของฉินเยว่หานดังขึ้น เงียบงัน ทว่าเจือด้วยความพึงพอใจความพึงพอใจของผู้ที่คิดว่าตนสามารถหล่อหลอมชีวิตผู้อื่นตามอำเภอใจได้เสมอคำชมที่เปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นนั้น กลับเป็นเหมือนมีดที่กรีดลงกลางหัวใจของจิ่วเยว่ซิน ช่างน่าขันยิ่งนัก… แม้แต่แววตาที่ผ่านความเกลียดชังและการทรยศมาแล้ว ยังถูกหล่อนชมด้วยรอยยิ้มหญิงสาวสูดลมหายใจแผ่วเบา ก่อนกล่าวเสียงนุ่ม"เจ้าค่ะอาจารย์"คำพูดของนางยังคงสุภาพและสงบ ราวกับไม่มีอะไรเ







